บทที่433 หนึ่งชีวิตแลกพันชีวิต!
“ราชาหลง……” หลังได้ยินเสือขาวอยากโทรศัพท์หาราชาหลง นายทหารของกองทหารหลงมากมายที่อยู่ด้วยนั้น ในใจค่อยๆ สั่น มองหน้ากันและกัน
“ราชาหลง ช่วงนี้สบายดีรึเปล่า?” ในที่สุดก็มีนายทหารของกองทหารหลงคนหนึ่งอดกลั้นไม่ไหว ถามเสือขาวขึ้นมา
นายทหารของกองทหารหลงมากมายอยู่ในเหตุการณ์ต่างเผยสายตาแห่งความตื่นเต้น ตั้งแต่ราหลงตัดสินใจปลดเกษียณเป็นต้นมา…ฐานทัพ กองทหารหลงก็ไม่เคยเจอราชาหลงอีกเลย
ราชาหลงราวกับหายเข้ากลีบเมฆ ถึงแม้จะอยู่ที่ต่างประเทศ ก็ไม่มีการเคลื่อนไหวสักนิด
แต่นายทหารของกองทหารหลงเหล่านี้จะไม่คิดถึงราชาหลงได้อย่างไรกัน
ถ้าไม่ใช่ราชาหลง พวกเขาจะมาอยู่ที่ฐานทัพหลงยู่ได้อย่างไรกัน จะกลายมาเป็นหนึ่งในสมาชิกของกองทหารหลงได้อย่างไรกัน
พวกเขาได้ตามราชาหลงมา เวลานี้พอได้ยินข่าวของราชาหลงอีกครั้งหนึ่ง พวกเขาไม่ตื่นเต้นได้อย่างไรกัน
เสือขาวกวาดสายตามองนายทหารของกองทหารหลงที่ตื่นเต้นอย่างมากเหล่านี้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงพยักหน้าแล้ว “ราชาหลงสบายดี”
“ซู่!”
นายทหารของกองทหารหลงมากมายที่เบียดกันอยู่หน้าประตูฮึกเหิมกันขึ้น ชั่วพริบตาเดียวข่าวเรื่องนี้ก็แพร่ออกไปในหมู่นายทหารของกองทหารหลงทั้งหมด
“งั้นพวกเรา…จะเจอราชาหลงสักหน่อยได้รึเปล่า?” มีนายทหารของกองทหารหลงคนหนึ่งถามขึ้นอย่างอดไม่อยู่ นานเหลือเกินที่นายทหารของกองทหารหลงเหล่านี้ไม่ได้เจอผู้ชายในตำนานคนนั้น ย่อมคิดถึงเป็นพิเศษอยู่แล้ว
ส่วนเสือขาวส่ายหน้าทันใด ปฏิเสธนายทหารของกองทหารหลงคนนั้นอย่างหาได้น้อย พูดไปตามความจริง “ในความจริงแล้ว ฉันก็ไม่แน่ใจว่าราชาหลงอยู่ที่ไหน…แต่ฉันได้รับข่าวมาตลอดว่าราชาหลงปลอดภัยสบายดี พวกนายวางใจได้”
“ราชาหลง นี่หมายถึงสะบัดพวกเราทิ้งแล้วเหรอ?”
เสือขาวพูดมาขนาดนี้ ชั่วขณะนั้นมีนายทหารของกองทหารหลงบางส่วนเอ่ยปากอย่างหมดหวัง
“ราชาหลงนำทีมพวกเรา นำทัพกองทหารหลง ยกทัพปราบปรามที่ต่างประเทศ ไม่รู้ว่าหยุดยั้งการจลาจลและเจตนาร้ายของผู้มีอิทธิพลไปมากเท่าไร……เขาเพียงแค่เหนื่อยล้าอยู่บ้าง หลายปีมานี้ เขาทำเพื่อกองทหารหลง เพื่อต่างประเทศ เขาจ่ายไปมากเหลือเกิน หวังว่าพวกนายจะเข้าใจได้……” เสือขาวค่อยๆ เอ่ยปาก ทั้งหมดเงียบสงบกันทันใด บรรยากาศเงียบจนน่ากลัว
“พวกเราเข้าใจราชาหลง แต่ว่าพวกเราทุกคนโดนพิษกันหมด ตอนนี้คนที่พวกเราสามารถพึ่งได้มีไม่มากแล้ว” นายทหารคนหนึ่งในนั้นที่เงียบอยู่นานพูดขึ้น
“ราชาหลงจะต้องมีวิธีแน่” สายตาเสือขาวเผยความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ นำโทรศัพท์มาโทรเข้าไปหา
………
หัวเซี่ยเยี่ยนจิง ในโรงแรม
หลังจากที่เฉินเป่ยกับหลีชิงเยียนกลับมาที่ห้องของหลีชิงเยียน มองเห็นภาพเงาคนคนหนึ่งยืนอยู่ที่ริมหน้าต่างอย่างสงบ นิ่งเงียบไม่พูดจา
ดวงตาของหลีชิงเยียนหดลงเล็กน้อย ในใจดูไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
โดนเฉินเป่ยทายถูกเข้าแล้วจริงๆ ผ่านไปสิบห้านาที ซูเหลยตื่นขึ้นมาจริงด้วย
หลีชิงเยียนเงยหน้า มองเฉินเป่ยที่สีหน้าเรียบเฉยแวบหนึ่งด้วยสายตาซับซ้อน
“ซูเหลย”
หลีชิงเยียนมองภาพด้านหลังของซูเหลย ตะโกนเรียก รีบเดินเข้าไปหาอย่างรวดเร็ว
“ประธานหลี” ซูเหลยหมุนตัว มองทางหลีชิงเยียน บนหน้ายังมีความหมายรู้สึกผิดระดับหนึ่ง “ประธานหลี เป็นฉันที่ไม่ดีเอง จนถึงบ่ายแล้วพึ่งจะตื่นขึ้นมา”
“ซูเหลย เธอไม่เป็นอะไรนะ?” หลีชิงเยียนเดินมาถึงด้านหน้าของซูเหลย ในน้ำเสียงเผยความร้อนใจและห่วงใยอย่างแรง
“ฉันสบายดีค่ะ ไม่เป็นอะไรเลยสักนิด” ซูเหลยส่ายๆ หน้า แต่หลีชิงเยียนยังไม่เชื่อ เธอมองดูสีหน้าของซูเหลยอย่างละเอียด สีหน้าขอบซูเหลยดูดีมาก กำลังวังชาดูเต็มเปี่ยมมาก ท่าทางเหมือนไม่เป็นอะไรสักนิดจริงๆ
“คุณดูสิ ผมบอกแล้วว่าไม่เป็นไรหรอก”
เฉินเป่ยพิงขอบประตูอย่างเกียจคร้าน สีหน้าเรียบนิ่ง
ซูเหลยมองเฉินเป่ยแวบหนึ่ง แววตามีความซับซ้อนก่อหวอดขึ้น……
“ซูเหลย เธอเป็นอะไรแล้ว ทำไมถึงนอนหลับนานขนาดนั้น ฉันคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอแล้วซะอีก” ในน้ำเสียงของหลีชิงเยียนมีความเป็นห่วงและตำหนิเพิ่มขึ้น
ซูเหลยหัวเราะอย่างรู้สึกผิด พลางบอกว่า “ประธานหลีคะ เมื่อวานฉันเหนื่อยเกินไป ดังนั้นพอหลับเลยนานขนาดนี้ ทำให้คุณเป็นห่วงแย่เลย เป็นฉันที่ไม่ดีเองค่ะ”
หลีชิงเยียนส่ายหน้าแล้ว จากนั้นหมุนตัวไป มองทางเฉินเป่ย แล้วถามว่า “ตอนนี้นายจะบอกฉันได้รึยังว่าทำไมนายถึงเดาแม่นขนาดนี้กัน?”
ซูเหลยตะลึงนิดหน่อย มองทางเฉินเป่ย เห็นเพียงรอยยิ้มที่ลึกลับของเฉินเป่ย หัวเราะฮาๆ “ชิงเยียน ไม่ใช่รู้ไม่ได้ ครั้งก่อนที่พนันร้อยล้านไว้ คุณยังไม่ได้ทำตามสัญญาเลย…ถ้าไม่อย่างนั้นวันนี้ตอนกลางคืนให้ผมนอนที่ห้องคุณ…ผมจะบอกคุณให้ดีไหม?”
เฉินเป่ยพึ่งพูดจบ หลีชิงเยียนถลึงดวงตาอย่างรุนแรงทีหนึ่ง พูดต่อว่าไปโดยไม่ลังเลสักนิด “นายฝันไปเถอะ ชาตินี้ไม่มีทางเป็นไปได้เลย”
หลีชิงเยียนจะรับปากเฉินเป่ยได้อย่างไรกัน เข้ามาในห้องหญิงสาวของตนเอง นั่นคือสถานที่ลับสุดยอดของผู้หญิง เธอจะยอมปล่อยให้ผู้ชายน่าเกลียดอย่างเฉินเป่ยคนนี้เข้ามานอนบนเตียงของตนเองได้อย่างไร?
เรื่องแบบนี้ แค่คิดยังไม่ต้องคิดเลย
เฉินเป่ยส่ายหน้าด้วยความเสียใจ ถอนหายใจทีหนึ่ง และซูเหลยที่อยู่ด้านข้างก็หมดคำจะพูดอยู่บ้าง
ซูเหลยย่อมชัดเจนดีถึงสาเหตุภายในนี้ นี่คือยาที่เฉินเป่ยให้ซูเหลยมา เขาย่อมรู้ดีเป็นธรรมดาว่าหลังจากที่ซูเหลยได้รับยานี้ไปแล้ว จะตื่นขึ้นมาได้เมื่อไร
ตอนที่หลีชิงเยียนและเฉินเป่ยถลึงตาใส่อีกฝ่ายอยู่ ทันใดนั้น เสียงกริ่งโทรศัพท์ดังขึ้นมา
เฉินเป่ยล้วงมือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง มองหลีชิงเยียนและซูเหลยแวบหนึ่ง มุมปากฉีกรอยยิ้มอันธพาลขึ้น บอกว่า “ผมไปรับโทรศัพท์นะ”
หลีชิงเยียนทำเสียงฮึดฮัด ส่วนเฉินเป่ยหมุนตัว ตอนที่เดินไปทางหน้าประตู สายตาถึงเผยความลึกล้ำที่ไม่สอดคล้องกับบุคลิกของเขาออกมา
หลังเดินมาถึงหน้าประตู เฉินเป่ยตรวจมองดูรอบทิศทาง พอเห็นว่าไม่มีใคร ถึงกดปุ่มเข้ารหัสรับสาย
ตอนที่หน้าจอมือถือพึ่งปรากฏหมายเลขโทรศัพท์ที่มาจากต่างประเทศ เฉินเป่ยก็จำสถานะของเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์นี้ได้
ตอนที่เฉินเป่ยมองเห็นหมายเลขโทรศัพท์นี้ ชั่วขณะนั้นสีหน้าหนักหน่วงขึ้น ปกติแล้วถ้าไม่มีธุระสำคัญเร่งด่วนอะไร เสือขาวจะไม่โทรศัพท์มาหาตนเองโดยตรงอย่างเด็ดขาด
แต่ตอนนี้เห็นได้ชัดว่าเกิดเรื่องที่ยุโรปทางนั้นแล้ว
หลังจากรับสายโทรศัพท์ เฉินเป่ยเอ่ยปากถามโดยตรง “เกิดเรื่องอะไรแล้ว?”
“ลูกพี่ ล้มเหลวแล้ว” ในสายนั้นน้ำเสียงเสือขาวเผยความหนักอึ้ง
เฉินเป่ยยักคิ้ว “มีศัตรูหนีรอดไปได้เหรอ?”
“ไม่มีศัตรูหนีรอดไปได้ แต่ยังไงผมก็นึกไม่ถึงว่าเผ่าเลือดยังมีไพ่ตายใบหนึ่งรอพวกเราอยู่……” เสือขาวเล่าต้นสายปลายเหตุออกมา ไม่มีพลาดรายละเอียดแม้สักนิด บอกเฉินเป่ยไปทั้งหมดแล้ว
“พิษเลือด……” เฉินเป่ยขมวดคิ้วแน่น “คาดไม่ถึงเผ่าเลือดยังมีคาถาที่ฉันไม่รู้ด้วย!”
“มีเท่าไรที่รับพิษนี้เข้าไป?” เฉินเป่ยถามเสียงทุ้ม
“เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ ผมก็โดนไปด้วย พิษนี้แปลกประหลาดมาก วิธีแก้พิษใดๆ ก็ไม่มีประโยชน์ทั้งนั้น” ในเสียงของเสือขาวเผยความเหนื่อยล้า “ลูกพี่ ครั้งนี้เป็นผมประมาทเอง”
เก้าสิบเปอร์เซ็นต์
ในใจเฉินเป่ยสั่นอย่างแรง เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ พูดได้ว่าคือนายทหารของกองทหารหลงส่วนใหญ่ ถ้าไม่มีวิธีที่จะถอนพิษ พิษต้องเข้าสู่ไขข้อเป็นแน่
ถ้าไม่มีทางแก้ไขพิษนี้ เป็นการโจมตีกองทหารหลงชุดนี้ด้วยพลังมหาศาลจนพังพินาศครั้งหนึ่ง
ในใจเฉินเป่ยสั่นสะเทือนอย่างแรง เขาเองแปลกใจอยู่บ้าง เขาคิดไม่ถึงว่าไพ่ตายที่เผ่าเลือดเหลือไว้ใบนี้ จะน่าสยดสยองเช่นนี้
เฉินเป่ยสายตาเผยความล้ำลึก เขาไม่ทันคิดอะไรมาก บอกว่า “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย ฉันนึกไม่ถึงเหมือนกันว่าเผ่าเลือดยังมีไพ่ตายเตรียมไว้อีก…บอกเหล่าพวกพ้อง ฉันจะพยายามหาวิธีแก้พิษให้ไว ให้พวกเขายืนหยัดอีกหน่อย……ฉันต้องการให้พวกเขาทุกคนมีชีวิตกลับไปฐานทัพทั้งหมด ห้ามตกหล่นสักคนเดียว!”
“ครับ!”
หลังวางสายโทรศัพท์ บนหน้าของเฉินเป่ยเพิ่มสีหน้าที่หนักหน่วงขึ้น และเวลานี้เอง หลีชิงเยียนและซูเหลยเดินออกจากห้องมา
หลีชิงเยียนมองเห็นเฉินเป่ยยืนอยู่หน้าประตู สีหน้าเปลี่ยนพลิกไปไม่หยุด เอ่ยปากถามอย่างสงสัย “นายยืนอยู่หน้าประตูทำอะไร?”
เฉินเป่ยตอบสนองเข้ามา ส่ายๆ หน้า ความมืดหม่นล้ำลึกบนหน้านั้นหายไปชั่วแวบเดียว มองทางหลีชิงเยียน หัวเราะแบบกระอักกระอ่วน “ไม่มีอะไร”
“ไปเถอะ นี่บ่ายแล้ว ซูเหลยยังไม่ได้กินอะไรเลย ไปกินอะไรด้านล่างด้วยกันหน่อย” หลีชิงเยียนเอ่ยปากเสียงน่าดึงดูด เสียงไพเราะเสนาะหู มีแรงดึงดูดและความเซ็กซี่ที่พูดไม่ถูก ราวกับใบหน้างดงามและบุคลิกที่เย้ายวนของเธอ
“ได้”
เฉินเป่ยพยักหน้าแบบว่านอนสอนง่ายมาก หลีชิงเยียนเดินไปทางลิฟต์ เธอไม่ได้คิดอะไรมากเลยสักนิดว่าทำไมเมื่อสักครู่สีหน้าของเฉินเป่ยถึงดูแย่ขนาดนั้น เธอไม่รู้เหมือนกันว่าเวลานี้เฉินเป่ยกำลังเผชิญกับแรงกดดันและวิกฤติมากแค่ไหน
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเพราะเผ่าเลือดคนหนึ่งกำเริบรุกรานอยากจะรังแกเธอ……
………
“ราชาหลงว่ายังไง?” พอเสือขาววางสายโทรศัพท์ นายทหารของกองทหารหลงที่อยู่ด้านข้างเหล่านั้นก็ถามขึ้นแบบอดใจไม่ไหว
เสือขาวกวาดตามองนายทหารเหล่านี้แวบหนึ่ง พูดว่า “ราชาหลงให้ฉันบอกทุกคนว่าเขาจะพยายามหาวิธีแก้พิษให้เร็ว ให้ทุกคนยืนหยัดอีกหน่อย เขาอยากให้พวกนายทุกคนมีชีวิตกลับไปที่ฐานทัพ ห้ามตกหล่นสักคนเดียว”
เสือขาวพูดเรื่องนี้ออกมา ทั้งหมดจมสู่ความเงียบงันอย่างฉับพลัน นายทหารของกองทหารหลงมากมายค่อยๆ เงยหน้า สีหน้าฮึกเหิมขึ้นมาก
“ราชาหลงพูดแบบนี้จริงเหรอ?”
“ราชาหลงจะต้องหายาถอนพิษเพื่อพวกเราได้แน่!”
“ดูแล้ว ราชาหลงไม่ได้ลืมพวกเรา ไม่ได้ลืมกองทหารหลง!”
เสือขาวมองนายทหารของกองทหารหลงแต่ละนายที่ฮึกเหิมอย่างมากอยู่ พยักหน้าแล้ว “เชื่อใจราชาหลง พวกเราจงยืนหยัดต่อไป จะต้องรอดแน่!”
……
ภายในร้านอาหาร ซูเหลยสั่งของหวานชุดหนึ่ง ทานเค้กก้อนหนึ่งคำเล็กๆ หลีชิงเยียนที่อยู่ด้านข้างกำลังดูมือถือเกี่ยวกับข่าวสารช่วงนี้ของเยี่ยนจิง พลางดื่มกาแฟ
สำหรับเฉินเป่ยก็ยุ่งอย่างมากๆ จับมือถือไว้ ขมวดคิ้วแน่นตลอดเวลา เหมือนกำลังจัดการธุระอะไรอยู่
หลีชิงเยียนแอบมองดูเฉินเป่ยหลายครั้งไม่ขาดสาย ในที่สุดหลีชิงเยียนทนไม่ไหวเอ่ยปากถาม “เกิดเรื่องอะไรขึ้นแล้วเหรอ?”
เฉินเป่ยเงยหน้า มองทางหลีชิงเยียน ตะลึงเล็กน้อย จากนั้นไม่นานจึงตอบสนองเข้ามา หัวเราะฮาๆ อธิบายว่า “เอ้อ ไม่มีอะไร แค่เรื่องไม่เป็นเรื่องบางอย่าง”
ในเวลานี้เอง มือถือของเฉินเป่ยดังขึ้นอย่างกะทันหัน
เฉินเป่ยกวาดตามองแวบหนึ่ง ชั่วขณะนั้นดวงตามีความหมายลึกล้ำแวบผ่าน เขาลุกขึ้นยืนบอกว่า “ผมไปรับโทรศัพท์นะ”
หลีชิงเยียนเงยหน้ามองแวบหนึ่ง พูดด้วยเสียงน่าดึงดูด “รับอยู่ที่นี่แหละ”
เฉินเป่ยตะลึง ช้อนในมือของซูเหลยชะงักนิดหน่อย
สายตาของหลีชิงเยียนจ้องเฉินเป่ยไม่ขยับ อยู่ด้วยกันกับเฉินเป่ยมานานขนาดนี้ เธอรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าเฉินเป่ยไม่ปกติมากๆ
การแสดงของเฉินเป่ยถึงจะยอดเยี่ยมแค่ไหน แต่เกี่ยวพันถึงกองทหารหลงเข้า สุดท้ายเขายังเผยพิรุธบางอย่างออกมาแล้ว ถูกท่านประธานเทพธิดาที่ระวังรอบคอบจับได้ด้วยความรู้สึกเฉียบไว
“ทำไม มีปัญหาเหรอ?” หลีชิงเยียนยักคิ้วขึ้น ถามด้วยเสียงน่าดึงดูด ในน้ำเสียงมีความหนาวเหน็บที่บีบคั้นเพิ่มเข้ามา
“ไม่มีแน่นอน” ไม่นานเฉินเป่ยสีหน้านิ่งสงบลงมา แต่ในใจกลับสั่นรุนแรง จิตใจร้อนรุ่มกระสับกระส่ายอยู่บ้าง
เพราะในสายโทรศัพท์ไม่ใช่ใครอื่น คือเทพธิดาแห่งภูมิปัญญาที่ชื่อเสียงโด่งดังนั่นเอง