แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่213 พระจันทร์มืดลมแรง
หลีเช่าหงสีหน้าแข็งไปเล็กน้อย ส่วนบอดี้การ์ดด้านหน้าเฉินเป่ยคนนั้นคงไม่ได้โชคดีขนาดนั้น
ในฐานะบุคคลทำงานลับเฉพาะแนวหน้า คุณภาพร่างกายของเขาทระนงองอาจอย่างมาก ยิ่งผ่านการฝึกฝนต้านการโจมตี……ยังห่างไกลกว่าบอดี้การ์ดธรรมดาจะพอมาเปรียบเทียบได้
แต่ตอนที่ฝ่ามือหนึ่งของเฉินเป่ยตกลงมา เกือบทำให้เขาพัดลอยไปดื้อๆ ตาลายจนเห็นดาว
บอดี้การ์ดคนนี้ใกล้จะสงสัยในชีวิตตนเองเสียแล้ว เฉินเป่ยเป็นเพียงนักเลงข้างถนนธรรมดาคนหนึ่ง แต่กำลังกลับใหญ่โตจนน่าตกใจ ผิดปกติอย่างยิ่ง
“ว่ามา ทำไมถึงทำเมียฉันตกใจ” เฉินเป่ยจับคอเสื้อของบอดี้การ์ดขึ้น ตะคอกอย่างโมโห
หลีชิงเยียนที่อยู่ด้านข้างงงไปหมด มองเฉินเป่ยออกหน้าเพื่อเธอ ดวงตางดงามอึ้งค้าง
“ผมไม่ได้ทำ” บอดี้การ์ดอยากจะลงมือโจมตีคืน……แต่หลีเช่าหงไม่ได้มีคำสั่งใดๆ เขาจึงไม่กล้าขยับ
บอดี้การ์ดหลายคนที่อยู่ด้านข้างเฉินเป่ยมองเห็นเพื่อนร่วมรบของตนเองถูกเฉินเป่ยสบประมาทต่อยตีอย่างกำเริบเสิบสาน ดวงตาทั้งคู่เย็นยะเยือก ราวกับสัตว์ป่าดุร้าย แต่ละตัวเหมือนอยากกลืนเฉินเป่ยลงไป
พวกเขายืนอยู่ตรงนั้น ร่างกายสั่นเทา พวกเขาอยากลงมือมาก แต่ความรู้ความสามารถด้านกลยุทธ์แนวหน้าของพวกเขาบอกกับพวกเขาว่าหลีเช่าหงไม่ได้สั่งการ
“ไม่ได้ทำแล้วนายหลายๆ คนนี้วิ่งเข้ามาทำอะไร หาเรื่องโดนตีเหรอ?” เฉินเป่ยยิ้มเยาะตวาด และตบหน้าไปอีก
“ปั๊วะๆๆ”
เฉินเป่ยใช้มือทั้งสองหมุนเวียนกันตบ เสียงฝ่ามือตบที่กังวานแข็งๆ บอดี้การ์ดคนนั้นยืนอยู่ที่เดิม ไม่นานแก้มก็บวมสูงขึ้น ถูกตบจนใกล้จะกลายเป็นหัวหมูแล้ว
กำลังของเฉินเป่ยแรงเหลือเกิน ถึงแม้จะเป็นบอดี้การ์ดแนวหน้า เดิมทีก็รับไม่ไหว
“ป๊าบ”
ทันใดนั้นเสียงบอดี้การ์ดร้องโหยหวนดังขึ้นทีหนึ่งจนสิ้นทันที เลือดสดกระจาย บอดี้การ์ดพ่นฟันที่เปื้อนเลือดซี่หนึ่งออกมา
บอดี้การ์ดคนนี้ เวลานี้ย่ำแย่จนเกินทน มีท่าทางพาลแบบก่อนหน้าที่ไหน แม้แต่โดนเฉินเป่ยตบจนอ้วนฉุเปลี่ยนรูปไปแล้ว
“ยังมีใครอีกที่กล้าทำเมียฉันตกใจ” เฉินเป่ยทำเสียงฮึดฮัด
“พอแล้ว”
ในทันใดนั้นหลีเช่าหงหมดความอดทน หมุนตัว สีหน้าหนาวเหน็บราวกับน้ำค้างแข็ง
เฉินเป่ยมองทางหลีเช่าหง สีหน้าเปลี่ยนไป จากนั้นเผยรอยยิ้มออกมา “นายไม่ได้สั่งสอนลูกน้องของนายให้ดี ฉันเลยลงมืออบรมให้สักหน่อย ไม่ต้องขอบคุณฉันหรอก”
หลีเช่าหงมองเฉินเป่ยอย่างเย็นชา เฉินเป่ยสีหน้าเรียบนิ่ง หนังหน้าหนาจนถึงขั้นที่ทำให้เดือดดาลมาก
“เอ๋อตงเฉิน ที่ฉันมาวันนี้ ถ้าแกไม่สามารถให้คำตอบที่น่าพอใจกับฉันสักอย่างได้……” หลีเช่าหงหันหน้ามากวาดตามองหลีชิงเยียนทีหนึ่ง “ฉันจะให้หล่อนไปฝังอยู่ในสุสานด้วยกันกับแก”
คำพูดหลีเช่าหงพึ่งร่วงลง ชายชุดดำหลายคนก็เคลื่อนไหวร่างกาย ปรากฏตัวด้านหลังของหลีชิงเยียน ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของเฉินเป่ยเปลี่ยนไป แรงอาฆาตหนึ่งยิงสะท้อนออกมา
“บ้านหลียังหลงงมงายไม่เลิก” เฉินเป่ยยิ้มเยาะบอก
“สรุปแกพูดอะไรไป ทำให้หล่อนหักหลังฉัน……” หลีเช่าหงก้าวเท้าหนึ่งออก ยืนอยู่ด้านหน้าของเฉินเป่ย สอบถามอย่างหนาวเย็น
ใบหน้าหลีชิงเยียนซีดขาว เธอรู้สถานการณ์ในเวลานี้ดีมาก ซึ่งอันตรายอย่างมาก
วันนี้หลีเช่าหงเตรียมพร้อมเข้ามา เขาคงไม่พูดหลอกๆ ถ้าต้องการจะฆ่าจริง สิ่งที่สั่งการต้องเป็นวิธีสังหารหมู่อย่างแน่นอน
“ฉันบอกหล่อนว่าตามนายไปก็ไม่มีอนาคตหรอก” เฉินเป่ยพูดเสียดสี
หลีเช่าหงจ้องมองเฉินเป่ยแวบหนึ่ง มุมปากโค้งเส้นรัศมีวงกลมขึ้น
เขายื่นมือออก บอดี้การ์ดคนหนึ่งนำปืนพกรีวอลเวอร์ที่งดงามกระบอกหนึ่งยื่นให้อย่างเคารพนบน้อม
เฉินเป่ยสีหน้าสงบเรียบเฉย แต่หลังจากมองเห็นปืนพกรีวอลเวอร์กระบอกนั้น ในแววตาลึกก็มีความดุเดือดแฉลบผ่าน
หลีเช่าหงรับปืนพกรีวอลเวอร์กับกระสุนมา นำกระสุนลูกหนึ่งยัดเข้าในรูเล็ตต์แล้วค่อยๆ เอ่ยปาก “รูเล็ตต์รัสเซีย แกน่าจะเคยเล่นมั้ง?”
หลีชิงเยียนมองทางปืนพกรีวอลเวอร์กระบอกนั้น ในใจเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้น ดวงตางดงามเผยความหวาดกลัวออกมา
“แกอยากทำอะไร?” เฉินเป่ยพ่นเสียงหนึ่งออกมา สีหน้าเย็นยะเยือก
“โอกาสกุมไว้ในมือของแกอยู่ พูดกับไม่พูด……แกตัดสินใจแล้วกัน” หลีเช่าหงหัวเราะเยาะเย้ย รอยยิ้มนี้เต็มไปด้วยคาวเลือดโหดร้าย
ในที่สุดสีหน้าเฉินเป่ยก็เปลี่ยนไป ตอนที่ปืนพกรีวอลเวอร์ของหลีเช่าหงจ่อบนศีรษะของหลีชิงเยียน ในที่สุดเขาก็เผยแรงอาฆาตมหาศาลที่ไม่เก็บซ่อนใดๆ
“แกกล้า” เฉินเป่ยท่าทางดุร้าย แววตาโหดเหี้ยม อุณหภูมิในอากาศลดลงทันใด โดนแรงอาฆาตไร้ขอบเขตจนแทบแข็งเป็นน้ำแข็งก่อนหมด
เฉินเป่ยมองทางหลีชิงเยียน ใจร้อนเหมือนโดนไฟลนก้น ครั้งนี้เขาคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง หลีเช่าหงจะทำเรื่องที่รุนแรงมากขนาดนั้น
“ปัง”
ทันใดนั้นหลีเช่าหงก็ดึงไกปืน เสียงดังกังวานทีหนึ่ง หลีชิงเยียนหลับตาไว้ ร่างกายสั่นเทา
ใบหน้างดงามของหลีชิงเยียนซีดขาว……เธอโดนปืนพกรีวอลเวอร์ในมือของหลีเช่าหงทำให้ตะลึงค้างถึงที่สุด…….แต่ละวินาทีมีชีวิตอยู่บนขอบของความเป็นความตาย
หลีชิงเยียนเคยพบเจอกับเรื่องเส้นความเป็นความตายอย่างนี้ตั้งแต่เมื่อไร……เธอไม่เคยคิดว่าหลีเช่าหงจะไร้จิตใจขนาดนั้น พอภายนอกจอมปลอมในตอนต้นโดนฉีกออก ในใจของหลีเช่าหงยังเหี้ยมโหดไร้ความรู้สึกหลายเท่า นับไม่ถ้วนยิ่งกว่าหลีเช่าเทียนเสียอีก
หลีเช่าเทียนมีความหยิ่งยโสของตนเอง นั่นเป็นข้อบกพร่องใหญ่ที่สุดของเขา ส่วนหลีเช่าหง เดิมทีไม่มีข้อเสียพวกนี้อย่างหลีเช่าเทียน ทว่าเขายังจบจุดอ่อนของเฉินเป่ยอีกด้วย……นั่นก็คือหลีชิงเยียน
หลีชิงเยียนถอนหายใจออกมาทีหนึ่งอย่างหนักหน่วง ส่วนเฉินเป่ยดวงตาทั้งคู่แดงก่ำ ร่างกายสั่นเทาไม่หยุด ราวกับภายในตัวมีสัตว์ป่าดุร้ายอยู่
หลีชิงเยียนเป็นที่หวงแหนของเฉินเป่ย……เฉินเป่ยเคยสาบานว่าจะไม่ทำให้หลีชิงเยียนได้รับบาดเจ็บ แต่ตอนนี้หลีเช่าหงกลับกำเริบเสิบสาน ใช้วิธีแบบนี้เริ่มต้นบีบบังคับเขาแล้ว
“ปัง”
เป็นเสียงดังกังวานอีกทีหนึ่ง หัวใจของเฉินเป่ยแขวนอยู่ที่ลำคอ……หลีชิงเยียน กำลังเข้าใกล้ความตายไปทีละก้าว
“แกปล่อยเธอออก แล้วฉันจะบอก” ทันใดนั้นเฉินเป่ยเอ่ยปาก ทำให้ในใจหลีชิงเยียนสั่นไหว ดวงตางดงามมองทางเฉินเป่ย มีความไม่เข้าใจ
หลีชิงเยียนไม่เข้าใจ ระหว่างเฉินเป่ยกับหลีเช่าหง สรุปมีข้อพิพาทอะไรกันอยู่
แต่นั่นไม่สำคัญหรอก หลีชิงเยียนถอนหายใจยาวๆ เธอหลุดพ้นจากอันตรายแล้ว
“ฉันไม่ได้พูดอะไรกับหล่อน แต่หล่อนไปที่องค์กรมังกรแล้ว” เฉินเป่ยมองทางหลีเช่าหงแล้วพูดขึ้น
เวลานี้หลีชิงเยียนเร่งรีบพุ่งไปด้านหน้าของเฉินเป่ย ภาพผู้หญิงงดงามคนนี้กระโจนเข้าในอ้อมอกของเฉินเป่ย
เฉินเป่ยถือโอกาสโอบไว้แนบแน่น สัมผัสได้ถึงความสมบูรณ์แบบของเค้าโครงรูปร่างดีเยี่ยมของหลีชิงเยียน อุ่นหอมราวหยกอ่อนอยู่ในอ้อมอก ยังมีกลิ่นหอมจางๆ บนตัวหลีชิงเยียนที่คล้ายกับดอกกล้วยไม้อีกด้วย ทำให้เฉินเป่ยดมอย่างไรก็ไม่พอ
“ไม่เป็นไรแล้ว ทุกอย่างไม่เป็นไร” ความดุร้ายทั่วตัวของเฉินเป่ยหายไปทันที กอดหลีชิงเยียนที่ในใจมีความกลัวไว้แน่น ร่างกายอ่อนช้อยสั่นเทานิดหน่อย พูดปลอบโยนเสียงละมุน
“องค์กรมังกร……” หลีเช่าหงได้ยินสี่คำนี้ ชั่วขณะนั้นสีหน้าเปลี่ยนไป เขาซึ่งแต่ไหนแต่ไรเป็นคนน้ำนิ่งไหลลึก เป็นครั้งแรกที่พูดโพล่งออกมาโดยจิตใต้สำนึก โต้กลับเสียงดุ “เป็นไปไม่ได้ จากประวัติของเขา ชาตินี้ก็เข้าองค์กรมังกรไม่ได้”
เฉินเป่ยมองเขาอย่างหยอกเย้าทีหนึ่ง กอดหลีชิงเยียนไว้ หมุนตัวแล้วเดินไปทางรถไมบัค
“รองหัวหน้าการกระทรวงครับ ไม่จัดการเขาทิ้งเหรอครับ?” ด้านข้าง บอดี้การ์ดคนหนึ่งพูดขึ้นมาก่อน
หลีเช่าหงยืนอยู่ตรงนั้น สีหน้ามืดครึ้มไม่สงบ คำพูดของเฉินเป่ยทำให้คลื่นยักษ์ใหญ่ในใจเขายกตัวขึ้น ทำให้เขายากจะสงบใจ
“องค์กรมังกร……” หลีเช่าหงพึมพำ เขาจมสู่ภายในความคิด คำพูดของบอดี้การ์ดโดนเขาเพิกเฉยโดยอัตโนมัติ
ทันใดนั้นหลีเช่าหงสั่นไปทั้งตัว นึกถึงอะไรได้ฉับพลัน สายตาเผยแสงอันรุ่งโรจน์ “หล่อนเข้าองค์กรมังกรได้ นั่นต้องเกี่ยวข้องกับเอ๋อตงเฉินแน่”
“ไปเชิญคนประเทศตี้กั๋วมา” หลีเช่าหงสั่งเสียงดุ
………..
ในรถไมบัค หลีชิงเยียนนั่งอยู่ที่นั่งข้างคนขับ ใบหน้างดงามยังซีดขาวอยู่เล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าเรื่องเมื่อสักครู่สร้างความตกใจต่อเธอมากเหลือเกิน ทำให้ถึงตอนนี้เธอยังตื่นตระหนกไม่สงบ
“กลับไปดื่มนมอุ่นสักแก้ว นอนสักตื่นก็ดีขึ้นแล้ว” เฉินเป่ยมองหลีชิงเยียนไม่ขาด พูดเสียงละมุน
ผ่านไปตั้งนานแล้วหลีชิงเยียนถึงถามขึ้น “องค์กรมังกรคืออะไร?”
เฉินเป่ยตะลึง ในใจสั่นไหวบอกว่า “ผมก็ไม่รู้ ไอรีนเพียงแต่บอกกับผมว่าหล่อนจะไปทำงานนอกสถานที่ที่องค์กรมังกร”
“ไอรีน?” หลีชิงเยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ในสมองปรากฏใบหน้าสวยสดงดงามที่ไม่แพ้ให้กับเธอใบหนึ่งขึ้นมา
“ทำไมหล่อนถึงต้องบอกเรื่องนี้กับนาย? องค์กรมังกรเป็นองค์กรแห่งหนึ่งเหรอ?” หลีชิงเยียนถามมาหลายปัญหาเลยทีเดียว อยากจะถามความสงสัยในใจของตนเองออกมาทั้งหมด
“ผมก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้เหมือนกัน หล่อนพูดจบตัวคนก็หายวับไป”
“นายไม่บอก ฉันไปหาเองก็ได้” หลีชิงเยียนขมวดคิ้วบอก
แต่เห็นได้ชัดว่าหลีชิงเยียนคิดมาก เดิมทีเฉินเป่ยไม่กังวลว่าหลีชิงเยียนจะหาอะไรเจอ
เดาว่าเวลานี้ไอรีนคงไปที่องค์กรมังกรแล้ว คนก็ไม่อยู่ ถึงหลีชิงเยียนจะค้นหาอย่างไรก็คงหาอะไรไม่เจอ ส่วนองค์กรมังกร……นั่นเป็นองค์กรลึกลับที่สุดของหัวเซี่ย แม้แต่องค์กรข่าวกรองที่ว่องไวที่สุดของข่าวต่างประเทศ ความเข้าใจต่อองค์กรมังกรยังไม่ถือว่ามากนัก
หลังกลับมาถึงคฤหาสน์หรู หลีชิงเยียนที่ในใจมีความกลัวไม่มีความง่วงสักนิด เดินเข้าในห้องรับแขก พึ่งนั่งลงก็คุยกับซูเสี่ยวหยุนขึ้นมา
ส่วนซูเหลยอยู่ด้านข้างฟังบทสนทนาของหลีชิงเยียนกับซูเสี่ยวหยุนแล้วขมวดคิ้วแน่น องค์กรมังกร……หล่อนมักรู้สึกคุ้นหูอย่างมาก เหมือนเคยได้ยินจากที่ไหน ตั้งแต่ต้นจนจบก็นึกไม่ออก
…………
ช่วงเวลาตีสอง หลังหลีชิงเยียนและคนอื่นกลับไปนอนที่ห้องของแต่ละคน เฉินเป่ยยืนอยู่ที่ขอบหน้าต่าง มองทางที่ไกลออกไป แววตาประกายคาวเลือดและแรงอาฆาตหนาวเหน็บ
โทรศัพท์สายนั้น เสียงตกใจของชิงเหนียนลอยมา “ลูกพี่ ก่อนหน้านี้พี่ก็ลงมือได้นี่ ทำไมต้องรอจนถึงตอนนี้ อย่างมากก็แค่ทำให้พี่สะใภ้รู้สถานะของพี่……”
เฉินเป่ยขัดจังหวะ “ไม่ได้ สถานการณ์ที่หัวเซี่ยสลับซับซ้อน ผู้อำนาจหลบซ่อนอยู่เยอะที่จ้องตาเป็นมัน ถ้าฉันเปิดเผยตัว อันตรายที่ชิงเยียนจะได้รับต้องมากจนนับไม่ถ้วนยิ่งกว่าตอนนี้เสียอีก……”
“ก็ใช่ หัวเซี่ยเองก็ไม่อนุญาตให้พี่เข้าประเทศ ถ้าลูกพี่เปิดเผยตัว เดาว่าทั้งหัวเซี่ยต่างต้องใช้มาตรการปิดล้อมป้องกันแน่” ชิงเหนียนเอ่ยปาก ถ้าให้หัวเซี่ยรับรู้ถึงการมีตัวตนของเฉินเป่ยเข้า เดาว่าคงจะกระตุ้นแผ่นดินไหวอย่างบ้าคลั่ง
“พระเจ้าของหู้ไห่……จะเปลี่ยนแล้ว”
กลางดึก ลมเย็นพัดมาระลอกหนึ่ง ความหนาวที่เสียดกระดูกนิดๆ ทำให้เฉินเป่ยเงยหน้า มองทางท้องฟ้าที่ขุ่นมัวมืดดำ บดบังแสงจันทร์ ทั้งเมืองหู้ไห่ถูกความมืดมิดปกคลุมอย่างไร้จุดสิ้นสุด
เฉินเป่ยสวมชุดดำ กลายเป็นปลายมีดแหลมที่ดำขลับเล่มหนึ่ง ภายใต้การหลบซ่อนของฉากยามค่ำ กระโดดข้ามผ่าน หายไปในฉากยามค่ำที่กว้างไกลไร้ขอบเขต
อากาศสั่นสะเทือนหึ่งๆ ยังมีความปรารถนาอยากฆ่าอันหนาวเย็นหลงเหลืออยู่
…………..
นอกโรงแรม มีภาพคนเดินมาช้าๆ เขาสวมชุดดำ ใต้การส่องสะท้อนของแสงไฟ ลากเงายาวๆ ภาพหนึ่งออกมา
ในอากาศอบอวลไปด้วยกลิ่นของอันตรายจางๆ
หัวถนนที่เงียบสงัดไร้คน การมีตัวตนของภาพเงาคนนี้ สะดุดตาราวกับประภาคารกลางมหาสมุทรอันกว้างใหญ่
“หยุดนะ เป็นใครกันที่มา”
หน้าประตูโรงแรม บอดี้การ์ดชุดดำสองคนมองทางเฉินเป่ยด้วยสีหน้าหวาดระแวง
โรงแรมแห่งนี้ถูกหลีเช่าหงเหมาไว้ ทั้งโรงแรมกลายเป็นที่พักชั่วคราวของหลีเช่าหงและเบื้องล่างคนอื่น
“ราชา—หลง”
ตามมาด้วยเสียงสังหารนี้ดังขึ้น บอดี้การ์ดชุดดำสองคนนั้น ระหว่างคิ้วปรากฏรูเลือดสองที่ ขานตอบแล้วล้มลง
ภาพเงาคนคนนี้มองทางโรงแรม แววตาเต็มไปด้วยการฆ่าปราบปรามเย็นยะเยือก
คืนนี้ พระจันทร์มืดลมแรง