บทที่220 สถิติที่น่ากลัว
คนที่มาก็คืออธิบดี อธิบดีมองทางเย่ชวงด้วยสีหน้าจริงจังมาก บอกว่า “เย่ชวง เลิกทีม ให้พวกเขารีบหยุดการค้นหาทุกอย่างทันที”
เย่ชวงตะลึง สีหน้าสงสัยไม่เข้าใจ “อธิบดี ตอนนี้เป็นเวลาที่ช่วงชิงทุกวินาที หากค่ำไปกว่านี้ เบาะแสอาจจะโดนทำพังไปได้นะคะ”
อธิบดีส่ายๆ หน้า สีหน้าหนักหน่วง ก้าวมาด้านหน้าก้าวหนึ่ง เดินไปตรงหน้าของเย่ชวง พูดเสียงเนิบ “เย่ชวง เธอไม่เข้าใจ นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่เธอฉันสามารถควบคุมได้”
เย่ชวงสีหน้าฝืด ก้มหน้ามองทางศพของหลีเช่าหง
อธิบดีโบกมือ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงทยอยแยกย้ายไป มองท่าทางเย่ชวงขมวดคิ้วขึ้น อธิบดีกดเสียงต่ำลง “เมื่อกี้ฉันพึ่งได้รับโทรศัพท์สายหนึ่ง”
“โทรศัพท์ใครคะ?” เย่ชวงถามจากจิตใต้สำนึก
“เยี่ยนจิง เจ้าบ้านของบ้านหลี หลีหง” อธิบดีเอ่ยปากบอก “หลีหงให้พวกเรารักษาสถานที่ไว้ให้ดี นำร่างของหลีเช่าหงส่งกลับไปบ้านหลีที่เยี่ยนจิง”
“ไม่ได้ พวกเรายังมาได้เก็บหลักฐานเสร็จ เบาะแสยังไม่เพียงพอเลยนะคะ ถ้าร่างของเขาส่งกลับไปแล้ว พวกเราจะจับคนร้ายได้ยังไงคะ?” เย่ชวงปฏิเสธอย่างไม่ลังเลสักนิด พูดอย่างเด็ดขาด
อธิบดีสีหน้าชะงัก ขมวดคิ้วบอก “เย่ชวง เธอไม่เข้าใจรึไง? ความหมายของเจ้าบ้านบ้านหลีคือไม่ต้องการให้พวกเราจับคนร้ายแล้ว เขาเพียงแค่อยากเจอหลีเช่าหงสักหน่อย เรื่องราวต่อไปนี้ให้เขามารับผิดชอบ นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าพอใจทั้งสองฝ่ายเหรอ?”
เย่ชวงมองทางอธิบดี ในความเป็นจริงเธอที่ฉลาดเฉียบแหลมรู้ความหมายของอธิบดีตั้งแต่แรกแล้ว
นี่คือคดีที่แก้ยาก ถ้าไม่ได้หาความจริงออกมาให้ได้ จับคนร้ายไว้ มีความเป็นไปได้มากว่าตำแหน่งของอธิบดีจะรักษาไว้ไม่อยู่
แต่คดีนี้ล้มง่ายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?
บุคคลทำงานลับเฉพาะที่ได้รับการฝึกอย่างดีเหล่านั้นถูกมือสังหารจัดการทิ้งอย่างง่ายดาย……มือสังหารยิ่งไม่คิดจะหลบซ่อนร่องรอยไป แต่ทว่าทิ้งร่องรอยเอาไว้อย่างโจ่งแจ้ง กำเริบเสิบสานที่สุด
ถึงแม้จะเป็นเย่ชวง ชั่วพริบตาเดียวก็ได้กลิ่นตุๆ ที่ไม่ธรรมดาเข้าจากในคดีนี้
ถ้ามือสังหารไม่มีความสามารถฝีมือมากพอ เป็นไปได้อย่างไรที่คนคนเดียวจะฆ่าทิ้งได้ทั้งโรงแรมนี้……นี่เกือบจะเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
คดีแบบนี้ อธิบดีย่อมยินยอมที่จะมอบมันให้กับหลีหง……ทั้งสามารถเอาใจหลีหงได้และทั้งสามารถรายงานกับด้านบนได้ด้วย เป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว
เรื่องอย่างนี้ทำไมถึงอธิบดีจะไม่ทำล่ะ เต็มใจอย่างมากด้วย
อธิบดีมองทางเย่ชวง สีหน้าเย่ชวงดิ้นรนสงสัย หลังจากนั้นครู่หนึ่งตัดสินใจกะทันหัน มองทางอธิบดีอย่างแน่วแน่ พูดอย่างเฉียบขาด “อธิบดี ถ้ามอบมันให้หลีหง งั้นจะทำยังไงกับคนร้ายกัน ปล่อยให้เขาลอยนวลเหรอ?”
อธิบดีถอนหายใจยาวๆ ทีหนึ่งพลางบอกว่า “เย่ชวง เธอยังเด็กเกินไป เดิมทีเธอไม่รู้ว่าโลกของผู้ใหญ่ไม่ได้มีดีเลวถูกผิด”
เย่ชวงส่ายๆ หน้า เธอยังอยากพูดอะไรอีก ทันใดนั้นอธิบดีก็สีหน้าเย็นชา พูดเสียงสูงขึ้นแบบหนาวเหน็บหลายระดับ “เธอรู้มั้ยว่าการมีตัวตนของหลีหงเป็นยังไงบ้าง? นั่นคือบุคคลที่ควบคุมโลกของเยี่ยนจิง……นี่เธอจะให้ฉันขัดคำสั่งของเขารึไง นี่คือโทษถึงตาย”
“ไม่ใช่แค่โทษประหารชีวิต……” อธิบดีชี้ไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจที่นอกระเบียงทางเดินอย่างฮึกเหิม ตวาดเสียงดุ “ถ้าตามตำหนิบ้านหลีต่อไป ทั้งเธอและฉัน ยังมีพวกเราทั้งสถานีตำรวจหู้ไห่ คงไม่มีสักคนที่หนีรอดได้”
เสียงของอธิบดีหนาวเหน็บทำให้ที่ว่างสั่นสะเทือน “หรือว่าเพื่อความเป็นธรรม เธออยากตัดสินใจ เอาพวกเราทั้งหมดพ่วงเข้าไปด้วยเหรอ?”
ในห้องพักส่วนตัว เงียบสงบ เย่ชวงอึ้งค้างไป เธอมองอธิบดีอย่างใจลอย สีหน้าตกใจอย่างยิ่ง
เป็นครั้งแรกที่เธอเคยเห็นอธิบดีโมโหมากขนาดนั้น……คาดไม่ถึงว่าเป็นเพียงเพราะคดีนี้
หลังจากที่อธิบดีระเบิดความโกรธเสร็จ ถึงระลึกได้ว่าตนเองเสียอาการ พูดเสียงเนิบช้า “เย่ชวง ฉันกับพ่อของเธอรู้จักกันมาหลายปี ดังนั้นฉันพูดกับเธอมากขนาดนี้แล้ว หวังว่าเธอจะเข้าใจความลำบากของฉัน”
เสียงของอธิบดีหวานละมุนลงมา พูดเสียงนุ่ม “บ้านหลีจากเยี่ยนจิง เดิมทีไม่ใช่ตระกูลที่พวกเราสามารถต่อต้านได้ คำพูดแต่ละอย่างของพวกเขาสามารถทำให้หู้ไห่พินาศได้”
“ฉันรู้แล้วค่ะ” ใบหน้าที่งดงามของเย่ชวง สีหน้ามืดจางลงมาทันใด น้ำเสียงทุ้มต่ำกว่าก่อนหน้านี้ไม่น้อย
อธิบดีมองเห็นท่าทางนี้ของเย่ชวงก็ค่อนข้างจำใจ ได้แต่แอบถอนหายใจ ตบๆ ไหล่ของเย่ชวง จากนั้นหมุนตัวเดินออกจากห้องพักส่วนตัว
ไม่นานด้านนอกระเบียงทางเดินก็มีคำสั่งของอธิบดีให้เจ้าหน้าที่ตำรวจออกไปจากพื้นที่ เหลือเพียงเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดหนึ่งคุ้มครองสถานที่
แต่ตอนที่เย่ชวงเดินออกจากพื้นที่ กลับมองเห็นรถไมบัคที่ผ่านการปรับแต่งคันหนึ่งขับเข้ามาจากที่ไกลๆ
หลังรถไมบัคจอดที่ข้างทาง ผู้ชายใส่สูทสองคนก็ยกเปลหามไว้ ดันฝูงชนที่เบียดแน่นอย่างเงียบนิ่ง เดินเข้าในโรงแรม
นั่นเป็นการจัดการของบ้านหลี ต้องการนำร่างของหลีเช่าหงขนกลับเยี่ยนจิง
เย่ชวงมองทางผู้ชายที่ใส่สูทสองคนนั้น ใบหน้างดงามประกายความหมายซับซ้อน สุดท้ายทำได้เพียงเดินเข้าไปในรถตำรวจ นั่งอยู่ในรถตำรวจ แล้วขับไปทางสถานีตำรวจที่ไกลออกไป
…………
อาคารตระกูลหลี เฉินเป่ยนั่งอยู่ในห้องทำงานของตนเอง กำลังเล่นเกมคอมพิวเตอร์อย่างออกรสออกชาติ ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น ภาพผู้หญิงงดงามคนหนึ่ง ค่อยๆ เดินเข้ามา
หลินเฉว่ใส่ชุดกระโปรงยาวสีขาว หน้าที่แต่งอ่อนๆ ใบนั้น บริสุทธิ์ราวกับใบหน้าของนางฟ้า เต่งตึงอย่างอวบอิ่ม ทำให้พนักงานหญิงของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปมากมายต่างอิจฉาอย่างยิ่ง
นี่คือธรรมชาติ เดิมทีไม่ใช่พวกต่ำต้อยที่สวยหยาดเยิ้มด้วยการฉีดไฮยาลูรอนพวกนั้นจะสามารถเทียบได้
พอหลินเฉว่เดินเข้าห้องทำงานก็ขมวดคิ้วขึ้น เธอได้กลิ่นบุหรี่ที่เข้มข้น ทำให้เธออดไม่ไหวใช้มือปิดจมูกไว้ ตะโกนเสียงดัง “เฉินเป่ย!”
แต่ทว่าเฉินเป่ยกำลังใส่หูฟังแบบครอบศีรษะอยู่ จึงไม่ได้ยินเสียงตะโกนเรียกของหลินเฉว่ จ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างตั้งอกตั้งใจ นิ้วมือกำลังรัวกดบนแป้นพิมพ์ เล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่
หลินเฉว่ไม่มีทางอื่น ได้แต่เดินไปที่หน้าต่าง เปิดบานหน้าต่างออก ระบายอากาศ จากนั้นถึงเดินไปด้านข้างของเฉินเป่ย แตะๆ เฉินเป่ย
เฉินเป่ยถึงถอดหูฟังลงอย่างงุนงง มองไปรอบด้าน หลังมองเห็นหลินเฉว่ก็ตะลึง “เลขาฯ หลิน ทำไมเธอถึงมาอยู่ที่นี่ ฉันไม่รู้เลยว่าเธอเข้ามา”
หลินเฉว่ทำเสียงฮึดฮัด พูดด้วยสีหน้าที่ไม่พอใจ “ท่านประธานกรรมการให้คุณไปหาเขาที่ห้องทำงานสักหน่อย”
“ท่านประธานกรรมการ? หลีหยางเหรอ?” เฉินเป่ยถามขึ้น
หลินเฉว่จำใจอยู่บ้าง……นอกจากหลีหยางแล้ว ท่านประธานกรรมการยังเป็นใครได้อีก
ที่ยิ่งทำให้หลินเฉว่อับอายจนเหงื่อแตกคือทั้งหมดบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป คนที่กล้าเรียกชื่อท่านประธานกรรมการเฉยๆ เกรงว่ามีเพียงเฉินเป่ยเท่านั้น
แม้แต่ลูกสาวของประธานกรรมการอย่างประธานหลียังไม่เรียกแค่ชื่อตรงๆ
“ได้เลย รู้แล้ว” เฉินเป่ยมองทางใบหน้าที่ราวกับนางฟ้าใบนั้นของหลินเฉว่ มุมปากโค้งรอยยิ้มหนึ่งขึ้น รีบตอบรับทันที
หลังจากหลินเฉว่เดินออกจากห้องทำงาน เฉินเป่ยเล่นเกมคอมพิวเตอร์อีกสักตาหนึ่ง ถึงวางหูฟังลง เอามือทั้งคู่ล้วงกระเป๋ากางเกง ในปากฮัมเพลงเบาๆ ค่อยๆ เดินส่ายไปทางห้องทำงานประธานกรรมการอย่างเอ้อระเหยลอยชาย
ในห้องทำงานประธานกรรมการ หลีชิงเยียนนั่งอยู่บนโซฟา ขมวดคิ้วขึ้น ใบหน้าที่งามสง่าเผยความไม่พอใจ “ทำไมเขายังไม่มาอีก”
“ครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องร้ายอะไร รอเขาอีกสักพักเถอะ ไม่ใช่ว่ารีบในตอนนี้” หลีหยางเอ่ยปากนิ่งๆ
“คนที่ไม่มีวินัยเรื่องเวลาคนหนึ่งจะทำอะไรสำเร็จได้” หลีชิงเยียนพูดเสียงเย็นชา
หลีหยางหัวเราะแล้วไม่ได้พูดอะไรมากมาย แต่ไหนแต่ไรหลีชิงเยียนเป็นคนที่ข้อเรียกร้องต่อลูกน้องเข้มงวด สำหรับตนเองก็เป็นเหมือนกัน แม้แต่เฉินเป่ยในฐานะสามีของเธอก็ไม่ยกเว้น
“ตึกๆๆ ……”
และในเวลานี้ มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นจากด้านนอกประตู
หลีหยางมองหลีชิงเยียนแวบหนึ่งพลางบอกว่า “พูดยังไม่ทันขาดคำก็มาเลย”
จากนั้นหลีหยางกระแอมเสียง เอ่ยปากบอก “เข้ามาเถอะ”
ประตูห้องทำงานผลักเปิด ภาพคนคนหนึ่งผลักประตูเข้ามา บนหน้าแขวนรอยยิ้มที่เจ้าเล่ห์ไว้ ยากจะทำให้คนเกิดความโกรธใดๆ ต่อใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มใบนี้
หลังจากมองเห็นท่าทางอันธพาลนี้ของเฉินเป่ย ไฟโกรธในใจของหลีชิงเยียนได้แต่เก็บขึ้นมาทื่อๆ
หลังจากเฉินเป่ยเดินเข้าห้องทำงาน มองเห็นหลีชิงเยียนก็ยิ้มบอก “ชิงเยียน คุณก็อยู่ด้วยเหรอ?”
“ใครให้นายเรียกชิงเยียน?” หลีชิงเยียนกวาดตามองเฉินเป่ยอย่างเมินเฉย ช่วงนี้หลังหลีชิงเยียนอ่อนโยนต่อเฉินเป่ยมาบ้าง แต่นับวันเฉินเป่ยยิ่งกำเริบเสิบสาน เริ่มมาเรียกแค่ชิงเยียน ใช้คำเรียกขานที่คลุมเครือแบบนี้ขึ้น
เฉินเป่ยยิ้มกริ่มรีบเปลี่ยนคำ “ประธานหลี ประธานหลี”
“เจ้าเฉิน ที่เรียกนายมามีเรื่องที่อยากปรึกษากับนายหน่อย”
“ใบสั่งซื้อนั้น พูดตามจริงฉันคาดไม่ถึงว่านายจะทำสำเร็จได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งร่วมงานกับไห่ซือกรุ๊ปด้วย เกินจำนวนความสำเร็จ……” หลีหยางมองทางเฉินเป่ยด้วยรอยยิ้มอบอุ่น “นายทำเกินคาดกว่าการคาดการณ์ของพวกเราทั้งหมด สามพันล้าน……นี่คือใครสักคนในบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปก็ไม่สามารถทำได้เพียงคนเดียว ผลสุดท้ายนายกลับทำได้”
แววตาที่หลีหยางมองทางเฉินเป่ยมีความชื่นชม ในที่สุดเขาก็พบจุดที่เฉินเป่ยไม่เหมือนกับคนอื่น เขาเข้าใจแล้วว่าทำไมตอนแรกหลีหงถึงแนะนำเจ้าหนุ่มที่ธรรมดาไม่โดดเด่นคนหนึ่งขนาดนี้ให้เขา
ปัจจุบันนี้ดูแล้วเฉินเป่ยไม่ธรรมดาจริงๆ
สามพันล้าน……เฉินเป่ยพึ่งใช้เวลานานเท่าไรเอง เปลี่ยนเป็นหลีหยางที่ก่อตั้งบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปแห่งนี้ขึ้น ถามตนเองดูคงทำผลงานที่น่าตกใจสะดุดตาแบบเฉินเป่ยออกมาได้
“ดังนั้นฉันกับชิงเยียนตัดสินใจแล้วว่าจะนำเรื่องของนายแจ้งทั้งบริษัท ดำเนินการชมเชยให้รางวัลกับนาย และถือว่าปราบข่าวลือบางส่วนก่อนหน้านี้สักครั้งด้วย” หลีหยางเอ่ยปาก ทำให้เฉินเป่ยตะลึงค้าง
เฉินเป่ยมองหลีหยางแบบใจลอย ภายในตกใจ ไม่อยากเชื่อว่าหลีหยางจะตัดสินใจให้ทั้งบริษัทชมเชยเขา และไม่ใช่แค่การชมเชยแบบปากเปล่าด้วย
เฉินเป่ยตะลึงสักพักหนึ่งแล้วถึงตอบสนองเข้ามา ตื่นเต้นอย่างยิ่ง แม้กระทั่งสงสัยว่าตนเองฟังผิดไป
เฉินเป่ยหันหน้า มองทางหลีชิงเยียนที่นั่งบนโซฟา อ่านนิตยสารอย่างไม่สนใจอะไร ถามว่า “ชิงเยียน ผมไม่ได้ฟังผิดใช่มั้ย? ผมจะได้รับการชมเชยของทั้งบริษัท?”
หลีชิงเยียนเงยหน้า มองเฉินเป่ยทีหนึ่ง พูดแบบเหยียดหยาม “ก็แค่การชมเชยทำให้นายลอยถึงขั้นนี้……ไม่ก้าวหน้าเลย”
“เอาล่ะ คืนนี้กลับไปกินข้าวที่บ้านพ่อทางนั้นเถอะ ชิงเยียน แม่ลูกคิดถึงลูกมาก” หลีหยางหัวเราะฮาๆ พูดขึ้น
“รู้แล้วค่ะ” หลีชิงเยียนตอบรับนิ่งๆ ลึกขึ้น ขายาวคู่นั้นขยับไหว เดินไปทางด้านนอกห้องทำงาน
เวลานี้เฉินเป่ยยากจะกดอารมณ์ตื่นเต้นในใจตนเองไว้ได้ ตามด้านหลังหลีชิงเยียนพลางฝืนกลั้นตนเองไม่ให้หัวเราะออกมา
“นายหัวเราะพอรึยัง?”
เฉินเป่ยกลั้นเสียงหัวเราะไว้ ทำให้หลีชิงเยียนที่เดินอยู่ด้านหน้าหมดความอดทน เมื่อสักครู่การชื่นชมระดับสูงของหลีหยางที่มีต่อเฉินเป่ยทำให้ในใจเธอหึงหวงขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ
ก่อนหน้านี้ที่ไม่มีเฉินเป่ย สถิติการขายของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปเป็นตนเองที่รักษาระดับนำหน้ามาตลอด ไม่มีใครสามารถแซงเธอได้……ผลสุดท้ายตอนนี้เฉินเป่ยไม่เพียงแซงไป ยังทำให้หลีชิงเยียนตกอยู่ด้านหลังห่างไกล เกือบจะเทียบกันไม่ติด
หลีชิงเยียนกัดริมฝีปากแดงแน่น พอนึกถึงเรื่องนี้ร่างกายสั่นเทาเล็กน้อย สถิติน่ากลัวของเฉินเป่ยทำให้เธอรู้สึกว่าตนเองได้รับการยั่วยุเสียแล้ว