บทที่524 เสียใจ!
กลางดึก รถยนต์สองคันแล่นเข้าบริเวณของกองทหารการป้องกันสงคราม โล่งไปหมดไร้การขว้างกั้นตลอดทาง ภายนอกรถยนต์ยังเปื้อนรอยเลือดจำนวนหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าเป็นที่สยดสยอง ทำให้ในใจคนสั่นไหว
“เอี๊ยด!”
ทันใดนั้นรถยนต์คันหนึ่งเบรกตัวกะทันหัน ล้อรถกับพื้นผิวเสียดสีกันอย่างรวดเร็วจนเกิดเสียงเสียดแก้วหูออกมา จากนั้นหยุดลงตรงหน้าอาคารใหญ่แห่งหนึ่ง
บนรถ ทหารชั้นยอดแต่ละคนพันผ้าพันแผลสีขาว ประคองกันและกันเข้าสู่อาคาร พวกเขาในเวลานี้ไม่เหมือนกับตอนพึ่งออกไปจากกองทหารการป้องกันเยี่ยนจิงซึ่งเห็นได้ชัดว่าสง่าผ่าเผยและทรงพลัง ทว่ากลับดูเหมือนหนีหัวซุกหัวซุนกลับมา
ถึงแม้จะเป็นช่วงกลางดึก แต่ในอาคารแห่งนี้ของกองทหารการป้องกันสงครามเยี่ยนจิงยังคงมีแสงไฟสว่างจ้า นายพลที่แต่งเครื่องแบบลายพรางแต่ละคนท่าทางรีบร้อนสับสนอยู่ในอาคาร ส่วนหลังจากที่ทหารชั้นยอดเหล่านี้เดินเข้าอาคารไป ไม่นานก็ดึงดูดความสนใจมากมายขึ้นมา นายทหารแต่ละคนหยุดฝีเท้าลง ต่างมองเข้ามากันแล้ว
ผ่านไปไม่นาน นายทหารที่สวมเครื่องแบบทหารหลายคนรีบร้อนเข็นเตียงฉุกเฉินออกมา พยุงทหารชั้นยอดเหล่านี้ขึ้นเตียงฉุกเฉิน เข็นเข้าในลิฟต์ ส่งไปยังส่วนในห้องทดลอง…
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง นายพลอาวุโสที่นอนอยู่ในห้องทำงานถูกเสียงเคาะประตูที่ถี่ปลุกให้ตื่น ในใจนายพลอาวุโสสั่นเล็กน้อย ภายในใจผุดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนิดๆ รีบลุกขึ้นจากเตียงผ้าใบทันที สวมเสื้อคลุมไว้ เปิดประตูห้องทำงานออก มองเห็นนายพลคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าร้อนรน
“มีเรื่องอะไร?” นายพลอาวุโสเอ่ยปากถามนิ่งๆ จากใบหน้าเขา ดูไม่ออกว่ามีสีหน้างัวเงียแม้แต่น้อย
“พวกเขา…กลับมาแล้วครับ” นายพลคนนั้นสีหน้าดูแย่มาก ก้าวเข้ามาก้าวหนึ่ง กดเสียงต่ำพูดออกมา
“บาดเจ็บหรือล้มตาย” นายพลอาวุโสสีหน้าล้ำลึกไม่เปลี่ยน ทำให้คนยากจะคาดเดาความคิดในใจของเขา
“แทบจะบาดเจ็บหนักกันหมด ผู้ที่แข็งแกร่งสุดที่นำทีมเอ็นแขนขาโดนตัด ต่อให้เป็นห้องทดลองก็ไม่มีทางช่วยอะไรได้ เกรงว่าพวกเขาคงต้องพิการแล้ว……” นายพลคนนั้นพูดเสียงต่ำ
“เป้าหมายล่ะ? หรือว่าพวกเขาไม่ได้รายงานสถานการณ์ของเป้าหมายเหรอ?” นายพลอาวุโสค่อยๆ ถามขึ้น
“นี่…ว่าตามที่พวกเขาบอกมา เป้าหมายเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด…” หลังจากพูดถึงเป้าหมาย สีหน้าของนายพลคนนั้นยิ่งดูไม่ดี
สำหรับกองทหารการป้องกันสงครามเยี่ยนจิงนี่เหมือนเป็นความอัปยศอดสูอันใหญ่หลวง พวกเขาทหารชั้นยอดเหล่านี้ เดิมเป็นบุคคลเข้มแข็งยอดเยี่ยมที่สุด คาดไม่ถึงไม่มีทางทำลายเป้าหมายได้สักนิด
นายพลคนนั้นไม่มีทางยอมรับความจริงเรื่องนี้ได้เป็นธรรมดา สีหน้าอึมครึม เพราะจุดเริ่มต้นของการปรับแก้แผนการนี้ มีความเห็นด้วยและการผลักดันอย่างเต็มที่ของเขา
ผลลัพธ์ในตอนนี้ พิสูจน์ให้เห็นถึงความล้มเหลวในแผนการครั้งนี้แบบไม่ต้องสงสัย
“นายใหญ่ครับ ผมยินยอมขึ้นศาลทหาร พิจารณาความล้มเหลวครั้งนี้ที่ผมสร้างขึ้น” นายพลคนนี้พูดไป
“ไม่ต้องหรอก แผนการครั้งนี้ไม่นายมีคนเดียวที่ผลักดันตั้งแต่เริ่มต้น เป็นความคิดร่วมกันของทุกคน ถ้าล้มเหลวแล้ว ก็เป็นความรับผิดชอบของทุกคน โดยเฉพาะทหารเหล่านี้พ่ายแพ้ก็ให้อภัยได้ เพราะเดิมทีเป้าหมายไม่ใช่คนธรรมดา” ทันใดนั้นนายพลอาวุโสค่อยๆ เอ่ยปากอธิบาย
“งั้นเป้าหมายเป็นใครกันแน่ครับ?” นายพลคนนั้นสีหน้าสงสัย ข้อมูลของภารกิจครั้งนี้ นายพลอาวุโสเป็นคนมอบให้ทหารชั้นยอดไปด้วยตนเอง ระหว่างนั้นไม่มีใครรู้ข้อมูลที่เกี่ยวกับภารกิจสักนิดเดียว แทบจะเป็นภารกิจลับเฉพาะ
“สถานะของเป้าหมาย นายยังไม่มีสิทธิ์ที่จะรับรู้” นายพลอาวุโสหมุนตัว กวาดสายตามองนายพลคนนั้นอย่างเย็นชา
นายพลสั่นไปทั้งตัว น้อยมากที่เขาจะเห็นนายพลอาวุโสเย็นชาเคร่งขรึมเช่นนี้ ราวกับเปลี่ยนไปคนละคน
“งั้น…ต้องการให้บอกคุณชายหลีหรือเปล่าครับ?” นายพลคนนั้นถามอย่างระมัดระวัง
“ครั้งนี้เสียหายใหญ่หลวง เขาพูดว่าปล่อยให้เขาชดใช้ งั้นไม่เร่งรีบตอนนี้หรอก” นายพลอาวุโสส่ายหน้าแล้ว รอนายพลคนนั้นออกไป เขายืนอยู่ริมหน้าต่าง มองทางท้องฟ้ายามค่ำที่ลุ่มลึกและแสงจันทร์วังเวงด้านนอกหน้าต่าง ถอนหายใจแบบหมดทางเลือก
……
เช้าตรู่วันต่อมา
เฉินเป่ยออกกำลังเสร็จแบบเหงื่อไหลไคลย้อย เดินเข้าโรงแรมมาจากด้านนอก เขาที่ดูคึกคักไปทั่วตัว เดินเข้าไปในร้านอาหารโดยตรง
มุมหนึ่งในร้านอาหาร หลีชิงเยียนกับซูเหลยกำลังรับประทานอาหารเช้าอยู่ หลังเฉินเป่ยมองเห็นหลีชิงเยียนทั้งสองคน ชั่วขณะนั้นหัวเราะนิดหน่อย เดินเข้าไปด้วยความรวดเร็ว
“ชิงเยียน วันนี้คุณตื่นนอนเช้าจัง~” เฉินเป่ยยิ้มบอก หย่อนก้นลงนั่งด้านข้างของซูเหลยแบบหน้าไม่อายสุดๆ
หลีชิงเยียนเงยหน้าขึ้น เพียงแค่กวาดสายตามองเขาอย่างเย็นชา เหมือนกำลังโกรธเรื่องเมื่อคืน ไม่ได้สนใจเฉินเป่ย แต่พูดด้วยหน้าตารังเกียจ “ใครให้นายเข้ามาใกล้ ไปด้านข้างเลย~”
ขณะพูดหลีชิงเยียนก็ยื่นมือเรียวงามออกไป คิดจะผลักเฉินเป่ยสักที
นึกไม่ถึงเฉินเป่ยจะยื่นมือกะทันหัน กุมมือที่ขาวเนียนของหลีชิงเยียนเอาไว้ รอยยิ้มบนหน้ายิ่งเห็นได้ชัดว่าไร้ยางอาย มือน้อยของท่านประธานเทพธิดาทั้งนุ่มทั้งเนียน ในขณะนั้นทำให้เขาไม่ยอมปล่อยออกเลย
“ปล่อย!” หลีชิงเยียนใบหน้าแข็งทื่อ ตะโกนเสียงเย็นชา
เฉินเป่ยถึงปล่อยมือออกอย่างอาลัยอาวรณ์ หลีชิงเยียนดึงมือของตนเองกลับมา มองด้านนอกหน้าต่างทีหนึ่ง ถามทางซูเหลย “ทางตำรวจตรวจสอบเป็นยังไงบ้าง”
“น่าจะไม่มีเส้นสนกลในอะไรค่ะ” ซูเหลยส่ายหน้า เฉินเป่ยมองไปตามสายตาของหลีชิงเยียน พบว่าหน้าประตูโรงแรมมีเทปกั้นเขตขนาดยาวเส้นหนึ่งลากไว้ รถตำรวจมากมายจอดอยู่ที่ด้านนอกโรงแรม ตำรวจแต่ละคนกำลังดำเนินการตรวจสอบแขกที่เข้าออก
เห็นได้ชัดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นนอกโรงแรมเมื่อคืนนี้กระตุ้นความสนใจระดับสูงของทางตำรวจเยี่ยนจิง
“ทำไมในเน็ตไม่มีข่าวเรื่องนี้เลยสักนิดล่ะ?” หลีชิงเยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ว่ากันตามเหตุผลแล้ว เหตุการณ์ที่ใหญ่ขนาดนี้ ไม่กระตุ้นความสนใจคงยาก แต่ที่แปลกประหลาดคือในอินเทอร์เน็ตกลับไม่มีข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ใดๆ สักนิด
“ที่นี่คือเยี่ยนจิง ไม่ใช่หู้ไห่ ย่อมมีคนไม่อยากให้เรื่องนี้วุ่นวายจนคนรู้ไปทั่ว” ทันใดนั้นเฉินเป่ยที่อยู่ด้านข้างเอ่ยปากบอก หลีชิงเยียนมองเฉินเป่ยแวบหนึ่ง คำพูดประโยคนี้ของเฉินเป่ยมีความหมายลึกซึ้ง ทำให้ท่านประธานเทพธิดากับซูเหลยสีหน้าเปลี่ยนเล็กน้อย เหมือนเข้าใจอะไรแล้ว
หลังจากทานอาหารเช้าแบบง่ายๆ หลีชิงเยียนลุกขึ้น พูดกับซูเหลย “ตอนเที่ยงลูกสาวของหัวหน้าสมาคมจิวเวลรี่เยี่ยนจิงเชิญฉันเข้าร่วมงานเลี้ยงหนึ่ง เธอก็ตามฉันไปบริษัทด้วยกันเถอะ ตอนเที่ยงถือโอกาสเข้าไปด้วยกัน”
ซูเหลยพยักหน้าแล้ว ในเวลานี้เฉินเป่ยพูดขึ้นกะทันหัน “ผมจะเข้าไปด้วย”
“นาย?” หลีชิงเยียนหันหน้า กวาดสายตามองเฉินเป่ย หัวเราะเยาะทีหนึ่ง พูดเสียงน่าดึงดูดที่มีเลศนัย “นายจะไปทำอะไร?”
“แขกที่เข้าร่วมงานเลี้ยงล้วนไปเป็นคู่กันหมด หรือว่าประธานหลีคุณจะเข้าไปแค่คนเดียว ไม่คิดจะเอาคู่ควงไปด้วยเหรอ?” เฉินเป่ยมองทางหลีชิงเยียน หัวเราะหึๆ
ดวงตาที่งดงามของหลีชิงเยียนจ้องเฉินเป่ยอยู่ตั้งนาน จากนั้นหมุนตัวออกไปอย่างเชื่องช้า
ตอนออกไป เสียงของหลีชิงเยียนค่อยๆ ลอยมา “ถ้านายยังอยู่ในสภาพแบบนี้ ต่อไปอย่าคิดตามฉันไปเข้าร่วมงานเลี้ยงอะไรอีกตลอดกาล”
“ได้เลย!” เฉินเป่ยมองทางภาพด้านหลังที่เย้ายวนของหลีชิงเยียน รีบพยักหน้าด้วยความตื่นเต้น
หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง หน้าประตูโรงแรม ท่านประธานเทพธิดาที่เปลี่ยนเป็นชุดกระโปรงยาวงดงามเดินออกจากด้านในโรงแรม ผมยาวคลุมไหล่ รูปร่างที่สมบูรณ์แบบทำให้คนน้ำลายไหลย้อย ฝันหวานล่องลอย
ส่วนเฉินเป่ยและซูเหลยรออยู่ด้านข้างตั้งนานแล้ว รอท่านประธานเทพธิดาเดินมาใกล้ เฉินเป่ยถึงดึงประตูรถเปิด
……
บ้านตระกูลหลี
พอตอนเช้า หลีเช่าเทียนพึ่งเดินออกมาจากห้องนอน สาวใช้สองคนเข้ามาหา ยกน้ำร้อนและน้ำยาบ้วนปาก เพื่อให้หลีเช่าเทียนล้างหน้าแต่งตัว
ทันใดนั้น ลูกน้องคนหนึ่งรีบร้อนปรากฏตัวขึ้นที่หน้าประตูห้องนอน รายงานว่า “คุณชายหลี ไม่ดีแล้วครับ”
“มีอะไรแล้ว?”
“เมื่อสักครู่กองทหารการป้องกันสงครามเยี่ยนจิงโทรเข้ามา ภารกิจเมื่อคืนล้มเหลวครับ คนที่ส่งไปสังหารบาดเจ็บสาหัสทั้งหมด เป้าหมายไม่ตาย กองทหารการป้องกันเยี่ยนจิงเสียหายหนัก ตอนนี้พวกเขาต้องการค่าเชยความเสียหายจากพวกเราครับ” ลูกน้องตระกูลหลีคนนั้นพูดขึ้น
“บาดเจ็บสาหัสทั้งหมด? กองทหารการป้องกันสงครามเยี่ยนจิงไม่ใช่เป็นที่รู้จักกันดีว่าทหารฝีมือเยี่ยมพวกนี้ผ่านการปรับปรุงเรียบร้อย เป็นผู้เข้มแข็งที่สุดในบรรดาบุคคลฝีมือเยี่ยมหรอกเหรอ? แม้แต่ทีมรบพิเศษก็ไม่สนใจ ทำไมถึงยังจัดการเป้าหมายคนเดียวไม่ตาย?” หลีเช่าเทียนสีหน้าเย็นชาทันที แรงอาฆาตระเบิดออกทันใด ทำให้สาวใช้สองคนด้านข้างนั้นรวมทั้งลูกน้องคนนั้นสั่นเทาไม่หยุด
“คุณชายหลี…” ลูกน้องสั่นเทาไปทั้งตัว ส่วนลึกในใจเกิดความกลัวที่น่าประหลาดใจ
“พวกเขาไม่ใช่บอกว่าทหารชั้นยอดพวกนี้ได้ทำลายขีดจำกัดพลังของร่างกายคน และไม่อยู่ในขอบเขตของประเภทคนทั่วไปแล้วหรอกเหรอ? หรือว่าเอ๋อตงเฉินคนนั้นไม่ใช่คนทั่วไป?” หลีเช่าเทียนยิ่งสีหน้าอึมครึม เขาที่แต่ไหนแต่ไรอ่อนโยนสุภาพ พอได้ยินข่าวร้ายนี้อีกครั้ง ไฟโกรธจึงพุ่งทะยาน
“คุณชายหลีไว้ชีวิตด้วย!” สาวใช้ที่อยู่ในนั้นและลูกน้องของตระกูลหลีสั่นเทาหมอบลงทั้งหมด หลีเช่าเทียนเดือดดาล ผลลัพธ์ช่างสยองขวัญเหลือเกิน
ผ่านไปตั้งนานไฟโกรธของหลีเช่าเทียนถึงหายไปบ้าง เขาที่สีหน้าอึมครึม ผ่านไปไม่นานก็เอ่ยปากบอก “โอนค่าชดใช้ให้กองทหารการป้องกันสงครามเยี่ยนจิง การร่วมงานของตระกูลหลีและพวกเขาหยุดกลางคัน”
“งั้นเอ๋อตงเฉิน…” ลูกน้องตระกูลหลีเอ่ยปากถามด้วยความระมัดระวัง
“ฉันไม่เชื่อว่าไม่มีใครจัดการเจ้าหมอนั้นให้ตายได้…ไปตั้งรางวัลในเว็บมืด ถ้าใครทำให้เอ๋อตงเฉินตายได้ รางวัลหนึ่งร้อยล้าน…ถ้าสามารถทำให้หลีชิงเยียนตายตามไปด้วยได้ รางวัลสองร้อยล้าน นักฆ่าจะไม่โดนออกหมายจับใดๆ!” หลีเช่าเทียนสีหน้าเขียวปัดดูแย่ กุมหมัดแน่น เส้นเลือดตรงหน้าผากปูดขึ้น เห็นได้ชัดว่าหนาวเหน็บน่ากลัว
หลีเช่าเทียนประสบอุปสรรคติดต่อกัน ทำให้เขาแทบจะไม่มีทางอดกลั้นต่อไปได้อีก
……
ตอนกลางวัน โรงแรมหวังฟูจิงเยี่ยนจิง
รถยนต์สีดำคันหนึ่งแล่นไวมาตลอดทาง จอดที่หน้าประตูโรงแรมแล้ว
หลีชิงเยียนลงรถอย่างสง่างาม ซูเหลยและเฉินเป่ยตามหลังมาติดๆ โดยเฉพาะเฉินเป่ยตามหลีชิงเยียนอย่างกับเป็นคู่รัก เดินเข้าไปในโรงแรมแบบหวานชื่นแบบหาที่เปรียบไม่ได้
ในใจเฉินเป่ยฮึกเหิมอยู่บ้าง ความรู้สึกแบบนี้ลึกซึ้งเป็นพิเศษ เฉินเป่ยยังตั้งใจใส่สูทที่เรียบเพื่อการนี้ แม้กระทั่งยังใส่เนกไทด้วย บุคลิกทั้งตัวพลิกโฉมเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง กลืนไปกับสังคมชั้นสูงที่สง่าสุภาพเรียบร้อยได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ในห้องงานเลี้ยงของโรงแรม มีคนไม่น้อยมาถึงที่งานแล้ว หลีชิงเยียนกับเฉินเป่ยอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่เดินขวักไขว่ ซูเหลยตามหลังไปติดๆ ระแวงอันตรายแฝงที่อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งนั้นด้วยความอ่อนไหว
งานเลี้ยงประเภทนี้เฉินเป่ยและหลีชิงเยียนเข้าร่วมมาไม่น้อย สถานที่ล้วนคล้ายคลึงกันมาก พอเทียบกับหลีเช่าเทียนแห่งเยี่ยนจิงที่ชื่อเสียงโด่งดัง เห็นได้ชัดว่าที่เยี่ยนจิงมีคนไม่มากเท่าไรที่รู้จักท่านประธานเทพธิดาคนนี้ บางทีมีคนคุ้นหน้าไม่กี่คนเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยน ส่วนมากล้วนถูกความดูดีมีบุคลิกภาพของหลีชิงเยียนทำให้ตะลึงในความงามทั้งหมด อยากจะเข้ามาพูดคุยก่อน
ในเวลานี้ ทันใดนั้นเหล่าคุณชายที่อายุน้อยหลายคนพูดคุยหัวเราะเดินเข้ามาในโรงแรม ในคุณชายกลุ่มนั้น ภาพเงาคนคนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าที่หลีชิงเยียนคุ้นเคยมาก นั่นคือคนรู้จักเก่าคนหนึ่งของหลีชิงเยียน เซียวจ้าน
“ชิงเยียน? บังเอิญขนาดนี้ คุณก็มาทานข้าวที่นี่ด้วยเหรอ?” เซียวจ้านเพียงแค่กวาดตาเบาๆ ก็พบภาพเงาคนที่คุ้นเคยประทับใจในฝูงชนนั้น เขารีบก้าวเดินมายังโต๊ะของหลีชิงเยียนทางนี้