สายเปย์เบอร์หนึ่ง – ตอนที่ 35

ตอนที่ 35

บทที่ 35 ทรัพย์สมบัติของเยี่ยนจิง

“ไต้ห้าวหนานเหรอ” ซูเสี่ยวหยุนสีหน้าตกใจ เธอใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ

ยังไงก็ต้องใช้ยินชื่อเสียงเรียงนามของ ไต้ห้าวหนานอยู่แล้ว

ชื่อเสียงเลื่องลือของท่านประธานบริษัทการลงทุนหยุนเจี๋ยที่เป็นประธานอายุยังน้อย ถือว่าเด็กมาก

แต่กลับมีชื่อเสียงโด่งดัง สำหรับตลาดธุรกิจในต่างประเทศ

มีคนบอกว่าไต้ห้าวหนานอาจจะเป็นไปได้ว่าเขาสามารถต่อกรกับนักธุรกิจที่มีความสามารถหลายท่านหรือจะเป็นผู้นำในการทำธุรกิจต่างประเทศก็ได้

ส่วนบิดาของเขา ก็ลงจากตำแหน่งไปทำงานเบื้องหลังตั้งนานแล้ว ถ้าไม่ใช่เวลาที่เร่งด่วนหรือสำคัญอะไร

น้อยครั้งนักที่จะออกมาให้คนได้พบเห็น

พูดได้ว่า ไต้ห้าวหนานมีความสามารถรอบด้านอย่างไม่มีขีดจำกัด ศักยภาพในอนาคต

ยากนักที่จะจินตนาการได้

ส่วนซูเสี่ยวหยุน ก็ไม่ยินยอมให้ความร่วมมือระหว่างทำเรื่องเสียๆหายๆกับไต้ห้าวหนาน

ยิ่งแสดงท่าทีแข็งข้อกับไต้ห้าวหนาน มันจะส่งผลไม่ดีสำหรับการพัฒนาของบริษัทตนเอง

ส่วนความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของหลีชิงเยียนนั้น…ไต้ห้าวหนานถูกจับตัวไป

ดวงตางดงามของซูเสี่ยวหยุนกะพริบตาไปมา พร้อมทั้งสื่อความหมายเสน่หาเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อย เธอจ้องตา

หลีชิงเยียน แปลกใจเป็นอย่างมาก

คนอย่างไต้ห้าวหนาน ตอนอยู่ที่เมืองเมืองหู้ไห่ ถึงแม้ว่าจะเป็นศาลากลางของเมือง

ก็ไม่กล้าที่จะปล่อยปะละเลยไปได้… แต่เขากลับถูกจับตัวไป

เป็นไปได้ยังไง

อีกอย่างปฏิกิริยาตอบสนองของหลีชิงเยียน ทำราวกับว่าไม่อยากให้เขาออกมา

ทว่าสีหน้าของเฉินเป่ยเป็นปกติ เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าไต้ห้าวหนานถูกจับตัวไป

แต่ว่าคงไม่สามารถจับไว้ได้นาน…แต่ว่า ตนเองก็ลงโทษเขาไปแล้ว

ขอแค่เขารู้ข่าวคราวความเป็นมาที่แท้จริง คงจะปลอดภัยไร้กังวลดี

ถ้าความคิดเลวทรามต่ำช้าของไต้ห้าวหนานยังไม่หายไป… นัยน์ตาของเฉินเป่ยสื่อความหมายอย่างลึกซึ้ง

ความรู้สึกอยากจะฆ่าคนมันเริ่มปะทุกลับขึ้นมาอีกครั้ง….

“ทำไมเขาถูกจับไปได้ล่ะ” ซูเสี่ยวหยุนเอ่ยปากถามอย่างสงสัย

สีหน้าของหลีชิงเยียนดูสับสน เธออยากจะพูดเหตุผลออกไป แต่ว่าการที่ถูกไต้ห้าวหนานคอยใส่ความเธอนั้น

จนมันทำให้ตนเองไม่อยากย้ายฝั่ง

แต่ว่าตอนที่เธออยากจะเอ่ยปากพูด สุดท้ายแล้วคำพูดที่อยู่ที่ริมฝีปากก็กลืนลงคอไปแทน

ไม่ยอมพูดอะไรออกมา

“ฉันก็ไม่ค่อยแน่ใจเท่าไหร่”ในที่สุดหลีชิงเยียนก็พูดอธิบายขึ้นมา

ดวงตางดงามของซูเสี่ยวหยุนมองหลีชิงเยียนด้วยความหมายอยู่แวบหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดก็ไม่ได้พูดอะไรได้แต่พยักหน้า

“ท่านประธานหลี พี่ซู พวกคุณสองคนดูทีวีกันไปสักพักก่อนนะ ผมจะไปปอกผลไม้มาให้คุณสองคน”

เฉินเป่ยพูดเอาอกเอาใจ แล้วเดินมุ่งหน้าไปทางห้องครัวอย่างรีบร้อน

ซูเสี่ยวหยุนเงยหน้าขึ้น พร้อมทั้งมองเฉินเป่ยอยู่แวบหนึ่ง พร้อมทั้งกระตุกยิ้มบริเวณมุมปากให้

อีกทั้งใช้เรียวขางามถีบหลีชิงเยียนไปหนึ่งที แถมถามกลับ “แกบอกกับผมว่าอีตานี่กินเก่งแต่ขี้เกียจทำ

แต่ที่ฉันดูแล้วเขาก็ขยันเอาการเอางานเป็นปกติดีนี่”

หลีชิงเยียนส่งเสียงในลำคอ ถึงแม้ว่าจะมองเฉินเป่ยเปลี่ยนความคิดไปจากเดิมแล้ว

แต่ว่าพอคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้

“ถ้าเขาขยันขึ้นมาจริงๆ ก็คงไม่หมกตัวอยู่กับบ้าน จนต้องเกาะฉันกินหรอก” สีหน้าหลีชิงเยียนดูถูก

“นั่นก็ถือว่าดีมาก ยังดีกว่าการที่เขาออกไปข้างนอกแล้วไปให้ความหวังสาวๆ มัวแต่หมกมุ่นกับสาวๆ” ซูเสี่ยวหยุนพูดไปยิ้มไป

“เขากล้าเหรอ!” หลีชิงเยียนพูดอย่างเย็นชาอยู่ในลำคอ ท่าทางเย็นชาอย่างมาก

“ให้ยืมความกล้าบ้าบิ่นไปเต็มร้อยเขาก็ไม่กล้าทำ ไม่งั้นฉันจะตีขาเขาให้หัก

ต่อไปอย่าได้คิดว่าจะเข้ามาที่บ้านฉันได้!”

“โห ขี้หวงขนาดนั้นเชียว เมื่อครู่มองไม่ออกเลย” ซูเสี่ยวหยุนอึ้งเล็กน้อย

พร้อมทั้งยิ้มให้อย่างมีความหมายแอบแฝง

“เงินที่ฉันจ่ายไปหลายหมื่นหยวนต่อเดือนจะให้จ่ายไปฟรีหรือไง เขาเป็นคนของฉัน ฉันไม่อยากแตะต้อง คนอื่นก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปแตะต้องเช่นกัน” หลีชิงเยียนตอบอย่างเย็นชา

“ใช่ๆๆ ไม่ว่าแกพูดว่าอะไรก็ถูกต้องไปทั้งหมดแหละ” ซูเสี่ยวหยุนยิ้มเล็กน้อย ช่วงเวลานั้นเอง เฉินเป่ย

ก็ถือจานผลไม้เดินเข้ามา จากนั้นก็วางจานลงบนโต๊ะกาแฟ

“ท่านประธานหลี พี่ซู ผลไม้จัดจานเรียบร้อยแล้ว ลองชิมดู” เฉินเป่ยพูดอย่างให้เกียรติ

ดวงตางดงามของซูเสี่ยวหยุนกวาดตามออยู่แวบหนึ่ง มุมปากกระตุกยิ้ม “ใช้ได้เลยนี่

ถือว่ามีความสามารถในการใช้มีดทำได้ไม่เลวเลย”

ซูเสี่ยวหยุนใช้ไม้จิ้มฟันจิ้มแอปเปิลขึ้นมาหนึ่งชิ้น จนเห็นว่าเฉินเป่ยหั่นแอปเปิลที่ชุ่มฉ่ำชิ้นนี้ได้บางมาก

ตรงที่บางที่สุด มันบางถึงขนาดเท่ากับปีกตัวจักจั่นเลย

ขนาดที่ว่าแสงไฟสามารถส่องแสงลอดผ่านแอปเปิลชิ้นนี้ลงมาได้

ความสามารถในการใช้มีดแบบนี้ ถึงแม้ว่าซูเสี่ยวหยุน

ที่เคยไปทานอาหารที่มิชลินสตาร์ให้ดาวสามดวงตามร้านอาหารในต่างประเทศ

ยังไม่เห็นการใช้มีดที่ประณีตบรรจงแบบนี้มาก่อนเลย!

หลีชิงเยียนยื่นมือยาวเรียวสวย หยิบแตงโมขึ้นมาหนึ่งชิ้น น้ำแตงโมฉ่ำสีแดง

ไหลลื่นเข้าไปในปากงดงามของหลีชิงเยียน ในที่สุดก็กินทั้งชิ้น

ภาพนี้ จะทำให้คนอดใจไว้ได้อย่างไร

“ท่านประธานหลี รสชาติใช้ได้ไหมคับ ” เฉินเป่ยถามด้วยรอยยิ้ม

“ไปซื้อแตงโตลูกนี้ที่ไหนมาเหรอ” หลีชิงเยียนถามเสียงใสอยากรู้

“วันนี้ไปตลาดแล้วเห็นว่าคนไปซื้อกันเยอะ เลยซื้อมาลูกหนึ่ง ไม่คิดว่าจะหวานขนาดนี้ครับ” เฉินเป่ย

ตอบตามปกติ สิ่งที่เขาไม่ได้บอกหลีชิงเยียนก็คือ แตงโมลูกนี้เขาตั้งใจให้ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาคนนั้น

ส่งมาจากห้องวิจัยจากต่างประเทศโดยใช้การขนส่งทางเครื่องบินมาเลย มันเป็นพันธุ์ใหม่ ตั้งใจจะเอามาให้หลีชิงเยียนได้กินโดยเฉพาะ

“แตงโมลูกนี้ไม่เลวเลยแหละ คราวหน้าซื้อมาเยอะๆนะ” หลีชิงเยียนเสนอความคิดเห็นเอาไว้

สีหน้าของเฉินเป่ยนิ่งเฉย แตงโมลูกนี้ จะกินทุกวันได้ยังไงล่ะ…. มันมาจากห้องวิจัยพืชพันธุ์ใหม่เลย

มันเป็นพันธุ์ที่หวานที่สุดในโลก ส่วนราคาลูกนี้

ราคามันสูงเป็นพันเท่าเมื่อเทียบกับราคาแตงโมที่คนทั่วไปเขากินกัน!

“เสี่ยวเยียนทางเยี่ยนจิงนั้น เหมือนว่ามีคนมาแล้วนะ” อยู่ดีๆซูเสี่ยวหยุนก็ถามเหมือนไม่ได้ตั้งใจถาม

เหมือนกำลังคำถามทั่วไป แต่เหมือนคำถามลวงถามมากกว่า

“เยี่ยนจิง……”ร่างกายทุกสัดส่วนของหลีชิงเยียนสั่นเล็กน้อย ใบหน้าเรียวพยายามที่จะทำให้เหมือนปกติ

ทว่าดวงตางดงามกำลังสบสน ทำให้คนอื่นมองออก

คนละเอียดรอบคอบอย่างซูเสี่ยวหยุนสัมผัสได้กับท่าทีที่เปลี่ยนไปบนใบหน้าของหลีชิงเยียน

ทั้งๆที่รู้อยู่แล้วแต่แกล้งทำเหมือนไม่รู้ เลยถามไปว่า “เสี่ยวเยียนจริงเหรอ ทางเยี่ยนจิงนั่น

ฉันได้ข่าวว่ายังมีตระกูลที่ร่ำรวย แซ่….”

ซูเสี่ยวหยุนยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกเสียงของหลีชิงเยียนพูดแทรกขึ้นมาแทน น้ำเสียงเย็นชาราวกับน้ำแข็ง

ตระกูลหลี อยู่ที่เมืองเมืองหู้ไห่ ส่วนเยี่ยนจิง มันไม่มีความสัมพันธ์ใดๆข้องเกี่ยวกันเลย

“เวลาก็ดึกมากแล้ว ฉันขอตัวไปนอนก่อนนะ”

หลีชิงเยียนลุกขึ้นยืน แล้วก็เดินจ้ำอ้าวมุ่งหน้าไปห้องนอนที่อยู่ชั้นสอง แล้วทิ้งให้เฉินเป่ยกับซูเสี่ยวหยุน

นั่งมองหน้ากันอยู่ที่เดิม

ความคิดของเฉินเป่ยกับซูเสี่ยวหยุนนั้นมองหน้าก็รู้ใจ รู้ทันทีว่าหลีชิงเยียนกำลังปกปิดอะไรบางอย่างอยู่

ไม่แน่ ตระกูลหลีของเยี่ยนจิง อาจจะมีสายสัมพันธ์ความเป็นพ่อลูกกับทางตระกูลหลีจริงๆก็ได้

หลีชิงเยียนเดินเข้าไปในห้องนอนที่อยู่ชั้นสอง จากนั้นก็ล็อกประตูห้องนอน แล้วมองนอกหน้าต่าง

ท้องฟ้ามืดสนิทยามค่ำคืน ความรู้สึกที่อยู่ในใจไม่สามารถสงบลงได้ สีหน้าดูเหนื่อยล้าเต็มทน

“เป็นอะไรไปเหรอ” ทันใดนั้น ก็มีเสียงดังมาจากทางด้านหลังของหลีชิงเยียน แทบไม่รู้เลยว่าตอนไหน

เฉินเป่ยก็มาอยู่ด้านหลังของหลีชิงเยียนแล้ว ประตูบานนั้นมันก็ล็อคไปแล้ว สำหรับคนอย่างเฉินเป่ยแล้ว

เหมือนว่าไม่ได้ใส่ใจกับประตูบานนั้นเลย

“พวกเราเป็นสายเลือดของเยี่ยนจิงคนในตระกูลหลีที่เขาทอดทิ้งเราไป” หลีชิงเยียนพูดออกมารวดเดียว

พร้อมทั้งเห็นความเหนื่อยล้าที่สื่อออกมาจากดวงตางดงาม

เธอเหนื่อยล้าเต็มทน กลางวันก็เป็นเป็นผู้หญิงในดวงใจของคนมากมาย

เป็นท่านประธานของบริษัทที่มีชื่อเสียงโด่งดัง ไม่เพียงแต่วุ่นวายกับงานของบริษัท

แถมยังต้องเผชิญชะตากรรมถูกข่มขู่จากทางด้านของฝั่งเยี่ยนจิงนั้นด้วย

เฉินเป่ยมองเห็นแผ่นหลังของหลีชิงเยียนกำลังสั่นเทาเล็กน้อย ภายในดวงตาดำขลับ

กลับมีแววตานิสัยเสียปรากฏออกมาอยู่แวบหนึ่ง

“คุณวางใจได้ ไม่ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไร ผมยังอยู่กับคุณเสมอ”เฉินเป่ยเอ่ยปากอย่างหนักแน่น

สีหน้าแววตาให้คำมั่น

เขาสามารถคาดเดาอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ น้อยครั้งนักที่จะเห็นสีหน้าที่หนักแน่นแบบนี้ขึ้นมา

หลีชิงเยียนหันศีรษะกลับมา มองไปทางเฉินเป่ย ผู้ชายคนนี้ในเวลานี้

บนตัวเขามันมีพลังอะไรบางอย่างที่ปกติไม่เคยมีมาก่อนเลย มันทำให้เธอสบายใจขึ้นมาก

“อืม” ดวงตางดงามของหลีชิงเยียนจ้องมองเฉินเป่ย วินาทีนั้นเธอสบายใจขึ้นมาก เฉินเป่ย

ทำให้หัวใจของเธอเกิดความรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างบอกไม่ถูก

“นี่ก็ดึกมากแล้ว รีบนอนเถอะ”

หลังจากที่เฉินเป่ยเดินออกจากห้องนอนไปแล้ว ดวงตาดำขลับคู่นั้น หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา

พลางกรอกปากพูดกับชายหนุ่มที่อยู่ปลายสาย “ช่วยฉันหาข้อมูลตระกูลหลีที่เยี่ยนจิง

ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับภรรยาของฉัน”

ครู่หนึ่ง เสียงปลายสายของชายหนุ่มดูตกใจและสงสัยอยู่ไม่น้อย “ลูกพี่ มันแปลกอยู่นะ คนในตระกูลหลี

คนที่เยี่ยนจิง ไม่มีความสัมพันธ์ใดๆเกี่ยวข้องกับพี่สะใภ้เลย… ”

“จริงเหรอ” เฉินเป่ยตะลึงอยู่สักพัก แววตาดูเคร่งเครียด…ถ้าไม่ได้เกี่ยวข้องกันจริงๆ แล้วทำไมหลีชิงเยียน

ถึงได้พูดแบบนั้นออกมา

“แน่สิ” พร้อมทั้งได้ยินเสียงกดแป้นพิมพ์ดังออกมาจากปลายสาย “ผมตรวจหาข้อมูลดูแล้ว

การใช้ชีวิตตั้งแต่เด็กจนถึงปัจจุบันของพี่สะใภ้ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับทางตระกูลหลีแต่อย่างใด ลูกพี่เข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า”

“ไม่เป็นไร”

หลังจากที่วางสายโทรศัพท์แล้ว จากนั้นก็จ้องมองท้องฟ้ายามค่ำคืนอันมืดมิดด้านนอกหน้าต่าง

สายตามองไปเรื่อยเปื่อยไม่มีจุดหมาย…

  …………

วันรุ่งขึ้น ซูเสี่ยวหยุนกับหลีชิงเยียนออกจากคฤหาสน์พร้อมกัน พร้อมทั้งพูดว่ามีประชุมที่บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป

เพื่อจะไปคุยงานทิศทางในการขยายกิจการของทั้งสองบริษัท

พอถึงเวลาพักกลางวัน เฉินเป่ยที่ยังคงทำงานบ้านอยู่ในวิลล่า ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น หลังจากรับสายแล้ว

เป็นเสียงสดใสมีเสน่ห์ของซูเสี่ยวหยุน “ไปกินข้าวเที่ยวกันไหม”

เฉินเป่ยตะลึงอยู่ชั่วครู่ “ทำไมคุณถึงได้โทรศัพท์มาหาผมล่ะ”

“เสี่ยวเยียนไม่ยอมมาด้วยกัน” ซูเสี่ยวหยุนเอ่ยปากบอก จนมุมปากของเฉินเป่ยกระตุกยิ้ม

พลันจินตนาการภาพตามในเวลานั้นขึ้นมาทันที

“โอเค รอผมแปบ” เฉินเป่ยวางสาย แล้วก็เดินออกจากคฤหาสน์

พร้อมทั้งขี่รถจักรยานคันเก่าผุพังคันนั้นมุ่งหน้าไปทางอาคารตระกูลหลี….

เวลา 11 นาฬิกา หลังจากที่เฉินเป่ยจอดจักรยานเรียบร้อยแล้ว เขาก็ยืนสูบบุหรี่ข้างรถจักรยาน

ตอนที่พ่นควันบุหรี่ออกมานั้น เวลานั้นเอง บริเวณหน้าประตูของอาคารตระกูลหลี

ก็มีร่างที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจปรากฏกายขึ้น

เฉินเป่ยหรี่ตาลงเล็กน้อย มุมปากกระตุกยิ้มอย่างเหยียดหยาม เอ่ยปากถาม “ท่านประธานซู

ผมไม่คิดเลยว่าคุณจะนัดกับผมสองต่อสอง”

“มันแปลกมากเลยเหรอ” ซูเสี่ยวหยุนพูดจามีเลศนัยพร้อมทั้งจ้องมองเฉินเป่ยอย่างมีนัยยะ

“มีบ้าง”

ซูเสี่ยวหยุนหันกลับไปมอง พร้อมทั้งใช้สายตาประเมินรถจักรยานของเฉินเป่ย จนต้องเอ่ยปากถาม

“คุณคิดจะขี่รถจักรยานคันนี้มาเลี้ยงข้าวฉันเหรอ”

“มันไม่ดีเหรอครับ” เฉินเป่ยค่อยๆพ่นควันบุหรี่ออกมาอีกครั้ง ทั้งยังถามกลับอย่างมีความหมายอื่นแอบแฝง

“มันตกใจมากกว่า น้อยครั้งที่ฉันจะขี่รถจักรยาน” ซูเสี่ยวหยุนยิ้มด้วยรอยยิ้มมีเสน่ห์

ยิ้มจนทำให้คนตกหลุมรักกับความสวยงาม

เฉินเป่ยได้แต่ยิ้มให้แต่ไม่ได้พูดอะไร รถจักรยานคันนี้เป็นสิ่งของเพียงชิ้นเดียวที่เขาเอาเข้าบ้านตระกูลหลี

ทว่าจักรยานคันนี้เป็นจักรยานที่ทำด้วยมือของอาจารย์ชาวเยอรมันท่านหนึ่ง

ราคาก็เกินกว่าสิ่งของมากมายที่อยู่ในคฤหาสน์หรูหราไปหลายเท่าตัวนัก เพราะว่ารถจักรยานคันนี้

บนโลกใบนี้มีเพียงสองรุ่นเท่านั้น

ส่วนอีกรุ่นไม่นานมานี้มีงานประมูลที่สหรัฐอเมริกาก็ถูกประมูลราคาด้วยราคาสูงลิบลิ่ว 1.3พันล้าน!

ด้วยความที่เฉินเป่ยไม่ค่อยสนใจที่จะดูแลรักษาสักเท่าไหร่

จนทำให้มองภายนอกรถจักรยานคันนี้มันเก่าผุพังเต็มทน

เมื่อเอามาเปรียบเทียบกับรถจักรยานธรรมดาสภาพมันยังดีกว่าเลย

“ขึ้นรถ”

เฉินเป่ยเอ่ยปาก

ซูเสี่ยวหยุนนั่งซ้อนท้ายรถจักรยาน เฉินเป่ยเป็นคนขี่รถจักรยานเอง ส่ายไปส่ายมา

ขี่ไปไกลจากที่เดิมอย่างช้าๆ คนที่ผ่านไปผ่านมาบริเวณอาคารตระกูลหลี จนเกิดเป็นภูมิทัศน์ที่งดงามสดใส

หญิงสาวสวยมีเสน่ห์คนหนึ่ง กำลังนั่งซ้อนท้ายรถจักรยานไปกับผู้ชายที่แต่งตัวใส่เสื้อผ้าขาดวิ่น

ดูจากการแต่งกายภายนอกของหญิงสาวคนนี้แล้ว

พูดได้เต็มปากเลยว่าเป็นหญิงสาวที่สวยหยาดเยิ้มยากที่คนจะลืมเลือนได้

แต่สิ่งที่ทำให้ผู้คนต้องเบิกตามอง ก็คือหญิงสาวสวยหยาดเยิ้มคนนี้

นั่งซ้อนท้ายจักรยานคันเก่าผุพังคันนั้นไป!

สายตาของผู้คนโดยรอบ มีทั้งตกใจ งุนงง แต่สายตาที่มากกว่าคือการดูถูกและเย้ยหยัน

สายเปย์เบอร์หนึ่ง

สายเปย์เบอร์หนึ่ง

Status: Ongoing

เขาเป็นคนที่ทำให้คนอื่นกลัวและเคารพ แต่กลับกลายเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง ต่ำต้อยเหมือนฝุ่น ไม่เอาไหนเหมือนขยะ ราวกับว่าใครๆก็สามารถเหยียบย่ำเขาไว้ใต้เท้าแต่ ในใจเขามีความทะเยอทะยาน…….จะมีสักวันหนึ่ง เขาจะจับมือเธอ มอบโลกทั้งใบให้เธอ!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท