บทที่408 อย่าคิดจะมีชีวิตรอดออกไปสักคน!
เต๋อกุลาก้มหน้า จ้องมองร่างกายที่มีความยืดหยุ่นอย่างมากร่างนี้อยู่ ไม่มีใครรู้ชัดเจนว่าเวลานี้เขากำลังคิดอะไรอยู่บ้าง
ทันใดนั้น มุมปากของเต๋อกุลาฉีกรอยยิ้มที่เหยียดหยามขึ้น เอ่ยปากบอก “ไม่รู้ว่าร่างกายที่ครอบครองคุณสมบัติต่างจากคนทั่วไป รสชาติเลือดจะเป็นยังไง”
เต๋อกุลาเลียๆ ริมฝีปากที่แดงสดดุจเลือด ในแววตาของเขาเปล่งประกายความดื้อดึงและความปรารถนาที่ผิดปกติต่อเลือดสด
ซูเหลยหมอบอยู่บนพื้น พยายามดิ้นรนอย่างเจ็บปวดอยู่หน่อย หล่อนพึ่งอยากจะพยายามปีนขึ้น ทันใดนั้นเท้าใหญ่ข้างหนึ่งเหยียบบนหลังของหล่อนอย่างแรง ทำให้ซูเหลยที่เดิมทีสีหน้าไร้เลือด ทันใดนั้นยิ่งซีดเผือดลงไม่น้อย
“เฮือก!”
ซูเหลยพ่นเลือดสดออกมาทีหนึ่ง ร่างกายสั่นเทาอย่างบ้าคลั่งสุดชีวิต ภายในแววตาประกายความไม่ยินยอมอย่างรุนแรง
ซูเหลยดิ้นรนอยากจะลุกขึ้น แต่เดิมทีไม่มีประโยชน์ เท้าข้างนั้นที่เหยียบบนด้านหลังของซูเหลยตั้งแต่ต้นจนจบ เหมือนภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง ทับบนหลังของซูเหลยอย่างแรง ทำให้ซูเหลยขยับเขยื้อนไม่ได้เลย
“คนหัวเซี่ยที่ต่ำต้อย ยังอ่อนแอเหมือนในอดีต” เต๋อกุลาก้มหน้า จ้องมองซูเหลยอย่างเย็นชา
ซูเหลยโดนเขาเหยียบไว้ใต้เท้าอย่างแรง เดิมทีปีนก็ปีนไม่ขึ้นเลย
พูดอีกอย่างก็คือความเป็นความตายของซูเหลยถูกเต๋อกุลาควบคุมไว้แล้ว เป็นหรือตาย ทุกอย่างอยู่ที่ความคิดแวบเดียวของเต๋อกุลา
“ปล่อยหล่อนไป!”
ในเวลานี้ ด้านหลังของเต๋อกุลา มีคำพูดที่หนาวเหน็บ ทว่ากลับเต็มไปด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ ลอยเข้าในหูของเต๋อกุลาทันที
เต๋อกุลาสีหน้าชะงักงัน เขาหันหน้าไปทันใด เห็นหลีชิงเยียนที่ไม่รู้ว่า มาปรากฏตัวด้านหลังของเขาตั้งแต่เมื่อไรกัน เธอกระชับชุดนอนสีม่วงตัวนั้นไว้แน่น ชุดนอนมีระดับปกปิดจุดสำคัญสองสามที่ของหลีชิงเยียนเอาไว้ แต่ขับให้ผิวพรรณขาวดุจหิมะและเค้าโครงรูปร่างที่สมบูรณ์แบบของเธอออกมาเด่นชัด
เต๋อกุลาหันหน้า ตอนสายตาตกลงบนตัวของหลีชิงเยียน ในใจประธานนางฟ้าสั่นระรัวอย่างแรง ถึงแม้เธอจะรวบรวมความกล้ามาเผชิญหน้าแล้ว แต่ตอนที่สายตาของเต๋อกุลากวาดผ่านมา ยังคงทำให้ในใจของหลีชิงเยียนเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้น ในจิตวิญญาณลึกๆ เหมือนกำลังสั่นเทาไปหมด
ออร่าที่ยิ่งใหญ่แบบของเต๋อกุลาประเภทนี้ หลีชิงเยียนยังเคยเจอเป็นครั้งแรก
เต๋อกุลาก้มหน้ากวาดสายตามองซูเหลยที่กระอักเลือดสดออกมา หัวเราะอย่างชั่วร้าย เก็บเท้าของตนเองกลับมาอย่างช้าๆ ก้าวใหญ่ๆ เดินไปทางหลีชิงเยียน
“แกจัดการฉันได้…แต่ให้แกปล่อยหล่อนไป”
ตอนที่เต๋อกุลายืนอยู่ตรงหน้าหลีชิงเยียน ชั่วขณะนั้นหลีชิงเยียนรู้สึกถึงพลังน่าเกรงขามอันสยองขวัญที่จะทำให้ตนเองหยุดหายใจลง
หลังหลีชิงเยียนฝืนทนพูดจนจบ เต๋อกุลาจ้องมองหลีชิงเยียนอยู่ ผ่านไปสักพักหนึ่ง มุมปากเต๋อกุลาฉีกรอยยิ้มหนาวเหน็บขึ้น “ปล่อยหล่อนไป? ความเป็นความตายของพวกเธอสองคน อยู่ในการควบคุมของฉันตั้งแต่แรกทำไม…ฉันต้องปล่อยหล่อนไป?”
เต๋อกุลาพึ่งพูดจบ ก้าวเท้าออกมา เขาที่ปรากฏตัวด้านหน้าหลีชิงเยียน ทั่วทั้งตัวมีออร่าที่ดุเดือดน่ากลัวปล่อยออกไปทั่วทิศทาง
ใบหน้าที่งดงามราวกับผ่านการเจียระไนของหลีชิงเยียนซีดเผือด ในดวงตาประกายความหมายไร้หนทางและตื่นตกใจ แต่ไหนแต่ไรเธอไม่เคยเห็นมาก่อน วินาทีนั้น เต๋อกุลาอยู่ด้านหน้าเธอ เกือบจะเป็นการมีตัวตนที่ไม่อาจมองไปตรงๆ ได้
สายตาที่เย็นยะเยือกของเต๋อกุลาตกอยู่บนตัวของหลีชิงเยียน เอ่ยปากถามแบบนิ่งๆ “มดตัวเล็กอ้อนวอนแทนอีกตัวหนึ่ง…เธอคิดว่าฉันจะรับปากงั้นเหรอ?”
หลีชิงเยียนสีหน้าเปลี่ยน เต๋อกุลา ไม่คิดจะปล่อยเธอและซูเหลยทั้งสองไปโดยสิ้นเชิง
หลีชิงเยียนถอยหลังไปทีละก้าว มือทั้งสองของเธอจับชุดนอนไว้แน่น ปิดซ่อนผิวพรรณขาวเนียนดุจหิมะส่วนใหญ่เอาไว้
และแวบเดียวความคิดของหลีชิงเยียนก็โดนเต๋อกุลามองทะลุแล้ว เต๋อกุลายกมุมปากขึ้น หัวเราะอย่างดุร้าย ในแววประกายความหมายหยอกเย้า
เขามองหลีชิงเยียนอยู่ ราวกับนายพรานมองเหยื่อที่ยื่นมือไปก็จับมาได้ทันที
“ที่หัวเซี่ยมีคำโบราณว่าไว้ ปิดประตูตีแมว เธอคิดว่าเธอยังหนีรอดจากที่นี่ไปได้อีกเหรอ?” เต๋อกุลาเอ่ยปากนิ่งๆ ที่เขาไม่ได้บอกก็คือ ถึงแม้หลีชิงเยียนออกไปจากโรงแรมได้จริง เต๋อกุลาก็สามารถจับเธอกลับมาได้อย่างง่ายดาย
หลีชิงเยียนกัดฟัน สายตาของเธอตกอยู่หน้าประตูห้องพัก แสงโชติช่วงในดวงตาช่วงประกายความไม่แน่ใจ…ทันใดนั้น เธอตัดสินใจแล้ว ดวงตาเผยความหมายหนักแน่นออกมา พยายามพุ่งไปทางหน้าประตูห้องพัก
แต่หลีชิงเยียนวิ่งไปได้ไม่ทันกี่ก้าว เต๋อกุลาถือโอกาสโบกมือ ดึงเสื้อผ้าของหลีชิงเยียนไว้ได้ ในรอยยิ้มเผยการหยอกเย้าที่ชั่วร้าย “อยากหนี จะหนีรอดเหรอ?”
เต๋อกุลาเอ่ยปากอย่างหยอกล้อ มือกรีดผ่านบนร่างกายของหลีชิงเยียน เล็บแต่ละอันที่แหลมคมราวกับอาวุธแหลมที่ราบรื่นที่สุด ชั่วพริบตาเดียวก็กรีดชุดนอนของหลีชิงเยียนให้ขาดอย่างง่ายดาย ชุดนอนที่นุ่มลื่นขาดหลุดลุ่ยร่วงลงพรึบๆ
หลีชิงเยียนร้องตกใจออกมา บนหน้าของเธอวินาทีนั้น เขียนความตื่นตะลึงไว้เต็มที่
ส่วนซูเหลยดิ้นรนไม่เลิกเช่นกัน หล่อนอยากจะปีนขึ้นมา หล่อนเงยหน้าด้วยความยากลำบาก มองทางหน้าประตูห้องพัก บางทีคนที่สามารถกอบกู้ทุกอย่างได้ มีเพียงคนนั้นแล้ว……
แต่ทว่าความคาดหวังของซูเหลยไม่สามารถทำให้ประตูห้องนั้นเปิดออกได้ ประตูห้องพักปิดสนิท ราวกับมีน้ำเย็นถังหนึ่งเทราดดับความหวังของซูเหลยลงแล้ว
……
ในเวลานี้ เฉินเป่ยอยู่ในห้องพักอีกห้องหนึ่ง ไม่รู้เลยสักนิดว่าในห้องของหลีชิงเยียนกำลังเกิดวิกฤตที่ยากจะจินตนาการขึ้น
เฉินเป่ยพิงอยู่ที่ริมหน้าต่าง มองสวนดอกไม้ของโรงแรมด้านนอกหน้าต่าง แสงไฟกลางสวนดอกไม้ ภายใต้แสงไฟนีออนหลากหลายสีสันสาดส่อง โบกพัดตามลมโชยเบาๆ เพิ่มความรู้สึกอ่อนโยนและงดงามแบบพูดไม่ถูกขึ้นมา
สวนดอกไม้ยามค่ำคืนมองไม่ชัดเลย แต่เป็นเพราะแสงไฟนีออนพวกนั้น ราวกับสายรุ้งคลุมอยู่บนทุ่งดอกไม้ ทำให้ทุ่งดอกไม้มองขึ้นมางดงามมาก โรงแรมที่ห้อมล้อมไปด้วยแสงไฟสุกสกาว ภาพที่สวยงามเช่นนี้ ต่อให้เป็นที่หัวเซี่ยยังเห็นได้ยากยิ่ง
เฉินเป่ยที่พิงริมหน้าอยู่ด้วยสีหน้าสงบ สายตาที่ล้ำลึกทอดยาวออกไปไม่มีสิ้นสุด ราวกับแผ่คลุมไปยังตึกสูงระยะไกลที่ซ่อนอยู่ในกลีบเมฆโดยตรง…ทั้งเยี่ยนจิง เหมือนกำลังอยู่ภายใต้การควบคุมของเฉินเป่ยเลย
โทรศัพท์ข้างหูของเฉินเป่ย มีเสียงของชิงเหนียนดังกังวานขึ้นมา ชัดถ้อยชัดคำ ลอยเข้าในหูของเฉินเป่ยอย่างแม่นยำไม่มีผิดพลาด “ลูกพี่ ผมไปตรวจสอบมาแล้ว งานพนันเพชรพลอยในครั้งนี้ มีผู้มีอิทธิพลต่างๆ จำนวนมากที่ทำตัวธรรมดาหลบซ่อนกันที่เยี่ยนจิง…แม้กระทั่งอิทธิพลต่างประเทศยังมีมากระดับหนึ่ง”
“ฉันรู้แล้ว” เฉินเป่ยสีหน้าไม่สะทกสะท้าน ตอบกลับนิ่งๆ
“อิทธิพลพวกนี้มีอยู่มากมายที่ซ่อนตัวลึกมาก แต่มีตัวแทนหลายพวกของอิทธิพลต่างประเทศ กำลังร่วมงานกับตระกูลหลายแห่งของเยี่ยนจิง น่าจะอยากได้รับการสนับสนุนของตระกูลพวกนั้น อิทธิพลต่างประเทศหลายแห่งในนั้น ตอนที่ผมอยู่หู้ไห่ก็เคยเจอมาเหมือนกัน” ช่วงเวลานี้เห็นได้ชัดว่าชิงเหนียนไม่ได้กินดื่มเที่ยวสนุกไปเรื่อย ข้อมูลการค้นหาละเอียดมาก เห็นได้ชัดว่าเขาให้ความสำคัญต่องานพนันเพชรพลอยครั้งนี้อย่างมาก
“ไม่รู้ว่าเป็นไอ้สารเลวที่ไหนปล่อยข่าวออกไปตั้งแต่แรก บอกว่าที่นี่เป็นแหล่งกำเนิดของต้องห้าม เหล่าพี่น้องที่ฐานทัพก็บอกผมมาแล้ว ข่าวนี้กระตุ้นแรงสั่นสะเทือนที่ต่างประเทศ ถึงแม้คนส่วนใหญ่จะหวาดกลัวกันเพราะการมีตัวตนของลูกพี่ แต่ยังคงมีคนจำนวนหนึ่ง กำลังมารวมตัวกันที่หัวเซี่ยไม่ขาดสาย” ชิงเหนียนหยุดชะงัก ทันใดนั้นพูดเตือนขึ้น “ลูกพี่ เวลาที่ลูกพี่ปลดเกษียณยิ่งยาว นับวันยิ่งมีอิทธิมากขึ้นเริ่มก่อความวุ่นวายขึ้นมา ไม่มีพี่ ทั่วทั้งต่างประเทศ อนาคตอาจจะอันตรายมากๆ……”
ในน้ำเสียงของชิงเหนียนเผยความกังวลอย่างรุนแรง ราชาหลงปกครองประเทศชาติ ต่างประเทศสั่นสะเทือน อิทธิพลนับไม่ถ้วนก้มหัวศิโรราบ ราชาหลงนำความสงบมาให้ในช่วงหนึ่ง……แต่หลังราชาหลงปลดเกษียณ ทั้งโลกก็จมสู่ความขัดแย้งใหญ่อีกครั้ง
“นี่นายอยากให้ฉันไม่สนใจไยดีผู้หญิงของตัวเองเพื่อรักษาโลกนี้ไว้งั้นเหรอ?” เฉินเป่ยถือโทรศัพท์ไว้ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย หัวเราะเยาะเย้ย
ชิงเหนียนหัวเราะกระอักกระอ่วนแล้ว แต่เฉินเป่ยตอบกลับอย่างไม่ลังเลสักนิด “ฉันเป็นคนที่เห็นแก่ตัว เพื่อโลกใบนี้ฉันทุ่มเทไปมากมายแล้ว ตอนนี้ฉันมีครอบครัว ไม่อยากไปสนใจเรื่องงี่เง่าพวกนี้อีก”
ชิงเหนียนจำใจ ได้แต่พูดกำชับ “แต่ว่าลูกพี่ ช่วงนี้ลูกพี่ต้องระวังคนคนหนึ่งเป็นพิเศษด้วยนะ…คนในตระกูลของเต๋อกุลามาถึงเยี่ยนจิงแล้ว เหมือนกำลังตรวจสอบพี่อยู่ด้วย…..”
“เต๋อกุลา?” เฉินเป่ยส่งเสียงหัวเราะ เสียงที่นิ่งเฉยเพิ่มความเย็นชามาอีก “ตอนแรกที่ฉันอยากจะรื้อปราสาทของมัน ไอ้สัตว์ประหลาดที่ไม่ยอมตายพวกนั้นไม่เห็นจะโอหัง กำเริบเสิบสานขนาดนี้กันเลย”
ชิงเหนียนในสายนั้น หลังได้ยินคำพูดของเฉินเป่ยตะลึงไป บนหน้าปรากฏยิ้มขมขื่นขึ้น เขาเข้าใจความหมายคำพูดนั้นของเฉินเป่ยอย่างชัดเจนมาก ตอนนั้นมีผู้หญิงคนหนึ่งที่มีความสัมพันธ์คลุมเครือกับเฉินเป่ยถูกคนหนึ่งในตระกูลของเต๋อกุลาลักพาตัวเข้าไปในปราสาทเต๋อกุลาแล้ว
หลังเฉินเป่ยรู้เข้าจึงพาทีมหนึ่งไปทันใด ฆ่าถึงยุโรป รังชนเผ่าเลือด—ปราสาทเต๋อกุลา นำทีมหนึ่งไป เพียงชั่วข้ามคืน มัดชนเผ่าเลือดทั้งหมดในปราสาทเต๋อกุลาและโดยรอบปราสาทขึ้นมา ก่อนจะพามาที่ด้านหน้าปราสาทเต๋อกุลา จากนั้นตะโกนอย่างอันธพาลก้าวร้าวมาก ถ้าไม่ปล่อยผู้หญิงของเขาออกมา รอให้ตนเองตัดหัวคนในตระกูลของเต๋อกุลาแต่ละคนแล้ว จะรื้อปราสาทนี้ให้เป็นเศษซากกองหนึ่งต่อหน้าท่านผู้อาวุโสเต๋อกุลาตำแหน่งสูงเหล่านั้นให้ดู
ตอนแรกตระกูลเต๋อกุลาโกรธเคืองมาก ส่งท่านผู้อาวุโสห้าคนออกมาจากปราสาทติดๆ กัน อยากจะจับเฉินเป่ยไว้ ผลสุดท้ายทั้งหมดกลับโดนเฉินเป่ยฆ่าตายเรียบ แม้กระทั่งเวทมนตร์รักษาชีพของชนเผ่าเลือดยังไม่มีโอกาสสำแดงเลย
ต่อมา ในประวัติศาสตร์ตระกูลของเต๋อกุลาครั้งนั้นถูกบันทึกว่าเป็นเรื่องหนึ่งที่อัปยศที่สุดของเต๋อกุลา
เฉินเป่ยคนนี้แบกดินระเบิดไว้ในอกหลายสิบกิโลกรัม และยังเอามาอีกหลายตันด้วย ถูกผู้อาวุโสเต๋อกุลาที่หวาดกลัวกันเหล่านั้นเรียกว่าเป็นคนบ้าที่ทำเรื่องอะไรไม่คำนึงถึงผลลัพธ์
หลังจากเป็นแบบนี้ ในฐานะตระกูลเต๋อกุลาชนเผ่าเลือดโบราณของยุโรป ตั้งแต่นั้นจึงอยู่กันอย่างเงียบๆ ถอยออกจากการต่อสู้ที่ต่างประเทศ…
เฉินเป่ยพึ่งพูดจบ ทันใดนั้นมีเสียงร้องตกใจที่ไม่ชัดเท่าไรลอยมาจากในห้องพักของชิงเยียน ทำให้สีหน้าเฉินเป่ยแข็งทื่อฉับพลัน
เฉินเป่ยวางโทรศัพท์ลง ขมวดคิ้วเล็กน้อย ทั้งตัวราวกับพายุเฮอริเคน พัดโหมไปทางห้องพักของหลีชิงเยียนที่อยู่ตรงข้าม
ในใจของเฉินเป่ยเผยลางสังหรณ์ที่ไม่ดีอย่างยิ่งขึ้นมา ความรู้สึกวิกฤตแบบนี้ ทำให้เฉินเป่ยไม่สงบเอามากๆ
เกือบจะชั่วขณะหนึ่ง เฉินเป่ยวินิจฉัยออกมาแล้ว หลีชิงเยียนเจออันตรายแล้ว
และในห้องพักของหลีชิงเยียนเวลานี้ หลีชิงเยียนที่น่าสงสารอย่างยิ่งในตอนนี้ ผมยุ่งเหยิงสยายลงมา หยดน้ำตาระยิบระยับเม็ดโตร่วงรินไม่ขาดสาย ร่างกายดิ้นรนบิดขยับสุดชีวิต
ส่วนเต๋อกุลากดหลีชิงเยียนบนเตียงนอนที่อ่อนนุ่มนั้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย ร่างกายทั้งตัวทับหลีชิงเยียนมาอย่างแรง ราวกับเขาลูกใหญ่ ทำให้เดิมทีประธานนางฟ้าหายใจไม่สะดวก เกือบจะหยุดหายใจ
ในแววตาของเต๋อกุลาแสงรุ่งโรจน์สีเลือดสั่นไหวอยู่ เขามีความคิดใหม่ขึ้นมาแล้ว…สาวงามเช่นนี้ เขาจะปล่อยไปง่ายดายได้อย่างไรกัน
เขาเตรียมจะหยอกเย้าหลีชิงเยียนที่ผิวเนียนนุ่มกลิ่นหอมหวานสักหน่อย จนกระทั่งหลีชิงเยียนบรรลุจุดสุดยอด ค่อยจบชีวิตของหลีชิงเยียน…เพราะแบบนี้ เขาถึงดื่มด่ำถึงเลือดที่โอชะที่สุด นี่ถึงเป็นของชอบที่สุดของชนเผ่าเลือด