เราจะทยอยไล่แก้ให้ยามว่างอยากให้แก้เรื่องไหนคอมเมนต์ไว้นะคะ
แต่บางเรื่องเราก็ไม่มีไฟล์แล้วเหมือนกัน
บทที่ 506 พูดไม่ได้ชั่วชีวิต
“เขาสบายดี” เมื่อพูดถึงหลีหยาง หลีชิงเยียนอดคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่หลีหงและบ้านหลีเคยทำกับหลีหยาง น้ำเสียงแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาขึ้นมา
หลีหงพยักหน้า จากความสามารถในการรับรู้ของเขา พอสังเกตได้ว่าน้ำเสียงของหลีชิงเยียนค่อนข้างห่างเหิน ทำให้เขารู้สึกหดหู่ แต่เขาไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้
ในปีนั้นหลีหงจำใจต้องไล่หลีหยางออกไป นี่เป็นสิ่งที่บ้านหลีเห็นพ้องต้องกัน ขอแค่สละหลีหยางออกไป เพื่อที่จะทำให้ทุกคนสบายใจและทำให้บ้านหลีสงบและไม่ให้ตระกูลใหญ่ต้องแตกแยก
“เจ้าบ้านพูดกับฉันว่าการที่บ้านหลีมาถึงทุกวันนี้ได้ ไม่ว่าจะด้านครอบครัวหรือด้านธุรกิจ แตกกิ่งก้านสาขาไปมากมาย คนบ้านหลีมีอยู่มากมายถึงขนาดที่ไม่สามารถเขียนเอาไว้ในรายชื่อของตระกูลได้ แต่ทว่าหลายปีมานี้เจ้าบ้านค่อยๆ ขาดการติดต่อกับคนพวกนั้น ก็เลยคิดที่จะจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ขึ้น เพื่อที่จะได้พูดคุยกับคนในตระกูล และสานสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน” หลีเช่าเทียนพูดเนิบๆ
หลีชิงเยียนมองหลีเช่าเทียน แววตาของเธอเย็นชา เธอรู้ดีกว่าใครว่าทำไมหลีเช่าเทียนถึงจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ขึ้นมา
เห็นได้ชัดว่าการที่หลีเช่าเทียนจัดงานเลี้ยงครั้งนี้ขึ้นมาเพราะต้องการมุ่งเป้ามาหาเธอ แต่ทว่าตอนนี้หลีเช่าเทียนกลับพูดเหตุผลที่ช่างสูงส่งออกมา
“แม่” ขณะนั้นเอง มีร่างหนึ่งเข้ามา และเดินมาหยุดข้างคุณน้า จากนั้นจึงพูดเสียงดังว่า “ทำไมแม่ถึงมาอยู่ที่นี่ ผมหาแม่ตั้งนาน”
คุณน้าหันหน้าไปเห็นชายคนนั้น เธออึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงพูดว่า “เสี่ยวเฟิง มาได้ไง”
“แม่ ผมไม่มีเงินแล้ว” ชายที่สวมชุดกีฬาอาร์มานี่แบรนด์หรูเหลือบมองแขกที่นั่งอยู่ที่โต๊ะ จากนั้นจึงยิ้มแล้วพูดว่า “โอ๊ะ อยู่นี่กันหมดเลยเหรอ”
“เจ้าบ้านอยู่ที่นี่ รีบทำความเคารพสิ” คุณน้าพูดขึ้น
หลีเฟิงปรายตามองหลีหง แววตาดูไม่พอใจเป็นอย่างมาก แต่เขาก็ยังพยักหน้าและกล่าวทักทาย “สวัสดีครับเจ้าบ้าน”
หลีหงมองหลีเฟิงตั้งแต่หัวจรดเท้า เมื่อเห็นท่าทางไม่จริงจังของหลีเฟิง จึงแสดงแววตาไม่พอใจออกมา จากนั้นจึงพยักหน้า “ในเมื่อมาแล้วก็นั่งก่อนสิ”
“ไม่ล่ะ พวกพี่ๆ คอยผมอยู่ที่ผับ” เมื่อหลีเฟิงได้เงินก็ทำท่าจะไปจากที่นี่
คุณน้ารีบรั้งหลีเฟิงเอาไว้ จากนั้นจึงพูดอย่างหงุดหงิดว่า “คำพูดของเจ้าบ้านถือว่าใหญ่ที่สุด นายจะไม่ฟังคำพูดของเจ้าบ้านเหรอ รีบนั่งลงเดี๋ยวนี้”
คุณน้าทำท่าโกรธ หลีเฟิงจึงจำเป็นต้องนั่งลงอย่างไม่สบอารมณ์
“ทำให้ท่านเจ้าบ้านไม่พอใจแล้ว ลูกชายของฉันดื้อรั้นตั้งแต่เด็ก” ถึงแม้น้าของหลีเช่าเทียนจะอวดเก่งต่อหน้าของหลีชิงเยียนกับเฉินเป่ย แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าของหลีหง เธอกลับไม่กล้าอวดเก่งแม้แต่น้อย เชื่องยิ่งกว่าสุนัขเสียอีก
หลีเฟิงนั่งข้างน้า แล้วหยิบตะเกียบขึ้นมา แต่เมื่อกำลังจะขยับตะเกียบก็โดนน้าดุว่า “หยุดนะ เจ้าบ้านยังไม่ได้ทานเลย ใครให้นายจับตะเกียบ!”
“แม่ ก็แค่กินข้าวเอง จะมีพิธีรีตองอะไรนักหนา” สีหน้าของหลีเฟิงดูไม่สนใจอะไร คนที่อยู่อีกด้านอย่างหลีเช่าเทียนก็ขมวดคิ้วเช่นกัน หลีเฟิงอวดเก่งเกินไปแล้ว นี่ทำให้หลีเช่าเทียนทนดูต่อไปไม่ได้อีก
“เสียนซู บ้านหลีเป็นที่รู้จักในเยี่ยนจิง ทุกคนเห็นพฤติกรรมของคนในบ้านหลี ไม่ว่ายังไงก็ต้องมีมารยาท” หลีหงพูดเนิบๆ จากนั้นจึงหยิบตะเกียบขึ้นมา “กินข้าวเถอะ”
เมื่อหลีหงเอ่ยปากบอกให้ทานข้าว หลีชิงเยียนจึงโล่งอก เธอแอบดึงแขนเสื้อของเฉินเป่ยและส่งสายตาบอกให้เขาทานข้าว โดยไม่ต้องพูดอะไร
เมื่อเริ่มทานอาหารได้ไม่นาน หลีเฟิงจึงเห็นว่าหลีชิงเยียนก็อยู่ที่นี่ ทันใดนั้นสายตาของเขาก็โดนดวงหน้างามสะกดเอาไว้
จู่ๆ หลีเฟิงก็ลุกขึ้นคีบเนื้อและยื่นไปวางไว้ในถ้วยของหลีชิงเยียนพร้อมกับยิ้มเจ้าเล่ห์
ดวงตาคู่สวยของหลีชิงเยียนนิ่งลง เธอเงยหน้ามองหลีเฟิง ส่วนหลีเฟิงก็มองเธอแล้วพูดว่า “คนสวย การที่คุณมานั่งร่วมโต๊ะได้ แสดงว่าคุณเป็นญาติสายตรงกับตระกูลหลี ทำไมแต่ก่อนไม่เคยเห็นคุณที่บ้านหลีเลยล่ะ”
หลีชิงเยียนกวาดตามองหลีเฟิงอย่างเนิบๆ โดยไม่สนใจหลีเฟิงแม้แต่น้อย เธอก้มหน้าทานต่อไป น้าหลีเสียนซูที่ข้างๆ อึ้งไป เธอรีบดึงหลีเฟิงให้นั่งลง เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องวุ่นวาย
แต่ทว่าเสน่ห์ของหลีชิงเยียนได้รุมล้อมหลีเฟิงเอาไว้หมดแล้ว หลีเฟิงเอาแต่จ้องเธอ โดยไม่สนใจคำสั่งของคุณน้า หลีเฟิงเอาแต่จ้องใบหน้างามอยู่อย่างนั้น รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ผุดขึ้นตรงมุมปากตลอดเวลา
“คนสวย พ่อแม่ของคุณคือใครเหรอ เรามารู้จักกันดีกว่า ขอช่องทางติดต่อก็ได้” หลีเฟิงหัวเราะหึหึ
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วน มุมปากของหลีเช่าเทียนกระตุก เขาคาดไม่ถึงจริงๆ ว่าไอ้คุณชายสำมะเลเทเมาอย่างหลีเฟิงจะมาที่นี่ แถมยังกล้าพูดตีสนิทหลีชิงเยียนต่อหน้าคนเยอะขนาดนี้อีก
ไม่ใช่สิ มันไม่ใช่พูดตีสนิทแล้ว นี่มันเรียกคุกคามต่างหาก หลีเฟิงเป็นลูกชายของคุณน้า โดนคุณน้าตามใจจนเสียคน อยากได้อะไรก็ต้องได้ เป็นคนที่ไม่เอาไหน เมื่อได้เห็นของสวยๆ งามๆ อย่างหลีชิงเยียน จึงแสดงอาการกระเหี้ยนกระหือรืออย่างอดไม่ได้
แถมการที่คุณน้าโอ๋ขนาดนี้ ทำให้หลีเฟิงไม่เห็นใครอยู่ในสายตา ปกติหลีเฟิงเอาแต่ขลุกอยู่ในไนท์คลับ น้อยมากที่จะเจอหน้าหลีเช่าเทียน บางครั้งหลีเฟิงก็ทำท่าเหิมเกริมต่อหน้าหลีเช่าเทียนอย่างไม่สนใจอะไรแม้แต่น้อย
ไม่ต้องพูดถึงหัวเซี่ยที่ทำงานหนักอย่างหลีหง หลีเฟิงเจอเขาแค่ไม่กี่ครั้ง เพราะฉะนั้นคนที่ทำตัวตามสบายเมื่ออยู่ต่อหน้าหลีหงบนโต๊ะอาหารคงจะมีเพียงเฉินเป่ยกับหลีเฟิง
ดังนั้นหลีเช่าเทียนจึงยากที่จะยอมรับหลีเฟิง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงหลีหง
เมื่อเห็นว่าหลีเฟิงอวดดีขนาดที่ตีสนิทหลีชิงเยียนโดยไม่กลัวอะไรเลยแม้แต่น้อย หลีหงนั่งอยู่ที่เดิม สีหน้าเคร่งขรึมเหมือนนั่งอยู่บนกองไฟ
คำพูดที่หลีเฟิงพูดออกมาแต่ละคำ เหมือนกำลังตบหน้าหลีหง
คุณน้ามองสีหน้าของหลีหงอย่างหวาดระแวง เธอดึงแขนเสื้อของหลีเฟิงไม่หยุดเพื่อส่งสัญญาณให้เขารู้ แต่ใครจะไปรู้ว่าหลีเฟิงโง่จนไม่รู้สิ่งที่คุณน้าต้องการจะบอก สายตาของเขาเอาแต่จ้องไปที่หลีชิงเยียน สุดท้ายจึงพูดออกมาว่า
“คนสวย ขอแทรกที่นั่งข้างคุณได้ไหม ผมนั่งห่างขนาดนี้คีบอาหารให้คุณไม่ค่อยสะดวก” หลีเฟิงพูดแล้วยิ้มออกมา โดยไม่สนใจบรรยากาศคุกรุ่นและสีหน้าของทุกคนบนโต๊ะอาหาร
“ไม่ต้องหรอกค่ะ นี่คุณ ฉันมีสามีแล้ว ขอบคุณสำหรับความหวังดี” สุดท้ายหลีชิงเยียนก็ทนให้หลีเฟิงคุกคามต่อไปไม่ไหว เธอวางตะเกียบลงและพูดออกมาอย่างเหลืออด
“มีสามีก็ไม่เห็นเป็นอะไรนิ เราไม่เห็นต้องใช้ใจเลย ใช้ตัวก็พอ” หลีเฟิงพูดอย่างคลุมเครือ
ขณะที่หลีชิงเยียนกับหลีเฟิงกำลังคุยกัน คนที่อยู่ข้างหลีชิงเยียนอย่างเฉินเป่ย กำลังใช้มือกอบกุ้งล็อบสเตอร์ออสเตรเลียกินอย่างบ้าคลั่งโดยไม่รักษาภาพพจน์เลย ปากของเขาเต็มไปด้วยน้ำมันและชีส จู่ๆ เฉินเป่ยก็เงยหน้าขึ้นแล้วเหลือบมองหลีเฟิง จากนั้นจึงด่าด้วยความหงุดหงิด “ไอ้นี่ น่ารำคาญชะมัด เขาก็บอกแล้วว่าเป็นผู้หญิงของฉัน ยังจะทำเซ้าซี้เหมือนแมลงวันอยู่ได้ จะให้ฉันเอาไม้ตีแมลงวันมาหรือจะเอายาฆ่าแมลงมาดีล่ะ”
เฉินเป่ยพูดอย่างมั่นอกมั่นใจจนทำให้คนที่นั่งอยู่ข้างๆ อย่างหลีชิงเยียนอึ้งไป ดวงตาคู่สวยเบิกกว้าง สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความตกใจอย่างคาดไม่ถึง
คำพูดของเฉินเป่ยทำให้เธอรู้สึกไม่พอใจ เธอไปพูดตอนไหนว่าตัวเองเป็นผู้หญิงของไอ้เลวนี่ นี่มันพูดโกหกหน้าตายชัดๆ!
“แกเป็นใครมานั่งข้างเธอ ทำไมฉันไม่เคยเห็นแกมาก่อน” หลีเฟิงอึ้งไปและมองเฉินเป่ยตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นจึงถามขึ้น
“เธอคือผู้หญิงของฉัน แกถามว่าฉันคือใครงั้นเหรอ” เฉินเป่ยส่งเสียงในลำคอ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นอย่างยโส เหมือนกับว่าตัวเองแต่งงานกับหลีชิงเยียนอย่างไรอย่างนั้น ราวกับนี่คือการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดและความเป็นภาคภูมิใจของเขาทั้งชีวิต
“แกน่ะเหรอ” หลีเฟิงมองเฉินเป่ยอย่างประเมิน จากนั้นมองหลีชิงเยียนด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ แน่นอนว่าเขาไม่อยากจะเชื่อว่าไอ้บ้านนอกอย่างเฉินเป่ยจะคู่ควรกับสาวงามอย่างหลีชิงเยียน
“เธอคือหลีชิงเยียน อย่าไปสนใจเธอเลย ส่วนคนข้างๆ นั่นเป็นลูกเขยที่แต่งเข้ามาในบ้าน ก่อนหน้านี้เช่าเทียนอยากจะจัดการพวกเขา” จู่ๆ คุณน้าก็ดึงแขนเสื้อของหลีเฟิงแล้วพูดเสียงเบา
“หลีชิงเยียน?” ตัวของหลีเฟิงสั่น ดวงตาที่มองหลีชิงเยียนเป็นประกาย เขาไม่เพียงแต่จะไม่ยอมลดละ แววตากลับมีเลศนัยยิ่งขึ้นไปอีก “เธอคือหลีชิงเยียนงั้นเหรอ”
หลีชิงเยียนไม่อยากจะสนใจหลีเฟิง เธอก้มหน้าจับมีดและส้อมเพื่อหั่นสเต๊ก หญิงสาวพยักหน้าแล้วพูดว่า “ฉันเอง”
“คิดไม่ถึงว่าเธอคือเทพธิดาของวงการธุรกิจเมืองหู้ไห่ เมื่อปีก่อนตอนที่ผมไปเมืองหู้ไห่ก็อยากไปเจอคุณ คิดมาถึงว่าคุณจะมาทานข้าวที่นี่ด้วย” หลีเฟิงหัวเราะชอบใจ เขามองหลีชิงเยียนแล้วยิ้มออกมาอย่างมีเลศนัย “ในเมื่อคุณคือหลีชิงเยียนก็สะดวกแล้วสิ ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าคุณเป็นลูกหลานของคนใหญ่คนโตในบ้านหลี ถ้าเป็นเช่นนั้นมันก็ลำบากไม่น้อย คิดไม่ถึงว่าคุณคือหลีชิงเยียน…”
หลีเฟิงยิ้มบางๆ “ดูท่าว่าคืนนี้เราจะได้รู้จักกันลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลากับอะไรที่ไม่จำเป็น”
“หลีเฟิง เจ้าบ้านอยู่ที่นี่นะ พูดอะไรก็ระวังหน่อย” ขณะนั้นหลีเช่าเทียนก็พูดออกมา
หลีเฟิงหันหน้าไปมองหลีหงแล้วยิ้มออกมา จากนั้นจึงมองหลีเช่าเทียนแล้วพูดว่า “คุณคือเจ้าบ้าน คุณน่าจะรู้ดีว่าตอนนั้นหลีหยางพ่อของหลีชิงเยียนสร้างปัญหาให้บ้านหลีมากแค่ไหน นี่ผมกำลังช่วยบ้านหลีกำจัดปัญหานะ อีกอย่างก็แค่ผู้หญิงคนเดียว คุณรองเจ้าบ้านคงจะไม่ได้มาแย่งกับผมหรอกใช่ไหม”
หลีเช่าเทียนมองหลีหง ขณะนั้นเองหลีหงไม่รู้จะวางถ้วยกับตะเกียบลงอย่างไร เขาหลับตาลง ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ไม่รอให้หลีเช่าเทียนเอ่ยปาก หลีเฟิงมองไปยังหลีชิงเยียน จากนั้นก็พูดอย่างข่มเหงต่อ “คืนนี้ให้เธอมาปรนนิบัติฉันที่ห้อง ฉันเอียนผู้หญิงคนก่อนแล้ว อีกอย่างเธอก็โดนขับไล่ออกไปแล้ว ถือว่าเป็นบทลงโทษเธอและพ่อของเธอละกัน”
หลีเฟิงเอาแต่มองหลีชิงเยียน เขามองอย่างดูถูก ราวกับว่าเธอไม่ได้มีความสำคัญอะไรในสายตาของหลีเฟิง แต่เป็นแค่ของเล่นที่ให้ความรู้สึกสดใหม่เท่านั้น
ขณะนั้นเอง จู่ๆ เฉินเป่ยก็ยกมือทุบโต๊ะ
“ปัง!”
โต๊ะอาหารสั่นไปทั้งโต๊ะ ถ้วยจานที่วางไว้บนโต๊ะเด้งขึ้นมา และแก้วกระเบื้องที่เกือบจะโดนเฉินเป่ยบีบจนแตก ก็แตกและกระจายเป็นเสี่ยงๆ