“เพื่อนคนหนึ่งของฉันน่ะค่ะ” โจวจื่อเอ๋อกล่าวแนะนำเฉินเฟิง
จากนั้นอีกฝ่ายจึงมองไปยังเฉินเฟิงด้วยความกระฉับกระเฉง ก่อนจะกล่าวแนะนำตัว : “ผมนามสกุลเชียน เชียนเฉิน เป็นเพื่อนของโจวจื่อเอ๋อเหมือนกันครับ”
นามสกุลเชียนนี้เป็นสกุลที่มีความโดดเด่นในทะเลทรายแห่งนี้อย่างมาก ซึ่งแน่นอนว่าเฉินเฟิงเองก็พอจะเดาออกว่าเขาเป็นตระกูลเชียน
แต่ว่าเขาคนนี้เฉินเฟิงกลับไม่เคยพบเขาที่บ้านตระกูลเชียนเลย แต่ถ้าเขาเดาไม่ผิดล่ะก็ เชียนเฉินต้องเป็นผู้บริหารธุรกิจของตระกูลแน่นอน
ภายในตระกูลขนาดใหญ่ทั่วไปแล้ว แต่ละคนล้วนมีสิทธิ์อำนาจที่จำกัดอย่างมาก ถ้าหากเป็นคนที่ไม่มีความสามารถได้ด้านวิชาการต่อสู้ อย่างนั้นเขาคนนั้นก็จะถูกจัดให้ไปทำหน้าที่ดูแลจัดการกับธุรกิจของตระกูล เพื่อเป็นโฆษกของตระกูลในการป่าวประกาศศักดาสู่โลกภายนอก
และจากการวิเคราะห์แล้วเชียนเฉินคนนี้ก็คือคนแบบนั้น
เฉินเฟิงยิ้มให้กับเชียนเฉินเช่นเดียวกัน: “เฉินเฟิงครับ!”
และชื่อนี้ถึงกับทำให้เชียนเฉินชะงักไปทันที แต่เมื่อเขาลองคิดๆ ดูแล้วก็ไม่ได้เอาเฉินเฟิงที่อยู่ตรงหน้ากับเฉินเฟิงคนนั้นที่มีชื่อเสียงกึกก้องในยันเจียงมาเชื่อมเป็นคนเดียวกัน
และเพียงคิดว่าบางทีพวกเขาแค่มีชื่อสกุลที่เหมือนกันเท่านั้น
ทางด้านเฉินเฟิงถึงแม้จะมองออกถึงความคิดในใจของเขา แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา
“ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
หลังจากที่กล่าวทักทายกับเฉินเฟิงเรียบร้อย เชียนเฉินก็หันความสนใจไปยังโจวจื่อเอ๋ออีกครั้ง พลางพูดขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม : “จื่อเอ๋อจะเข้าไปทักทายเพื่อนๆของพวกเราสักหน่อยหรือเปล่า ?”
โจวจื่อเอ๋อตอบปฏิเสธอย่างอ่อนหวาน: “แต่ว่าเพื่อนคนนี้ของฉันดูเหมือนจะไม่ค่อยชอบความวุ่นวายเท่าไหร่”
เฉินเฟิงมองไปยังโจวจื่อเอ๋ออย่างประหลาดใจ แต่เพียงไม่นานเขาก็เข้าใจความหมายของเธอ
“เพื่อนท่านนี้ ไปสนุกสนานด้วยกันเถอะครับ ผมกับเพื่อนๆ อีกหลายคนกำลังเตรียมตัวจะไปที่บึงน้ำคลื่นเขียว ที่นั่นวิวสวยมากเลยนะครับ”
เชียนเฉินกล่าวชักชวนอย่างเป็นกันเอง
แต่สำหรับเฉินเฟิงแล้ว เขานั้นกลับไม่อยากไปมากนัก
จากนั้นเชียนเฉินจึงพูดขึ้นมาอีกครั้ง : “ถ้าเกิดว่าคุณไม่อยากไปจริงๆ อย่างนั้นน้องจื่อเอ๋อพวกเราจะขอยืมตัวไปก่อนแล้วนะครับ เพราะเธอดูเหมือนจะสนใจเอามากๆ เลย”
และเมื่อเฉินเฟิงหันไปมองจื่อเอ๋อ เธอก็กำลังมองมาที่เขาอย่างเฝ้ารอคำตอบ
แต่เพราะเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้นั้น ทำให้เฉินเฟิงมีความรู้สึกบางอย่างเหมือนกำลังถูกโจวจื่อเอ๋อหักหลัง
“อย่างนั้นก็ได้ครับ เดิมทีก็ไม่มีธุระสำคัญอะไรอยู่แล้วด้วย”
และเมื่อแอบมองไปยังโจวจื่อเอ๋อ สิ่งที่เฉินเฟิงได้เห็นกลับเป็นสีหน้าของโจวจื่อเอ๋อที่เหมือนแผนการของเธอนั้นสำเร็จแล้ว
พวกเขาทั้งหมดนั้นล้วนมีรถกันหมด จะมีเพียงเฉินเฟิงที่นั่งอยู่ในรถของโจวจื่อเอ๋อ เขาถามขึ้นมา : “คุณหมายความว่ายังไง?”
“ฉันไม่ได้มีอะไรสักหน่อย ก็แค่ออกไปเที่ยวเล่น กับเหล่าเพื่อนๆ เท่านั้น 。” โจวจื่อเอ๋อตอบกลับอย่างไม่ใส่ใจ
ในใจของเฉินเฟิงนั้นเกิดความไม่ชัดเจนขึ้นมาว่าทำไมตัวเองจะต้องมีความรำคาญใจเกิดขึ้นด้วย แต่เพื่อที่จะสงบสติอารมณ์ของตัวเอง ระหว่างการเดินทางเขาก็ไม่พูดอะไรอีกเลย
บึงน้ำคลื่นเขียวไม่ใช่เพียงแค่แอ่งน้ำธรรมดา แต่ยังมีการสร้างอาคารรับรองไว้บริเวณโดยรอบอีกด้วย ซึ่งเป็นดั่งจุดท่องเที่ยวขนาดย่อมอันหนึ่งเลยทีเดียว
และเมื่อเดินทางมาถึงที่นี่ พวกเขาก็ซื้อตั๋วก่อนจะพากันเข้าไปด้านใน
ภายในนั้นล้อมรอบไปด้วยภูเขา ป่าไม้อันเขียวชอุ่ม พร้อมด้วยอากาศที่แสนสดชื่นเป็นพิเศษ
ในขณะที่เฉินเฟิงได้เพียงเดินตามหลังไป ทางด้านโจวจื่อเอ๋อกลับดูเหมือนจะพูดคุยพร้อมกับหัวเราะไปพร้อมกับพวกเขาเหล่านั้น ซึ่งไม่รู้ว่าเธอกำลังจงใจยั่วโมโหเฉินเฟิง หรือว่าเดิมทีเธอก็เป็นแบบนี้อยู่แล้ว
กระทั่งเดินมาถึงด้านข้างของแอ่งน้ำ ก็มีคนหยิบเอาเบ็ดตกปลาที่พกมาด้วยออกมา แล้วแต่ละคนก็แยกย้ายกันไปเลือกที่ แล้วเริ่มการตกปลาอย่างเงียบๆ
ส่วนเฉินเฟิงกับโจวจื่อเอ๋อก็แยกตัวออกมา
ทั้งสองมานั่งอยู่ที่โถงทางเดินริมน้ำ หลังจากที่คิดใคร่ครวญอยู่นานเฉินเฟิงก็พูดออกมาในที่สุด : “ถ้าหากว่าคุณมีความสามารถมากพอจะต่อกรกับหมาป่าทะเลทรายได้ อย่างนั้นผมก็จะยอมตอบตกลงกับคำขอของคุณ”
โจวจื่อเอ๋อที่นั่งอยู่ตรงนั้น ราวกับว่าพอจะเดาได้ตั้งนานแล้วว่าเฉินเฟิงจะต้องตอบตกลงแน่นอน เธอจึงตอบกลับอย่างเรียบเฉย : “อย่างนั้นก็คำไหนคำนั้นค่ะ”
แต่จู่ๆ เธอก็ยิ้มขึ้นมา: “คุณชายเฉิน เป็นเพราะว่าคุณเห็นฉันอยู่กับผู้ชายคนอื่นเลยทำให้คุณรู้สึกไม่สบายใจใช่ไหมคะ ถ้าหากคุณต้องการ ฉันก็จะไม่สนใจพวกเขาเหล่านั้นอีก”
เฉินเฟิงอาจจะมีความรู้สึกแบบนั้นจริง แต่แน่นอนว่าเขาไม่มีทางยอมรับอยู่แล้ว และเพียงแค่แสร้งทำเป็นพูดด้วยความหงุดหงิดออกมา : “เรื่องนี้กับเรื่องนั้นมันไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกัน คุณอย่าใช้คำพูดแบบนี้มายั่วโมโหผมเลย”
โจวจื่อเอ๋อที่เมื่อเห็นว่าได้ตามที่ต้องการก็พอใจแล้ว และเธอไม่มีทางที่จะทดสอบอะไรซ้ำๆ กับคำถามที่ผู้ชายเกลียดชังไปมา เพราะนี่ไม่ใช่การเลือกที่ฉลากมากนัก
“อย่างนั้นคุณชายเฉินไม่เคยใจเต้นกับฉันเลยหรอคะ ?หรือว่าไม่เคยคิดที่จะครอบครองฉันเลยหรอ เพราะแม้แต่ตัวฉันเองก็ไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองจะเป็นฝ่ายเสนอตัวให้กับผู้ชายคนหนึ่งถึงที่แบบนี้” โจวจื่อเอ๋อราวกับกำลังพูดคุยเรื่องในใจกับเฉินเฟิง
แต่แล้วเชียนเฉินที่นั่งตกปลาอยู่ไกลๆ กลับหันมายิ้มให้กับโจวจื่อเอ๋อ และทางด้านโจวจื่อเอ๋อเองก็ยิ้มตอบกลับไปเช่นกัน
ส่วนเฉินเฟิงนั้นก็ไม่ได้ตอบคำถามของโจวจื่อเอ๋อ อีกอย่างเขาก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องบอกความคิดของตัวเองออกไปด้วย
จนกระทั่งถึงช่วงเที่ยงของวัน การตกปลาของพวกเขาไม่กี่คนนั้นก็สิ้นสุดลง พร้อมกับรวมกลุ่มกันไปทานอาหารพร้อมกัน
จากนั้นก็มีคนส่งกล่องอาหารให้กับเฉินเฟิงและโจวจื่อเอ๋อ แล้วเชียนเฉินก็พูดขึ้น : “ปกติก็มีการเตรียมของมาเกินอยู่แล้ว พวกคุณไม่ต้องไปเกรงใจอะไร ถ้าเกิดว่ายังไม่พอตรงนั้นก็ยังมีอีก”
ทั้งเฉินเฟิงและโจวจื่อเอ๋อต่างยิ้มบางๆ เป็นสัญลักษณ์แทนการกล่าวขอบคุณ
และในขณะที่เพิ่งทานอาหารไปได้เพียงครึ่งเดียว พวกเขาที่พากันนั่งอยู่ตรงบริเวณสนามหญ้าก็ได้เห็นว่ามีคนกำลังเดินเข้ามาหาพวกเขาด้วยท่าทีเดือดดาล
เขาคนนั้นมีลักษณะดุร้าย บนแขนเผยให้เห็นถึงรอยสัก แค่ดูก็รู้ว่าคงไม่ใช่คนดีอะไร
และจุดมุ่งหมายของเขานั้นก็ดูจะชัดเจนอย่างมาก นั่นก็คือทางที่เฉินเฟิงพวกเขานั่งอยู่นั่นเอง
เชียนเฉินในฐานะผู้นำในกลุ่มของพวกเขา จึงเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืนอย่างไม่เกี่ยง แล้วมุ่งหน้าเข้าไปหาอีกฝ่าย
“เป็นพวกคุณที่เข้ามาตกปลาที่นี่ใช่หรือเปล่า?”
ชายคนนั้นถามเชียนเฉินอย่างคลุ้มคลั่ง
ทางด้านเชียนเฉินตอบกลับด้วยมารยาท : “มีปัญหาอะไรหรือเปล่าครับ?ก่อนที่พวกเราจะมาถึงที่นี่ ได้ถามไปแล้วว่าที่นี่ตกปลาได้นะครับ”
แต่ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่พูดไม่จาอะไรให้ชัดเจนก็ลงมือใช้กำลังทันที
เขาลงมือผลักเชียนเฉินจนล้มลงไปกับพื้น
“ถามอะไร ได้ถามกับกูหรือยัง ?กูไม่เห็นด้วย มึงก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งนั้น”
เชียนเฉินในฐานะโฆษกของตระกูลเชียนในโลกปัจจุบัน เขาไม่เคยได้รับการปฏิบัติแบบนี้มาก่อน จึงทำให้เขามองไปยังชายคนนั้นด้วยความโกรธจนยั้งอารมณ์ไม่ได้
จากนั้นเขาจึงหวังจะลุกขึ้นยืนแล้วต่อยกลับไป
แต่ว่าร่างกายที่ยังไม่ทันได้ลุกขึ้น ก็ถูกชายคนนั้นเหยียบเข้าใส่อีกทีเสียก่อนแล้ว จึงทำให้เขาไม่มีทางลุกยืนได้เลย
คนที่เหลือที่อยู่ข้างๆ เมื่อเห็นอย่างนั้น จึงหวังจะเข้าไปช่วยเหลือทันที
แต่ทว่าอีกฝ่ายนั้นกลับมีความแข็งแกร่งอย่างมาก แล้วอย่างนั้นเหล่าคุณชายทายาทเศรษฐีอย่างพวกเขาจะไปเป็นคู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายได้อย่างไรกัน
เขาเพียงใช้มือผลักเพียงเล็กน้อย ชายเหล่านั้นก็ต่างถูกผลักจนล้มไปกองกับพื้นเช่นเดียวกับเชียนเฉินแล้ว
และไม่ว่ากี่คนๆ ก็เป็นแบบเดียวกันหมด
ทางด้านโจวจื่อเอ๋อที่ทนดูต่อไปไม่ไหว จึงหันไปบอกกับเฉินเฟิง : “คุณชายเฉิน คุณรีบเข้าไปช่วยพวกเขาเถอะค่ะ”
แต่เฉินเฟิงกลับตอบกลับอย่างไม่รู้ร้อนอะไรทั้งสิ้น : “ผมไม่อยากไปหาเรื่องใส่ตัวหรอกนะ อีกอย่างผมก็ไม่ได้ตกปลาด้วย”
โจวจื่อเอ๋อมองไปอย่างร้อนใจ แต่ว่าตัวเองกลับไม่ได้มีกำลังอะไร พวกเขาที่อยู่ตรงนั้นต่างก็ถูกชายหน้าโหดผลักจนล้มไปกองกับพื้นกันหมดแล้ว แต่เฉินเฟิงกลับยังแสดงท่าทีราวกับนี่เป็นเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขาเลย
แต่แล้วจู่ๆ โจวจื่อเอ๋อก็เหมือนจะนึกบางอย่างขึ้นมาได้ แล้วพูดกับเฉินเฟิงอีกครั้ง : “คุณชายเฉินอย่าบอกนะว่าเป็นเพราะเรื่องก่อนหน้านี้ เลยทำให้เกิดความอิจฉางั้นหรอคะ ?”
เฉินเฟิงเข้าใจได้เลยว่าโจวจื่อเอ๋อเพียงแค่ต้องการให้เขาเข้าไปช่วยเหลือเท่านั้น เลยใช้วิธีการนี้ในการกระตุ้นเขา แต่เฉินเฟิงกลับหัวเราะออกมาเบาๆ : “ผมเองก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุผลอะไรเหมือนกัน บางทีอาจจะเป็นอย่างที่คุณว่าก็ได้ ผมคงจะอิจฉา”