บทที่ 370 นักแม่นปืนในตำนาน!
ภายในห้องอาหารของตระกูลตู้ เมืองหู้ไห่
ปั๊มน้ำขนาดใหญ่ที่ถูกจัดวางไว้กลางห้องอาหารนั้น… ทำให้เลือดในร้านอาหารค่อยๆ ถูกสูบออกไปจนแห้งเหือด จนเผยให้เห็นสภาพอันแท้จริงของห้องอาหารที่เฉกเช่นขุมนรก
เย่ชวงเดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจนายหนึ่งเข้าไปในห้องอาหาร เจ้าหน้าที่ตำรวจได้พูดกับเย่ชวงว่า
“หลังจากที่เราใช้ปั๊มน้ำสูบเลือดทั้งหมดออกไปหมดแล้ว เราพบสิ่งนี้… ก่อนหน้านี้มันน่าจะถูกวางไว้บนโต๊ะอาหารอยู่ก่อนแล้ว”
เจ้าหน้าที่ตำรวจชี้ไปที่ศพร่างเล็กๆ ที่ห่อด้วยผ้าสีขาว สายตาของเย่ชวงมองไปที่ร่างเล็กๆ นั้น ดวงตาอันงดงามของเธอขยายกว้าง! รูม่านตาหดเล็กเท่าเข็มหมุด!
“เป็นไปได้อย่างไรกัน!” เย่ชวงจ้องมองไปที่ร่างเล็กๆ นั้น พลันพูดด้วยเสียงแหบพร่า
“พวกเราก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน… เรื่องที่โหดร้ายทารุณแบบนั้น… คนปกติคงลงมือไม่ได้” เจ้าหน้าที่ตำรวจพยักหน้า “แต่รกเด็กก็สามารถบอกเล่าเรื่องทุกอย่างได้แล้ว นอกจากนี้พวกเรายังพบศพหญิงตั้งครรภ์ที่ทางเข้าห้องอาหาร… ถ้าคาดการณ์ไม่ผิด ทารกในครรภ์คงถูกดึงตัวออกมาจากร่างของหญิงตั้งครรภ์… จากที่ตรวจสอบรกและตัวเด็กทารกจะเห็นได้ว่า… หญิงมีครรภ์คนนี้ไม่ได้ฉีดยาชาก่อนเกิดเหตุด้วยซ้ำ… ทารกในครรภ์คงได้รับความเจ็บปวดเป็นอย่างมาก”
เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ได้พูดต่อ เย่ชวงหายใจเข้าลึกๆ ใบหน้าสะสวยของเธอเย็นชาราวน้ำค้างในฤดูเหมันต์ ร่างบอบบางของเธอเต็มไปด้วยความโกรธจัด เย่ชวงรู้สึกว่านี่เป็นครั้งแรก ที่เธอถูกความโกรธถาโถมเข้าใส่จนมันพลุ่งพล่านขนาดนี้!
“ไม่มีความเป็นมนุษย์หลงเหลือไว้เลยสักนิด! ตรวจสอบว่าใครเป็นคนทำได้หรือยัง?” เย่ชวงถามอย่างเย็นชา
“ตอนนี้ยังหาคนกระทำผิดไม่ได้ แต่จากที่ตรวจสอบที่เกิดเหตุ… บนตัวเด็กทารกมีกลิ่นหอม… เป็นไปได้อย่างมากว่าจะเป็นฝีมือของตระกูลตู้… ” เจ้าหน้าที่ตำรวจคนนั้นกล่าว
“เลวทรามต่ำช้าที่สุด!” เย่ชวงกัดฟันแน่น ไฟโกรธพุ่งทะยานไปแตะถึงขอบฟ้า
“คนกินคนด้วยกันเอง… ตระกูลตู้สมควรตายห่าไป!” เย่ชวงตะโกนลั่น พร้อมทั้งประณามด้วยความโกรธแค้น
หลังจากนั้นไม่นาน เย่ชวงก็สงบสติอารมณ์ลง พลันพูดพร้อมทั้งหันไปหาเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ข้างๆ ว่า “ถ้าเจอหลักฐานอะไรอีก รายงานให้ฉันทราบโดยเร็วที่สุด”
“เราพบรอยเท้าของฆาตกร” เจ้าหน้าที่ตำรวจยื่นรูปถ่ายให้ดูทีละใบ “เมื่อครู่หลังจากตรวจสอบ และรวบรวมหลักฐาน พบว่ามีรอยเท้าเปื้อนเลือดอยู่คู่หนึ่งอยู่ทั้งด้านใน และด้านนอก รวมทั้งทางเข้าห้องอาหารแห่งนี้ ถ้าคาดการณ์ไม่ผิด นี่น่าจะเป็นรอยเท้าของฆาตกร”
เย่ชวงรับรูปถ่ายมาพลางกวาดสายตาดูรูปถ่ายทีละใบ เจ้าหน้าที่ตำรวจรายงานข้อมูลจำนวนหนึ่งให้เย่ชวงทราบว่า “หลังจากวิเคราะห์จากขนาดรอยเท้า และระยะก้าวเท้าแล้ว เราสามารถทราบข้อมูลความสูงของฆาตกร และข้อมูลอื่นๆ อีก…”
เย่ชวงเห็นข้อมูลเพียงแวบเดียว สีหน้าตกตะลึง… รูม่านตาหดตัว… ข้อมูลเหล่านี้ ทำให้ในหัวของเธอปรากฏเงาของใครคนหนึ่งในความทรงจำที่ฝังลึกในใจของเธอทันที
“เฉินเป่ย!” ริมฝีปากของเย่ชวงเผยอออก พลันหลุดพูดชื่อออกมาหนึ่งชื่อ!
“เฉินเป่ยเหรอ?” เจ้าหน้าที่ตำรวจท่านหนึ่งตะลึงเล็กน้อย พร้อมทั้งแสดงท่าทีไม่เข้าใจสักเท่าไหร่ ไม่เข้าใจที่ว่าทำไมคนอย่างเย่ชวงถึงได้เผลอหลุดชื่อนี้ออกมาด้วย
ส่วนเย่ชวงรีบออกคำสั่งกับนายตำรวจคนนั้นทันที “ไปตรวจสอบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเฉินเป่ยมาทั้งหมด พร้อมทั้งตรวจสอบกล้องวงจรปิดในละแวกนี้ด้วย ว่ามีคนลักษณะท่าทางละม้ายคล้ายคลึงกับเขามาปรากฏตัวที่นี่หรือไม่”
“หัวหน้าเย่ กล้องวงจรปิดในละแวกนี้ในตอนที่เกิดเหตุนั้นไม่มีภาพบันทึกเอาไว้ … เหมือนว่าระบบโดนแฮก” เจ้าหน้าที่ตำรวจท่านนั้นกล่าวออกมา
เย่ชวงขมวดคิ้วเอาไว้แน่น ในยามนี้ถึงแม้ว่าจะโง่ดักดานขนาดไหนก็มองออก… นี่มันไม่ใช่การฆาตกรรมล้างโคตรทั่วไป … แต่มันเป็นการฆาตกรรมที่ได้วางแผนไว้อย่างดิบดี!
หลังจากที่เย่ชวงเดินออกจากตระกูลตู้แล้ว เธอยืนอยู่บริเวณปากประตูของบ้านตระกูลตู้ พร้อมทั้งมือกอดอก ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าคดีนั้นมันยุ่งยากซับซ้อนขนาดไหน
เย่ชวงเงยหน้าขึ้นมองขอบฟ้าที่อยู่ไกลแสนไกล … เธอหน้านิ่วคิ้วขมวดจ้องมองมันอยู่นาน นัยน์ตาทอประกายอยู่นาน…จนในที่สุดก็บ่นพึมพำออกมา “ครั้งนี้ต้องเป็นแกลงมือแน่นอน”
เย่ชวงได้ตัดสินว่าเฉินเป่ยเป็นคนลงมือก่อเหตุ … ครั้งนี้เขา มั่นใจอย่างเต็มที่โดยไม่มีข้อกังขาใดๆ เฉินเป่ยวางแผนการฆาตกรรมที่รุนแรงเช่นนี้… ไม่ว่าสถานะของเขาจะสำคัญมากถึงเพียงไหนก็ตาม ก็ไม่อาจที่จะคุ้มครองเขาไว้ได้!
………
ประตูทางเข้าสนามบินหงเฉียวเมืองหู้ไห่
รถเก๋งสีดำค่อยๆ ชะลอตัวจอดลงอย่างช้าๆ ประตูถูกเปิดออก เฉินเป่ยสวมแว่นตาดำเดินลงมาจากรถ หลังจากนั้นก็หันหลังกลับไป เพื่อมองหัวหน้าหน้าหลี่ที่ใบหน้าซีดเผือด
หัวหน้าหลี่ที่นั่งอยู่ด้านในรถเก๋งมองมาทางเฉินเป่ย พร้อมทั้งพูดอย่างขอโทษ “ขาแข้งไม่ค่อยดี ขออนุญาตไม่ไปส่งคุณด้านในแล้วกัน ครั้งนี้ขอบคุณ คุณมากจริงๆ ที่ช่วยฉันในการกวาดล้างภารกิจการซื้อยาเสพติดได้สำเร็จ แถมยังรีบถ่อเดินทางตั้งไกลมาจากเยี่ยนจิงอีก….”
หัวหน้าหลี่ยังพูดไม่ทันจบ เฉินเป่ยเผยอปากทันที พร้อมทั้งพูดตัดบทเอาไว้ “ตาแก่นี่ ฉันก็แค่เห็นว่าเอาเรื่องส่วนตัวมาช่วยแก้แค้นให้คุณเท่านั้นเอง … ไม่ได้มีเศษขี้หมาส่วนใดตรงไหนที่ไปเกี่ยวข้องกับทีมดูแลความปลอดภัยในประเทศเลยสักนิด”
หัวหน้าหลี่ท่าทางตะลึงไปชั่วครู่ ถึงได้สติกลับมา ในใจของเฉินเป่ย ยังคงไม่ยอมปล่อยวางเรื่องที่เกี่ยวกับทีมดูแลความปลอดภัยในประเทศ
หัวหน้าหลี่ได้แต่ถอนหายใจ พร้อมทั้งยิ้มให้อย่างเก้อเขิน แล้วหันมาพูดกับเฉินเป่ยแทน “ฉันรู้ แต่หวังว่าคุณจะหายโกรธทีมดูแลความปลอดภัยในประเทศลงไปบ้าง … เพราะอย่างไรในปีนั้นทีมดูแลความปลอดภัยในประเทศก็ไม่ได้เป็นตัวของตัวเองสักเท่าไหร่”
ถ้าพูดกันตรงๆ อยากจะขอให้คุณคิดเรื่องที่เคยสานสัมพันธ์กับทีมดูแลความปลอดภัยในประเทศในเวลานั้น อย่าได้รังเกียจกันอีกเลย
ส่วนเจ้าหน้าที่หน่วยลับพิเศษอันเก่งกาจเหล่านั้นที่ยืนอยู่ด้านข้างของหัวหน้าหลี่ต่างตกใจตาม… พวกเขาย่อมไม่รู้ว่าผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี้ เคยตกอยู่ในสถานการณ์โดนคำสั่งสูงสุดในการปิดหัวเซี่ยไล่ตามฆ่ามาแล้ว แถมยังกล้าเข้าเมืองหัวเซี่ยมา พร้อมทั้งมาฆ่าคนจากเยี่ยนจิงอีก!
พวกเขายิ่งไม่รู้อีกว่า สถานะอันแท้จริงของชายคนนี้ ผู้ซึ่งทำให้วงการมืดทางตะวันตกสั่นสะเทือน จนสามารถทำให้มหาอำนาจมากมายยอมจำนนอ่อนข้อให้!
ตอนที่สายตาของพวกเขาจ้องมองมาที่ตัวของเฉินเป่ยนั้น ในใจต่างอดสงสัยไม่ได้ว่า … พวกเขาไม่คิดมาก่อนเลยว่า ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านี้ จะมีส่วนเกี่ยวข้องกับทีมดูแลความปลอดภัยในประเทศอีกด้วย!
ตอนที่เฉินเป่ยหันหลังกลับไปนั้น ร่างกายก็ค่อยๆ ห่างจนหายไปวับไปตรงบริเวณประตูสนามบิน หัวหน้าหลี่เองก็ไม่ได้ให้รถเก๋งเคลื่อนรถออกไป… เพราะเขาคอยจ้องมองแผ่นหลังของเฉินเป่ยอยู่ตลอดเวลา สายตาพลันสื่อความหมายลึกซึ้งมองผ่านกระจกรถ มองทอดยาวออกไปเรื่อยๆ จนถึงด้านในของสนามบิน….
รอให้เฉินเป่ยหายตัวไปนานแล้ว หัวหน้าลี่ถึงได้ยอมปริปากพูดออกมา “ไปกันเถอะ เรากลับไปที่หน่วยเพื่อรายงานข่าวให้ฟัง”
รถเก๋งสีดำค่อยๆ ขยับออก พร้อมทะยานมุ่งหน้าไปยังสถานที่อันห่างไกล
รถเก๋งสีดำทะยานเข้าสู้ท้องถนน ในที่สุดเจ้าหน้าที่หน่วยลับพิเศษอดใจไม่ไหวจนถามคำถามที่ค้างคาใจกับหัวหน้าหลี่ทันที “หัวหน้าหลี่ ตกลงว่าคนคนนั้นมีที่มาที่เป็นอย่างไร พวกเราไม่สามารถทำเรื่องพวกนั้นได้ แต่เขากลับทำได้เสียนี่”
หน่วยลับพิเศษอีกคนพยักหน้าเห็นด้วย “ถึงแม้ว่าข่าวก็ไม่ได้ออก แต่ว่าทางหน่วยก็ได้โทรศัพท์เข้ามาหา พร้อมทั้งพอใจเป็นอย่างมากกับภารกิจในครั้งนี้”
“สถานะของเขา เกรงว่าขนาดอธิบดีของเราก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้ได้”
หน่วยลับพิเศษหลายคนที่อยู่ด้านข้าง เมื่อได้ยินคำพูดของหัวหน้าหลี่ที่มีความหมายซ่อนเป็นนัยเอาไว้ ในใจต่างตกตะลึง สีหน้าเปลี่ยนไปทันที
คำพูดของหัวหน้าหลี่ ทำให้พวกเขาเข้าใจความหมายที่ซ่อนอยู่ทันที เมื่อมองมาตรงบริเวณที่เฉินเป่ยหายตัวไปนั้น สายตาพลันแสดงอาการพรั่นพรึงออกมา
…………
เมืองเยี่ยนจิง บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปสาขาเยี่ยนจิง
ท่านประธานเทพธิดาหลีชิงเยียนกำลังนั่งอยู่ด้านหน้าโต๊ะทำงาน ทว่าสติกลับไม่อยู่กลับเนื้อกลับตัว ท่าทางไม่เป็นตัวของตัวเอง
เวลานั้นเอง เธอยื่นมือเรียวงามออกไป แล้วกดโทรศัพท์หาซูเหลยในทันที “ยังไม่มีข่าวคราวของเขาอีกเหรอ?”
เสียงปลายสาย เป็นน้ำเสียงซูเหลยพูดแกมขอโทษ “ท่านประธานหลี … ฉันได้ใช้เส้นสายทั้งหมดที่มีแล้ว … แต่ก็ไม่สามารถหาตัวเขาพบได้”
“ฉันรู้แล้ว” น้ำเสียงของหลีชิงเยียนสงบนิ่ง พร้อมทั้งความเยือกเย็นเช่นเดิมอยู่ตลอด … สีหน้าที่แสดงออกมานั้นไม่มีท่าทีกระโตกกระตากแต่อย่างใด ราวกับว่าไม่ได้สนใจไยดีเฉินเป่ยสักนิด
ทว่าตอนที่เธอวางสายแล้วนั้น เธอลุกขึ้นยืนทันที แถมถอดรองเท้าส้มสูงปลายออกจากของดงามดั่งทองคำ จากนั้นก็เดินเท้าเปล่าไปที่หน้าต่างจรดพื้น
ท่านประธานเทพธิดายืนนิ่งๆ อยู่บริเวณด้านหน้าของขอบหน้าต่าง พร้อมทั้งยืนเหล่มองเมืองเยี่ยนจิงทั้งเมือง ตึกรามบ้านช่องป่าคอนกรีตเสริมเหล็ก มันทำให้ดวงตาอันงดงามของท่านประธานเทพธิดานั้นฉายความรู้สึกสับสนออกมา … เธอไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรถึงจะหาตัวเฉินเป่ยได้ … จนเธอเองยังเริ่มรู้สึกสงสัยในหัวใจของตนเองแล้ว ว่าตนเองเอาแต่ใจเกินไปหรือเปล่า ถึงทำให้อีตานี่หายหัวไปเลย เลยไม่กลับมาอีกแล้ว
ทว่าสิ่งที่หลีชิงเยียนไม่รู้ก็คือ คนที่เธอกำลังคิดถึงอยู่นั้น กำลังนั่งอยู่บนเครื่องบินส่วนตัว … แล้วมองออกนอกหน้าต่าง เพื่อมองสนามบินที่อยู่ไกลๆ บนก้อนเมฆ ก้อนเมฆลอยเคว้งคว้างอยู่เต็มบนท้องฟ้าที่ใกล้อยู่แค่เอื้อมมือ
เครื่องบินส่วนตัวลำนี้กำลังทะยานอยู่ในน่านฟ้าที่สูงเหนือระดับน้ำทะเล เป็นหมื่นฟุต มุ่งหน้ามายังเมืองหู้ไห่อย่างรีบเร่ง
เวลานั้นเอง พนักงานสาวรูปร่างเพรียวระหง ท่าทางสง่างามเดินเข้ามาหา บริเวณตรงหน้าเฉินเป่ย มือเรียวงามทรงกระบอกทั้งสองข้างยื่นโทรศัพท์ดาวเทียมสีดำเครื่องหนึ่งมาให้ พร้อมกล่าวเสียงสดใสมีเสน่ห์ “คุณผู้ชายคะ มีโทรศัพท์มาหาคุณค่ะ”
หลังจากที่เฉินเป่ยรับโทรศัพท์ดาวเทียมแล้ว เสียงปลายสาย เป็นเสียงชิงเหยียนที่กำลังแสดงอาการหวาดหวั่นพรั่นพรึง “เจ้านาย นี่คุณไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วหรือไง ก่อนหน้านี้ยังให้ฉันทำเรื่องอย่าให้กระโตกกระตากไป แต่ตนเองดันเหาะไปฆ่าล้างโคตรที่หู้ไห่เนี่ยนะ! คุณนี่มันทำเรื่องที่เมืองหัวเซี่ยเหมือนเป็นเรื่องธรรมดางั้นแหละ”
“นี่มันเป็นข้อยกเว้น ฉันติดหนี้บุญคุณคนคนหนึ่งไว้ คนคนนั้นถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ถ้าฉันไม่ยอมลงมือเข้าไปช่วย เขาก็จะตาย” เฉินเป่ยค่อยๆ พูดอธิบาย คำพูดหยุดอยู่ชั่วครู่ พลันน้ำเสียงเย็นชาขึ้นมาทันที “อีกอย่าง ตระกูลตู้กับตระกูลจางสองตระกูลเนี่ยมันสมควรตายห่าไปซะ คนเป็นๆดันกินเนื้อมนุษย์ เลวทรามต่ำช้านิ่งนัก การให้บทลงโทษแก่พวกเขา ถือว่าเป็นกรรมที่พวกเขาก่อเวรเอาไว้”
“สิ่งที่ทำให้คุณยอมลงมือช่วยนั้น เรื่องนั้นต้องเป็นเรื่องที่หนักหนาสาหัสมากที่สุดแล้ว… ไม่คิดเลยว่าในเมืองหู้ไห่ยังมีตระกูลที่ด้อยค่ากว่าพวกสัตว์เดรัจฉานอีก” เสียงปลายสายเงียบงันอยู่นาน สุดท้ายแล้วชิงเหนียนก็เริ่มแสดงความโกรธออกมา
“ทางตระกูลตู้ยังมีผู้รอดชีวิตหลงเหลืออยู่ … รอให้ทางตำรวจจัดการผู้รอดชีวิตเหล่านั้นให้ดีเสียก่อน … แกค่อยไปดูสักหน่อย แกช่วยหาครอบครัวของพวกเขาด้วย” เฉินเป่ยพูดสั่งการไปเรื่อย ทันใดนั้นมีเสียงอื้ออึงออกมา จนใบหน้าซีดเผือด
“เป็นอะไรไป เจ้านาย?” ชิงเหนียนที่ละเอียดรอบคอบที่อยู่ปลายสายพลันสัมผัสได้กลิ่นผิดปกติทันที
“ไม่มีนี่” เฉินเป่ยตัดสายทิ้งทันที เขาเปิดเสื้อเชิ้ตของตนเองออก … พลันเห็นว่าบริเวณแผ่นอกอันกำยำของเขานั้น มีรอยแผลที่เห็นได้ชัดอยู่หลายรอย … จนมันนูน…พร้อมทั้งเลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาด้วย
เฉินเป่ยก้มหน้าก้มตา เพื่อเพ่งมองรอยแผลจากการถูกยิ่งบนร่างกายของตนเอง ได้แต่ถอนหายใจอยู่ในใจ นัยน์ตานั้นมีฉายแววตาแห่งความกล้าและความหนักแน่นแสดงออกมาให้เห็น
เขายังไม่ได้เดินเที่ยวเล่นในหู้ไห่เลย ถ้าเขาช้าไปก้าวเดียว หู้ไห่อาจจะถูกปิดเมือง เพื่อทำการปูพรมค้นหาฆาตกร… จนทำให้หู้ไห่สั่นสะเทือน … ความอันตรายสำหรับเขาคงยิ่งเพิ่มเป็นทวีคูณ!
เวลานั้นเอง ถ้าถูกหัวเซี่ยจับได้ว่าเขายังมีชีวิตอยู่ … คงต้องใช้อำนาจเส้นสายที่มี…เพื่อต้องการให้เขาเสียชีวิตไปทันที!
คำพูดเหล่านั้นของหัวหน้าหลี่ที่พูดกับเขา เขาไม่มีวันเชื่ออยู่แล้ว หลายปีก่อน ตอนที่เขาอยู่ในเมืองหัวเซี่ย ก็เคยถูกล้อมจากคนมีอำนาจมากมายตามไล่ฆ่า… เพื่อล้อมเขาเอาไว้… ถ้าเขาไม่กระโดดลงทะเล จนรอดชีวิตมาได้ ไม่งั้น คงจะถูกทรมานอยู่ในพวกนักฆ่าวงการมืด จนสุดท้ายแล้วก็ต้องได้รับโทษถูกประหารชีวิตจนถึงแก่ความตาย!
เฉินเป่ยค่อยๆ พ่นลมออกจากปาก นัยน์ตาแสดงความรู้สึกอันหนาวเหน็บออกมา
หู้ไห่ เกิดการจลาจลครั้งใหญ่ขึ้นแล้ว!