เราจะทยอยไล่แก้ให้ยามว่างอยากให้แก้เรื่องไหนคอมเมนต์ไว้นะคะ
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่265 หมาตายตัวหนึ่ง
เฉินเป่ยมึนงง มองวอล์คเกอร์อย่างไม่พูดไม่จา มุมปากฉีกเส้นรัศมีวงกลมขึ้น ยิ้มเหมือนไม่ยิ้ม “นายว่าอะไร?”
“คุกเข่า…….” วอล์คเกอร์ยังพูดออกมาไม่หมด ทันใดนั้นเฉินเป่ยก็สั่นข้อมือ แวบเดียวฝ่ามือของเฉินเป่ยก็ตบไปบนหน้าของวอล์คเกอร์ราวกับสายฟ้าแลบ
เสียงระเบิดดังกังวาน ทั้งตัววอล์คเกอร์โดนกำลังมหาศาลยกขึ้นมา หลังจากหมุนวนสามร้อยหกสิบองศาในอากาศไป ก็กระแทกลงบนพื้นอย่างแรง
เรื่องราวรวดเร็วมาก บรรยายแทบไม่ทัน วอล์คเกอร์ไม่มีการตอบสนองเข้ามาสักนิด เพราะความเร็วของเฉินเป่ยช่างว่องไวเสียจริงๆ เลย
“ปึง!”
ทั้งหมดอยู่ในความเงียบเพราะกลัว ผู้คนมากมายที่นั่งอยู่มาจากต่างประเทศ มองเห็นการเปลี่ยนแปลงกะทันหันเช่นนี้ สีหน้าค่อยๆ เปลี่ยนไป
เฉินเป่ยลงมือแล้ว ทว่าไม่มีใครเห็นการกระทำเมื่อสักครู่ของเฉินเป่ยอย่างชัดเจน ความเร็วของเขาไวอย่างกับฟ้าแลบ เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น
ถึงแม้หลายท่านที่ตอบสนองไวก็มองเห็นเหมือนเฉินเป่ยแค่จะลงมือไป หลังจากนั้นวอล์คเกอร์ก็นอนอยู่บนพื้นแล้ว
หลีชิงเยียนขมวดคิ้ว เธอพึ่งอยากพุ่งเข้าไปที่เฉินเป่ยทางนั้น กลับนึกไม่ถึงว่าซูเหลยที่อยู่ด้านข้างจะดึงเธอเอาไว้กะทันหัน
“ประธานหลี รอดูก่อน…….เขาคงไม่เป็นอะไร” ซูเหลยพูดเสียงต่ำ
“เธอเอาอะไรมามั่นใจว่าเขาจะไม่เป็นไร?” หลีชิงเยียนขมวดคิ้ว
ซูเหลยมองทางหลีชิงเยียน เอ่ยปากบอก “สัญชาตญาณ คุณไม่รู้สึกเหรอว่าตอนนี้แต่ละเรื่องที่เขาทำ ล้วนมีความมั่นใจอย่างมาก?”
ซูเหลยพูดมาขนาดนี้ ถึงทำให้สีหน้าหลีชิงเยียนนิ่งค้าง ก่อนจะมีปฏิกิริยาเข้ามา
ซูเหลยเตือนสติหลีชิงเยียน หลีชิงเยียนพิจารณาอย่างรอบคอบ ตั้งแต่น้ำแก้วเมื่อสักครู่นั้น ถึงแบล็กการ์ดอันทรงเกียรติตอนท้าย เหมือนเหตุการณ์ทุกอย่างนี้จะอยู่ในการควบคุมของเฉินเป่ย
หลีชิงเยียนอดมองทางเฉินเป่ยไม่ได้ ในใจเธอยังคงสงสัยอยู่บ้าง เจ้าหมอนี้ หรือว่าทุกอย่างนี้ล้วนเป็นสิ่งที่เขาคำนวณมาเรียบร้อยแล้ว?
ทั้งตัววอล์คเกอร์ล้มอยู่ที่พื้น ย่ำแย่จนคนทนดูไม่ไหว
กำลังของเฉินเป่ยมากเหลือเกิน วอล์คเกอร์พยายามดิ้นรนปีนขึ้นมา สีหน้ามุ่งร้ายหนาวเย็น
“กล้าทำร้ายฉันที่นี่…….” ในแววตาของวอล์คเกอร์มีไฟแค้นพลุ่งพล่าน ทั้งยังมีแรงอาฆาตเย็นยะเยือก
“ฉันจะให้นายชดใช้ สิ่งที่นายยากจะจินตนาการได้!” วอล์คเกอร์ตะโกนเสียงดุ
แต่เพียงแค่แวบเดียว เฉินเป่ยก็พูดออกมา “นายคิดว่านายเป็นพ่อของเทพเจ้าเหรอ? ให้ฉันชดใช้ นายคู่ควรแล้วรึไง?”
เฉินเป่ยหัวเราะเยาะเย้ย จากนั้นยื่นมือออกไปคว้าคอเสื้อของวอล์คเกอร์ไว้
แววตาของวอล์คเกอร์เผยความปวดใจออกมา เสื้อเชิ้ตสีขาวตัวนี้ของเขาเป็นแบบสั่งตัดด้วยมือ ราคาแพงมาก แต่ตอนนี้กลับโดนเฉินเป่ยฉีกออกอย่างง่ายดาย
สายตาเฉินเป่ยเหน็บหนาว เขาเคยให้โอกาสวอล์คเกอร์แล้ว ใครจะไปรู้ว่าวอล์คเกอร์อยากหาที่ตายเอง นั่นโทษเขาไม่ได้นะ
เฉินเป่ยยกวอล์คเกอร์ไว้ ดวงตาทั้งสี่จ้องกัน ชั่วพริบตาเดียว วอล์คเกอร์ก็สั่นไปทั้งตัว สายตาของเขาปะทะเข้ากับเฉินเป่ย สายตาของเขาปรากฏสีที่ตื่นตกใจขึ้นฉับพลัน
ชั่วขณะนั้นสีหน้าของเขาเปลี่ยนไป ท่าทางที่ดุร้ายหายเข้ากลีบเมฆ…….ถูกความตื่นตระหนกหวาดกลัวเข้ามาแทนที่
เขามองเห็นอะไรเข้า?
ผู้คนมากมายมองหน้ากันและกัน แม้แต่ผู้จัดการที่อยู่ด้านข้างยังไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ไม่มีใครรู้ว่าวอล์คเกอร์มองเห็นอะไร……จากในดวงตาคู่นั้นของเฉินเป่ย วอล์คเกอร์มองเห็นจิตวิญญาณที่ยิ่งว่านักฆ่าที่ร่างกายเฉินเป่ยซ่อนเอาไว้แล้ว
ที่ลึกลงไปของจิตวิญญาณนั้นมีเจตนาจะฆ่าอันหนาวเหน็บซ่อนไว้ ทำให้วอล์คเกอร์หนังศีรษะชา…….ยังผิดปกติสยองขวัญยิ่งกว่าอยู่ในนรกเสียอีก
ความรู้สึกแบบนั้นไม่สามารถบรรยายได้ ในชั่วขณะนั้นจิตวิญญาณลึกๆ ของวอล์คเกอร์รู้สึกถึงความกลัวที่รุนแรงโดยสัญชาตญาณ
ครั้งนี้เขามองอะไรออกแล้ว ในสายตาที่สงบนิ่งของเฉินเป่ยกำลังค่อยๆ ก่อหวอดขึ้น ตามมาด้วยภูเขาไฟระเบิดที่ตนเองจะหาเรื่องไม่ได้
ถ้าเมื่อสักครู่เฉินเป่ยระเบิดออกมา ขอเพียงใช้แรงเบาๆ วอล์คเกอร์ก็โดนเฉินเป่ยบีบคอให้ตายได้
วอล์คเกอร์หนังศีรษะชา ถึงตอนนี้ยังรู้สึกหวาดผวา เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นสายตาของมนุษย์คนหนึ่งที่ยังมีความน่าสยองแบบนั้น นั่นเป็นสายตาที่บ้าระห่ำกว่าคนมากมายที่เขาเคยเจอมา
ไม่เหมือนกับความคลุ้มคลั่งของคนบ้าเหล่านั้น เขายังมองเห็นอย่างแจ่มแจ้ง ความบ้าคลั่งในแววตาของเฉินเป่ยแปลกประหลาดมาก ทั้งบ้าระห่ำและเต็มไปด้วยสติสัมปชัญญะ
วอล์คเกอร์ดิ้นรนไม่หยุด น้ำเสียงของเฉินเป่ยสงบนิ่งมาก แต่ละคำแต่ละประโยคลอยเข้าในหูของวอล์คเกอร์ กลับเหมือนเสียงของนรกที่มาจากหุบเหวลึก
“ให้ฉันขอโทษ? สรุปเป็นใครที่ต้องขอโทษกัน?”
น้ำเสียงเฉินเป่ยนิ่งเรียบเป็นพิเศษ กลับเผยความเมินเฉยที่พูดไม่ถูกออกมา ทำให้คนขนลุกขนพอง
“ผมผิดไปแล้ว ปล่อยผมเถอะ!” ทั้งตัววอล์คเกอร์กำลังสั่นเทา เขากัดฟันเอ่ยขึ้นอย่างสั่นไม่หยุด เหมือนมองเห็นภาพอะไรที่น่าสยองขวัญ คาดไม่ถึงจะยอมรับผิดแล้ว
ผู้คนไม่น้อยท่าทางสงสัย วอล์คเกอร์ไม่ใช่แค่โดนเฉินเป่ยคว้าขึ้นมาแล้วเหรอ จ้องตากันครู่เดียววอล์คเกอร์ก็จะยอมจำนนแล้วเหรอ? ภายในนี้ยังไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นเลย
พวกเขาจะรู้ได้อย่างไร สำหรับเขาแล้วสายตาของเฉินเป่ยในวินาทีนั้นก็คือสายตาของนรกอย่างยิ่ง
เฉินเป่ยมิใช่เพียงบุคคลที่วอล์คเกอร์หาเรื่องไม่ได้เท่านั้น จนถึงวินาทีนี้ที่วอล์คเกอร์พึ่งโดนเฉินเป่ยคว้าขึ้นมา ในที่สุดวอล์คเกอร์ก็เข้าใจสายตาที่เต็มไปด้วยแรงอาฆาตที่หนาวเหน็บ
“ปล่อยนายไป?” เฉินเป่ยมองทางวอล์คเกอร์ น้ำเสียงเขาเย็นยะเยือก บอกว่า “นายคิดว่าเป็นไปได้เหรอ?”
คำพูดพึ่งจบ แขนของเฉินเป่ยที่ยกวอล์คเกอร์ไว้ข้างนั้น บนแขนที่ใหญ่และล่ำสันมีเส้นเลือดปุดขึ้นเป็นเส้นๆ ทันที ราวกับมังกรเขียวแต่ละตัว
แวบหนึ่งเฉินเป่ยออกแรงที่แขน ขว้างวอล์คเกอร์ไปทางพื้นอย่างโหดเหี้ยม
ในร้านอาหารตะวันตกที่สง่างามเงียบสงบ ไม่นานก็มีเสียงร้องโหยหวนของชายคนหนึ่งที่แสบแก้วหูมากดังขึ้น ขัดจังหวะเสียงดนตรี ทำให้การแสดงดนตรีหยุดลงกะทันหัน
รอให้วอล์คเกอร์เงยหน้าขึ้นมา พบว่าหน้าของตนเองราวกับโดนล้อรถเหยียบผ่าน ทำให้ในใจคนอื่นๆ อีกไม่น้อยตื่นตระหนก ยิ่งเกิดความสงสัยต่อความสามารถของเฉินเป่ยขึ้นอีก
สถานะของเฉินเป่ย ความสามารถของเฉินเป่ย ทำให้ผู้มีอิทธิพลใหญ่มากมายพอมองก็สนใจ อยากจะรับเฉินเป่ยเข้ามาอยู่กับตนเองทางนี้
วอล์คเกอร์ถอนหายใจทีหนึ่ง วัยรุ่นคนหนึ่งที่อยู่ไม่ไกลนัก เขาหน้าตาอ่อนเยาว์ แต่ในดวงตาคู่นั้น กลับเผยความลึกลับผ่านโลกมาโชกโชนแบบพูดไม่ออก
และเวลานี้วอล์คเกอร์ไม่มีเรี่ยวแรงแล้ว เขานอนหมอบอยู่ที่พื้น กระดูกทั้งตัวเหมือนใกล้จะหลุดออกจากกันหมด
เขาอยากปีนขึ้นมามาก แต่การที่เฉินเป่ยทุ่มมานี้ ทำเอากระดูกหลายที่บนตัวเขาแตกหักทั้งหมด แม้แต่จะพูดจา ยังรู้สึกว่ายากจะหายใจเลย
ไม่นานสีหน้าของวอล์คเกอร์ก็แข็งขึ้น ในแววตาเผยแรงอาฆาตที่เย็นเฉียบอย่างรุนแรงออกมา…….เพราะเฉินเป่ยเหยียบเท้าลงมาบนหลังเขาแล้ว
เฉินเป่ยจ้องมองเขาจากที่สูงลงมา เอ่ยปากนิ่งๆ “เป็นยังไงบ้าง พอใจรึเปล่า? นี่คือคนที่เหนือกว่าใครแบบที่นายว่า?”
“ให้ฉันปล่อยนายเหรอ ฝันไปเถอะ” เฉินเป่ยแสยะมุมปากนิดหน่อย เขาดึงวอล์คเกอร์ขึ้นทีหนึ่ง ชั่วพริบตาเดียวก็หายไปจากที่เดิม รีบเร่งเดินออกไปด้านนอกโรงแรม
ภายในร้านอาหารตะวันตก ผู้คนที่โดนเฉินเป่ยทำเอาตกใจเหล่านั้นต่างไม่มีกะจิตกะใจทานอาหาร หลังหลีชิงเยียนนั่งลงมา มองภาพด้านหลังของเฉินเป่ยที่ยิ่งเดินก็ยิ่งไกล ในใจเธอยิ่งเกิดความสงสัยขึ้นมา ถามกับซูเหลยที่อยู่ด้านข้าง “สรุปพวกเขาอยากทำอะไร?”
ซูเหลยมองอย่างระวัง ส่ายๆ หน้า “ประธานหลี นี่……ฉันก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน”
“ช่างเถอะ ปล่อยเขาตามสบายแล้วกัน” หลีชิงเยียนทำเสียงฮึดฮัด
ผ่านไปไม่นาน เฉินเป่ยก็ยกวอล์คเกอร์ที่เหมือนกับหมาตายตัวหนึ่งเดินเข้ามาแล้ว
วอล์คเกอร์ในเวลานี้ถูกเฉินเป่ยต่อยจนจมูกเขียวหน้าบวม ทั่วทั้งตัวกระดูกหักหลายที่ เกือบจะถึงขั้นที่มีลมหายใจออกไม่มีลมหายใจเข้าแล้ว
“เรียก120ที ลงมือหนักไปหน่อย” เฉินเป่ยเอ่ยปากนิ่งๆ ทำให้คนในร้านอาหารไม่น้อยตกตะลึง จากนั้นหมดคำจะพูดอยู่บ้าง
ผู้คนไม่น้อยหลังมองเห็นอาการบาดเจ็บบนตัวของวอล์คเกอร์ อดรู้สึกหนังศีรษะชากันไม่ได้…….
แม้กระทั่งยังมีคนเหงื่อตก นี่แม่งลงมือหนักเหรอ…….นี่มันหนักแบบไม่ใช่แค่นิดหน่อยแล้ว
ถ้าคนที่ไม่รู้มองเห็นลักษณะนี้ของวอล์คเกอร์เข้า เดาว่าคงคิดว่าโดนเฉินเป่ยต่อยตายไปแล้ว
เฉินเป่ยทิ้งวอล์คเกอร์ไว้ที่พื้น ตอนนี้ลักษณะของวอล์คเกอร์ดูกระเซอะกระเซิงสุดๆ เหมือนกับดินโคลนกองหนึ่ง
ส่วนผู้จัดการที่ยืนอยู่ด้านข้างยังไม่กล้าหายใจดัง
ช่วยวอล์คเกอร์? เขาก็คิดเช่นกัน แต่เฉินเป่ยที่ครอบครองแบล็กการ์ดลำดับหนึ่งอยู่ตรงหน้า เขาจะกล้าเหรอ?
ถ้าไม่ใช่วอล์คเกอร์รนหาที่ตาย จะกลายมาเป็นลักษณะแบบในตอนนี้ได้อย่างไรกัน
ภายใต้การจับจ้องของสายตาแต่ละคู่ เฉินเป่ยเดินไปตรงหน้าของหลีชิงเยียน มองทางหลีชิงเยียนที่ใบหน้างดงามซีดเซียว และในใจยากจะสงบลง ยิ้มเล็กน้อย ท่วงท่าทั้งตัวเหมือนเกิดการเปลี่ยนแปลงฉับพลัน “ชิงเยียนที่รัก ผมเลี้ยงอาหารเย็นมื้อหนึ่งคุณอย่างเป็นทางการได้รึเปล่า?”
หลีชิงเยียนมองเฉินเป่ยอยู่ เวลานี้มุมปากเฉินเป่ยฉีกรอยยิ้มเรียบนิ่งขึ้น สายตาที่มองทางหลีชิงเยียน มีความจริงใจและชื่นชม เทียบกับเขาเมื่อก่อนนี้ เป็นคนละคนกันเลยทีเดียว
ลีลาตอนที่เฉินเป่ยเอ่ยปากพูด เกิดความเปลี่ยนแปลงแบบหน้ามือเป็นหลังมือ หลีชิงเยียนมองทางเฉินเป่ย ดวงตากะพริบเล็กน้อย วินาทีนั้นเธอไม่ได้สติเท่าไร ราวกับคนที่ยืนตรงหน้าเธอไม่ใช่อันธพาลร้ายกาจคนนั้น แต่เป็นผู้ลึกลับที่แอบช่วยเหลือเธอคนนั้น
“ได้” หลีชิงเยียนพยักหน้า ตอบรับขึ้นมาด้วยเสียงน่าดึงดูด เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงรับปาก เพียงแค่มองเฉินเป่ยอยู่ ก็จับพลัดจับผลูตอบรับไปแล้ว…….แม้กระทั่งเหตุผลตนเองก็ยังไม่รู้
เฉินเป่ยกวาดตามองผู้จัดการทีหนึ่ง มีความสามารถทำงานที่โรงแรมในดูไบได้ อารมณ์สายตาย่อมไม่แย่โดยธรรมชาติ ตอบสนองเข้ามาในวินาทีแรก อมยิ้มตอบ “ผมจะรีบเตรียมห้องไว้ให้ทั้งสองท่านครับ”
เฉินเป่ยพยักหน้า ยื่นมือออกไป หลีชิงเยียนวางมือเรียวเล็กข้างนั้นบนมือของเฉินเป่ย
จากนั้นภายใต้การจับจ้องของสายตาหลายสิบคู่ หลีชิงเยียนค่อยๆ เดินตามหลังเฉินเป่ยไปทางด้านนอกร้านอาหาร
ถึงแม้เฉินเป่ยจะเดินไปนอกร้านอาหาร แต่เสียงของเขายังคงดังก้องอยู่ในร้านอาหาร
“เอาเจ้าหมาตายตัวนี้ไปจัดการหน่อย” เสียงของเฉินเป่ยสงบนิ่ง เหมือนไม่ได้โกรธเคืองเพราะวอล์คเกอร์สักนิด หรือบางทีอาจพูดได้ว่าวอล์คเกอร์ไม่คู่ควรให้เฉินเป่ยโมโห
สายตาแต่ละคู่ค่อยๆ ตกอยู่บนตัวของเฉินเป่ยและหลีชิงเยียน มองทั้งสองคนหายไปจากหน้าประตูร้านอาหาร ภาพเงาคนค่อยๆ เริ่มเคลื่อนไหวกัน
“ส่งคนไปจ้องเอาไว้ รอพวกเขากินข้าวเสร็จแล้วมารายงานฉัน”
“ผู้ครอบครองแบล็กการ์ดลำดับหนึ่ง พวกเราจำเป็นต้องช่วงชิงมาสักหน่อย”
“อืม…….คนหัวเซี่ยผู้นี้ยังน่าสนใจมาก ให้สาขาหลักตัดสินใจหน่อยว่าอยากให้เขาเข้าร่วมกับพวกเราหรือไม่”
…………
อัตราประสิทธิภาพของโรงแรมใหญ่รวดเร็วมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว โดยเฉพาะเป็นโรงแรมระดับห้าดาว ไม่นานผู้จัดการก็จัดเตรียมห้องหรูหราห้องหนึ่งออกมา
“แบล็กการ์ดใบนั้นนายเอามาจากไหน?” หลังหลีชิงเยียนนั่งลง จิบไวน์ลาฟิตอึกหนึ่ง ดวงตางดงามจ้องเฉินเป่ยตรงๆ แล้วสอบถามขึ้น
เฉินเป่ยสีหน้าแข็งทื่อ ชั่วขณะนั้นดูไม่เป็นธรรมชาติขึ้นมา
ส่วนหลีชิงเยียนช่างเข้าใจเฉินเป่ยดีเหลือเกิน ยักคิ้วพลางเค้นถามอย่างเย็นชา “พูด!”
“ผมพูดๆ” เฉินเป่ยหัวเราะอย่างอึดอัด “ชิงเยียน ไม่ใช่แค่การ์ดง่อยๆ ใบหนึ่งเหรอ คุณจะใส่ใจขนาดนี้ทำไมกัน?”
หลีชิงเยียนยื่นๆ ปาก นี่เป็นเพียงการ์ดห่วยๆ ใบหนึ่งจริงเหรอ?
เธอแม้แต่การ์ดห่วยใบนี้ยังไม่มีสิทธิ์ครอบครองเลย