บทที่280 เหยียบไว้ใต้เท้า!
เฉินเป่ยพูดแบบนี้ออกไป ชั่วขณะนั้นทั้งหมดก็เงียบสงบ
ผู้คนมากมายมองทางเฉินเป่ย สายตาประกายแปลกๆ สีหน้าประหลาด
ที่เยี่ยนจิง เขตพื้นที่บริเวณย่านนี้ ใครบ้างไม่รู้ว่าเจ้าสำนักคนนี้มีความโหดร้ายมากแค่ไหน แทบจะไม่มีคนที่กล้าท้าทายเขา
เพราะการชดใช้จากการท้าทายแล้วพ่ายแพ้ก็คือความตาย ถึงแม้จะยอมแพ้วอนขอชีวิตก็ไม่มีประโยชน์ ต้องถูกเจ้าสำนักจัดการจนตายไปทั้งเป็น
ไม่เพียงแค่นี้ ผู้ที่ท้าทายนั้น ก่อนที่จะท้าทายเจ้าสำนัก จำเป็นต้องเซ็นใบยินยอม ดังนั้นเจ้าสำนักจึงไม่ต้องรับผิดชอบภาระใดๆ ล้วนเป็นผู้ที่ท้าทายรนหาที่ตายเอง
ส่วนเฉินเป่ยอยากท้าทายเจ้าสำนัก ย่อมต้องเซ็นใบยินยอมโดยธรรมชาติ
อย่างไรเสียสิ่งที่ทำให้ผู้คนคาดไม่ถึงคือเฉินเป่ยยังกล้าให้เจ้าสำนักคุกเข่าลงขอโทษด้วย
เจ้าสำนักจ้องมองเขาอย่างเมินเฉย หรี่ตาไว้ สังเกตอย่างละเอียดไปรอบหนึ่ง หัวเราะหึๆ ยกเท้าขึ้นทันใด ก่อนจะกระทืบลงไปอีกครั้งหนึ่ง
“ซี้ด……” ใต้เท้าของเจ้าสำนัก ผู้ชายผอมแห้งคนนั้นส่งเสียงเจ็บปวดออกมาอย่างหวาดกลัว
“ให้ฉันขอโทษ? แกถือว่าเป็นตัวอะไรกัน เดี๋ยวฉันจะให้แกแย่ซะยิ่งกว่ามันอีก!” ชายกำยำหัวเราะเสียงดัง ฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งยื่นเข้าไปทางเฉินเป่ย……
ในเวลานี้ เฉินเป่ยยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับ แต่ตอนที่ชายกำยำจะคว้าเฉินเป่ยเอาไว้ ร่างกายของเฉินเป่ย ก็หายแวบไปฉับพลัน ราวกับถอยหลังไปหลายก้าว
และในเหตุการณ์ต่างไม่มีใครดูออก ผู้คนไม่น้อยขยี้ตา สีหน้าตกตะลึง ไม่รู้ว่าเมื่อสักครู่เกิดอะไรขึ้น
เฉินเป่ยยืนอยู่ตรงนั้น มองดูเหมือนไม่เคยขยับ……..แต่ทำไมเจ้าสำนักถึงจับเขาไม่ได้?
คนทั่วไปที่มุงดูเหล่านี้ย่อมนึกไม่ถึงว่าความเร็วของเฉินเป่ยเมื่อสักครู่นี้จะไวเหลือเกิน เพียงแค่ช่วงที่กะพริบตาก็ทำให้เจ้าสำนักตอบสนองเข้ามาไม่ทัน หน้าตางุนงง
ส่วนเจ้าสำนักแอบได้กลิ่นตุนิดๆ ทำให้เขายิ่งหงุดหงิดขึ้น โบกฝ่ามือใหญ่จับเข้าไปทางเฉินเป่ยอย่างแรง
เจ้าสำนักสีหน้าเหยียดหยาม ส่วนเฉินเป่ยนั้น ตอนที่หมัดของเจ้าสำนักจะตกลงมา เขาเอียงศีรษะเล็กน้อย หลบหมัดของเจ้าสำนักที่ราวกับกระสอบทรายออกไปได้
จากนั้นร่างกายเฉินเป่ยก็สั่นไหว ปรากฏตัวขึ้นที่เวทีต่อสู้แล้ว
ด้านล่างเวที หญิงสาวมัธยมปลายคนนั้นกัดที่ริมฝีปากแดงอวบอิ่มไว้แน่น เธอมองเฉินเป่ยอยู่ สายตาเผยความกังวลที่รุนแรงออกมา
เธอรู้ว่าเฉินเป่ยออกหน้าเพื่อพี่ชายเธอ แต่เธอมองเห็นเฉินเป่ยที่รูปร่างผอมดำนั้น ย่อมไม่คิดว่าเฉินเป่ยจะสามารถช่วยพี่ชายตนเองทวงคืนความเป็นธรรมกลับมาได้
ในเบ้าตาหญิงสาวมัธยมปลายมีน้ำตาระยิบระยับคลออยู่ ความสนใจทั้งหมดของเธออยู่ที่ตัวของเฉินเป่ยแล้ว เธอขอเพียงผู้ที่หวังดีคนนี้จะไม่เกิดเรื่องไม่คาดฝันอะไรขึ้น
แต่ไม่นานก็เกิดความเปลี่ยนแปลงผิดปกติขึ้นทันใด
หลังเฉินเป่ยเดินขึ้นบนเวทีต่อสู้ พยุงผู้ชายผอมแห้งที่หายใจแผ่วเบาอยู่บนพื้นขึ้นมาแล้วลากไปด้านข้าง
และในเวลานี้ มีเสียงหัวเราะเยาะของเจ้าสำนักตามมา หมัดนั้นรวมพลังทั้งหมดของเจ้าสำนักไว้ ต่อยลงที่หลังของเฉินเป่ยฉับพลัน ก่อนจะส่งเสียงคำรามที่หดหู่ออกมา
ฝูงชนร้องตกใจ แม้แต่หญิงสาวมัธยมปลายก็มองเห็นเจ้าสำนักจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวอย่างกะทันหัน ชั่วขณะนั้นกังวลอย่างมาก
“แม่งเอ๊ย นี่เจ้าสำนักจู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวเลย!”
“ช่างหน้าไม่อายเหลือเกิน ความสามารถแบบเขายังกล้าจู่โจมแบบไม่ให้ตั้งตัว นี่มันต่ำทรามไร้ยางอายจริงๆ”
“หมัดที่ลอบโจมตีต่อยลงไปนี้ ถ้าเขารับไม่ไหว คงเจ็บไปหมดทั้งตัวแน่นอน”
ในฝูงชนระเบิดเสียงร้องตกใจออกมากันแล้ว มองทางเจ้าสำนักที่ปรากฏตัวอยู่ด้านหลังเฉินเป่ยอย่างคาดไม่ถึง ต่างเป็นห่วงเฉินเป่ย ยังไม่ได้เริ่มก็จะจบสิ้นแล้ว
และบนเวที รอยยิ้มบนหน้าของเจ้าสำนักดุร้ายหนาวเย็น เสียงที่บ้าระห่ำดังก้องอยู่ในอากาศ “หาที่ตาย!”
แต่ไม่นานรอยยิ้มบนหน้าของเจ้าสำนักก็แข็งทื่อฉับพลัน เขามองทางเฉินเป่ย ทันใดนั้นแววตาปรากฏความมหัศจรรย์ใจขึ้น
เขารู้สึกได้อย่างชัดเจน หมัดของเขา เดิมทีไม่เหมือนต่อยไปที่หลังของคน แต่ทว่าเหมือนโจมตีไปที่แผ่นเหล็กแข็งแกร่งยากจะตีแตกแผ่นหนึ่ง
แวบเดียวเจ้าสำนักก็ก้าวถอยหลังตึกๆๆๆ อย่างรวดเร็ว ถอยมาถึงขอบสนามต่อสู้ ง่ามมือของเขาชา เจ็บอย่างมาก
เขาจำได้อย่างชัดเจน หมัดนี้ตกไปที่ตัวของเฉินเป่ย แต่ทำไม…….ส่วนหลังของคนที่อ่อนแอที่สุดซึ่งไม่ได้ออกกำลังกายนั้น คาดไม่ถึงจะแข็งจนทำให้คนเดือดดาล
เฉินเป่ยหมุนตัว มองทางเจ้าสำนัก มุมปากฉีกรอยยิ้มเสียดสีขึ้น “สรุปเป็นใครหาที่ตาย?”
“พวกต่ำต้อย คนแรกเป็นไอ้หนุ่มคนนั้น คนที่สองก็คือแกไง” เจ้าสำนักสีหน้าหม่นหมอง เขาสะบัดๆ มือ พูดเสียงหนาวเหน็บ
“แค่คุยโม้เป็นจะมีประโยชน์อะไร” เฉินเป่ยคลำบุหรี่ออกมา สูบไปมวนหนึ่ง ค่อยๆ พ่นควันบุหรี่ออกมา “นี่ฉันเป็นตัวแทนสวรรค์ทวงคืนความเป็นธรรม จะจัดการคนสารเลวอย่างแกเอง”
“บางทีแกก็ไม่คู่ควรจะเป็นคน” เฉินเป่ยมองทางเจ้าสำนักตั้งแต่แรกจนจบ เขาไม่ได้ลงมือสักครั้งเลย
แต่ไม่ได้หมายความว่าเขาจะปล่อยเจ้าสำนักไป
เจ้าสำนักมองทางเฉินเป่ย สีหน้าเย็นเฉียบ ทั่วทั้งตัวราวกับมีความหมายหนาวเหน็บตกใจอยู่เต็มไปหมด
การยั่วเย้าบนหน้าของเจ้าสำนักยิ่งเย็นยะเยือกราวน้ำค้างแข็ง เขามองทางเฉินเป่ย สายตาที่หยิ่งยโสนั้น เหมือนกำลังมองมดตัวหนึ่ง
……………
เวลานี้ ภายนอกสำนักฝึกวิทยายุทธ
รถไมบัคคันหนึ่งขับด้วยความเร็วอยู่บนถนนของเยี่ยนจิง ได้รับคำสั่งของหลีเช่าเทียน ความเร็วของรถไมบัคขับช้าลงมาก ในเมืองที่เจริญรุ่งเรืองแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าสะดุดตาอย่างมาก
สิ่งที่ไม่เหมือนกับด้านนอกรถคือรถไมบัคในฐานะรถหรู ประสิทธิภาพในการเก็บเสียงย่อมชั้นเยี่ยม ภายในรถเงียบเป็นพิเศษ แม้กระทั่งในอากาศยังมีกลิ่นหอมอ่อนๆ ฟุ้งกระจาย
ที่นั่งแถวหลัง หลีเช่าเทียนมองนอกหน้าต่าง ทิวทัศน์ค่อยๆ เลื่อนถอยหลังด้วยสีหน้าเรียบเฉย เพิ่มความทอดถอนใจขึ้นนิดๆ
“ช่วงหนึ่งที่คุณชายหลีไม่ได้ออกมาจากบ้านหลี เยี่ยนจิงเปลี่ยนแปลงไปมากใช่รึเปล่าครับ”
หลีเช่าเทียนพยักหน้า “ในฐานะเมืองชั้นนำของหัวเซี่ย ช่างเปลี่ยนแปลงไปเร็วเสียจริง คุ้นเคยแต่ชีวิตที่สงบสบายใจ พอต้องมาสัมผัสกับที่นี่อีกครั้ง เลยปรับตัวไม่ทันอยู่บ้าง”
เลขาฯ ที่อยู่ด้านข้างยิ้มบอก “เจ้าบ้านบอกแล้วว่าวันนี้ให้คุณทำความคุ้นเคยสักหน่อย พรุ่งนี้ที่งานพนันเพชรพลอย มีผู้มีความสามารถพิเศษมากมาย แบบนี้คุณจะได้สะดวกรับมือหน่อย”
หลีเช่าเทียนมองทางด้านนอกหน้าต่าง ทันใดนั้นสายตาของเขาหยุดที่หน้าประตูสำนักฝึกวิทยายุทธแห่งหนึ่ง ตะโกนด้วยความสนใจ “หยุดรถ”
รถไมบัคจอดลง หลีเช่าเทียนเปิดประตูรถออก พูดจานิ่งๆ “สำนักฝึกวิทยายุทธแห่งนี้คึกคักขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไรกัน?”
เลขาฯ มองไปทีหนึ่ง อธิบายว่า “สำนักฝึกวิทยายุทธแห่งนี้เป็นที่ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ในบรรดาสำนักฝึกวิทยายุทธแต่ละแห่งโดยรอบ เจ้าสำนักร้ายกาจโหดเหี้ยมมาก ปกติสำนักฝึกวิทยายุทธแห่งนี้เงียบเหงา ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้ถึงมีคนมากขนาดนี้…….”
“เข้าไปดูหน่อย” หลีเช่าเทียนล้วงมือทั้งคู่ในกระเป๋ากางเกง เอ่ยปากเรียบๆ ก้าวเท้าเข้าไป
“ครับ”
……………
“วันนี้ แกไม่อาจออกไปจากที่นี้ได้” เจ้าสำนักทำเสียงฮึดฮัด เหยียบเท้าลงบนพื้นอย่างรุนแรง ทำให้พื้นสั่นสะเทือน
เจ้าสำนักระเบิดเสียงออก กล้ามเนื้อทั้งตัวปูดขึ้นเป็นมัดๆ คล้ายกับยักษ์เล็ก พุ่งเข้าไปทางเฉินเป่ย
“ไม่!”
หญิงสาวมัธยมปลายที่อายุสิบแปดคนนั้นกอดผู้ชายผอมแห้งคนนั้นไว้ มองเห็นฉากนี้พร้อมกับส่งเสียงร้องตกใจ
เพราะเฉินเป่ยเป็นเพียงแค่หนึ่งเดียวที่ออกหน้าแทนพวกเขา หญิงสาวมัธยมย่อมไม่ยินยอมมองเห็นเฉินเป่ยถูกเจ้าสำนักตีตายต่อหน้าต่อตา
เฉินเป่ยยืนอยู่ที่เดิม มองเห็นเจ้าสำนักพุ่งเข้ามาแล้ว สีหน้าสงบผิดปกติ แม้กระทั่งยังค่อยๆ พ่นควันบุหรี่ออกมา
“ไม่รู้จักที่ตาย” เจ้าสำนักมองเห็นท่าทางที่เรียบเฉยผิดปกติของเฉินเป่ยนี้ก็หัวเราะเยาะในใจ มือทั้งคู่กุมหมัดไว้ ระเบิดโจมตีออกไปด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ
อากาศสั่นสะเทือน นั่นคือเสียงระเบิดโหมซัดสาดเป็นระลอก
และในแววตาของเฉินเป่ยเวลานี้ ในที่สุดก็เกิดการดูถูกเหยียดหยามขึ้นฉับพลัน
เหมือนกำลังเหน็บแนมว่าเจ้าสำนักช่างอ่อนแอเหลือเกิน
หมัดของเจ้าสำนักต่อยเข้าไปทางด้านหน้าของเฉินเป่ย แต่ที่ทำให้ทั้งหมดเกินความคาดหมายคือพวกเขาไม่ได้มองเห็นฉากแบบก่อนหน้านี้ กลับมีภาพเงาคนคนหนึ่งลอยขึ้นสูง ทว่าสงบผิดปกติ
เฉินเป่ยยืนอยู่ที่เดิม เจ้าสำนักสั่นเทาไปทั้งตัว เหมือนกำลังดิ้นรน ตอนที่สายตาทุกคนรวบรวมอยู่บนหมัดของเจ้าสำนักนั้น ต่างก็ค่อยๆ ฮือฮาตกตะลึง
เพราะหมัดของเจ้าสำนักที่ใหญ่ราวกับกระสอบทรายนั้น โดนเฉินเป่ยใช้มือข้างหนึ่งจับไว้อย่างง่ายดาย
เฉินเป่ยพ่นควันบุหรี่ใส่เจ้าสำนัก ท่าทางสบายใจผ่อนคลายแบบนั้น ตรงข้ามกันกับเจ้าสำนักที่หน้าแดงขึ้นอย่างชัดเจน
ไม่มีใครเห็นชัดว่าเฉินเป่ยลงมืออย่างไร แต่เจ้าสำนักกลับรู้สึกได้ กำลังของตนเองราวกับจมลึกไปในบ่อโคลน ส่วนมือข้างนั้นของเฉินเป่ยจับหมัดของเขาไว้ดุจคีมปากเสือที่จับไว้แน่น ทำให้เขาหลุดรอดไม่ได้
“แกมีเรี่ยวแรงน้อยนิด ฆ่าไก่ยังยากเลย ยังอยากให้ฉันตายน่ะเหรอ?”
เฉินเป่ยเอ่ยปากนิ่งๆ ในสายตาที่มองทางเจ้าสำนัก มีการเยาะเย้ยเพิ่มขึ้น
เส้นเลือดบนหน้าผากเจ้าสำนักกระตุกอย่างแรง นี่คือการดูถูกเสียดสีอย่างโจ่งแจ้ง
เจ้าสำนักจัดการชีวิตคนไปไม่น้อยแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าวันหนึ่งจะโดนคนคนหนึ่งมาเหน็บแนม แม้แต่ไก่ยังฆ่าตายได้ยาก……. เจ้าสำนักสั่นเทาไปทั้งตัว โมโหอย่างสุดขีดแล้ว
“ตายซะ!”
เจ้าสำนักสีหน้าดุร้าย เขาตะโกนขึ้น ยกเท้าถีบไปทางเฉินเป่ยอย่างดุเดือด
ส่วนเฉินเป่ยเหมือนคาดการณ์ได้แต่แรก หลบเท้านี้ออกไปอย่างง่ายดาย ดูเหมือนไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆ
…….
หลีเช่าเทียนเดินเข้ามาในสำนักฝึกวิทยายุทธ เวลานี้คนด้านในสำนักฝึกวิทยายุทธยิ่งมาก เกือบจะเบียดเสียดกันแล้ว
ยังดีที่ข้างกายหลีเช่าเทียนมีบอดี้การ์ดสองสามคนตามติดอยู่ตลอดกาล จึงพยายามเปิดช่องว่างเพื่อให้หลีเช่าเทียนหายใจได้
หลังหาตำแหน่งเหมาะที่หนึ่งได้ เลขาฯ ที่ตามหลังมาติดๆ ก็เดินเข้ามา นำเก้าอี้พับตัวหนึ่งวางลงบนพื้น ให้หลีเช่าเทียนนั่งลงบนเก้าอี้
ส่วนหลีเช่าเทียนพึ่งนั่งลง พอกวาดสายตา ตอนที่มองเห็นภาพเงาคนคนนั้นที่อยู่บนเวทีต่อสู้ สายตาก็แข็งทื่อฉับพลัน
มุมปากหลีเช่าเทียนตะคริวกิน ดวงตาทั้งคู่ของเขาแข็งค้าง มองภาพเงาคนคนนั้นอยู่ ในแววตาลึก ปรากฏความรู้สึกที่ยากจะเชื่อนิดๆ ขึ้นทันที
เขาไม่ลืมเป็นธรรมดา ผู้ชายที่กลายเป็นฝันร้ายในใจเขาคนนั้น
ถ้าไม่เจอเขาเข้า หลีเช่าเทียนคงไม่กลับเยี่ยนจิง คงไม่สูญเสียแขนข้างหนึ่ง ตำแหน่งในตระกูลคงไม่ตกฮวบฮาบ จิตใจหงอยเหงาจมสู่จุดตกต่ำ
ทุกอย่างย่อมเป็นเพราะเฉินเป่ย
หลีเช่าเทียนมองเห็นเฉินเป่ย สีหน้าฝืดค้าง นานแล้วที่อารมณ์สงบของเขาไม่ได้หวั่นไหว จนเกิดลูกคลื่นนิดๆ ขึ้นมาฉับพลัน
แววตาของเขามีความหมายซับซ้อนแวบผ่าน ข้างหนึ่ง เลขาฯ ที่ด้านข้างหลีเช่าเทียนสังเกตถึงความผิดปกติของหลีเช่าเทียน จึงถามว่า “คุณชายหลี คุณไม่เป็นอะไรนะครับ?”
ไม่นานหลีเช่าเทียนสงบนิ่งกลับคืนมา ปล่อยมือที่บีบจนซีดออก เรียบเฉยแบบก่อนหน้าพลางตอบว่า “ฉันไม่เป็นไร”
“คุณชายหลีครับ คนที่นี่เยอะ ไม่สู้รีบออกไปดีกว่า?” เลขาฯ ที่อยู่ด้านข้างพูดแนะนำ
“ไม่” ในเวลานี้ เขาเอ่ยปากกะทันหันแล้ว ดวงตาทั้งคู่ของเขาจ้องภาพเงาคนนั้นที่บนเวทีต่อสู้อย่างแน่น แววตาค่อยๆ ก่อหวอดความหมายซับซ้อนขึ้น “อยู่ที่นี่ดูหน่อย ดูการต่อสู้ของลิงบนเวทีจนจบ”
เลขาฯ ที่อยู่ด้านข้างพยักหน้า สำหรับคุณชายตระกูลหลีแล้ว การประลองภายในสำนักฝึกวิทยายุทธแบบนี้ ไม่มีอะไรแตกต่างกับพวกลิงกัดกัน แต่กลับดูเหมือนน่าสนใจ
ถึงแม้สีหน้าหลีเช่าเทียนจะยังคงเรียบเฉย แต่สายตาของเขาไม่ได้ย้ายออกจากบนตัวเฉินเป่ยเลย
เขามองทางเฉินเป่ย สีหน้าสงบ เขาในเวลานี้ ท่วงทีมีความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายตั้งแต่นานแล้ว
อารมณ์ของเขาเปลี่ยนแปลงภายใต้การช่วยเหลือของหลีหง เขามองทางเฉินเป่ย สายตาเวทนาเพิ่มขึ้นหลายระดับ
ต้องมีสักวันที่เขารับภาระหนักของหลีหงมา ควบคุมเยี่ยนจิง……ส่วนเฉินเป่ยก็ถูกลิขิตให้โดนเขาเหยียบไว้ใต้เท้า