บทที่581 วอนหาที่ตาย
เฉินเป่ยนอนหลับไม่เต็มอิ่ม ทั้งยังโดนเมียด่า ตัวเขาเองโมโหอย่างมาก พอมองเห็นว่าที่แท้เป็นหวางอู๋ตี๋น้องชายของหวางเหวินห้าวมายั่วยุถึงที่ ยิ่งเพิ่มเชื้อไฟความโกรธเคืองขึ้นไปอีก
คุณชายสองของตระกูลหวางคนนี้เก็บตัวถือศีลฝึกวิทยายุทธมาสิบปี หลังออกมาได้ยินว่าเฉินเป่ยเจ้าสวะคนนี้รังแกตระกูลหวาง ดังนั้นจึงพาลูกน้องและนักข่าวมาเป็นประจักษ์พยานว่าตนเองจะจัดการเฉินเป่ยอย่างไร ทำให้เฉินเป่ยเงยหน้าไม่ขึ้นยามอยู่ต่อหน้าผู้คน
เฉินเป่ยขี้เกียจร่ำไร ต่อยหวางอู๋ตี๋หมัดเดียวจนล้มลงที่พื้นโดยตรง ทำเอาพื้นแตกเป็นหลุม
พวกอันธพาลแค้นเคืองถึงที่สุด จ้องฉากนี้ตาเขม็ง…มีความรู้สึกสั่นสะเทือนแบบไม่อยากเชื่อเด็ดขาด คาดไม่ถึง…คาดไม่ถึงว่าแม้แต่หวางอู๋ตี๋ยังแพ้แล้ว? นี่เป็นไปได้อย่างไร? นี่เป็นไปได้อย่างไรกัน!
ชั่วขณะนั้นเหล่าสื่อมวลชนนักข่าวกลุ่มหนึ่งในที่เกิดเหตุต่างเงียบกริบกันหมด…นี่คือความอัปยศอดสูของวงการวิทยายุทธเยี่ยนจิง การกระทำระดับนี้…จะรายงานออกไปได้อย่างไร? นี่คือการยกมือขึ้นตบหน้าตนเองชัดๆ
ท่านประธานเทพธิดามองฉากนี้ด้วยใบหน้าเซ่อซ่า…เธอใช้ดวงตาล็อกไว้บนตัวเฉินเป่ยเบาๆ…ผู้ชายคนนี้…มักจะทำให้ประหลาดใจแบบนี้…มักจะทำให้คนไม่มีทางคาดเดาได้…จัดการศัตรูราบในยกเดียว ถึงแม้ว่าหลีชิงเยียนจะรู้จักฝีมือของเฉินเป่ย…แต่วันนี้ตอนที่เธอเห็นฉากนี้เองกับตาตนเอง ยังมึนงงไปเลยทีเดียว เวลานี้หัวใจของเธอเต้นเร็วอยู่บ้าง แม้แต่ตัวเธอเองยังแปลกประหลาดใจ นี่…ถือว่าเป็นอารมณ์อะไรกัน?
เฉินเป่ยค่อยๆ จุดไฟบุหรี่มวนหนึ่ง หมุนตัวออกไปโดยตรง ตอนที่เดินผ่านข้างกายหลีชิงเยียน เขาดึงมือของเธอขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติมาก ลากท่านประธานเทพธิดาเข้าไปในอาคารใหญ่แล้ว
เวลานี้ท่านประธานเทพธิดายังตะลึงอยู่บ้าง…เจ้าหมอนี่…ทะเลาะวิวาทเสร็จแล้วก็จะไปแบบนี้เลยเหรอ?
“นายไม่จัดการที่เกิดเหตุในตอนนี้หน่อยเหรอ?” หลีชิงเยียนสอบถาม
เฉินเป่ยค่อยๆ พ่นควันบุหรี่ออกมา ตอบเรียบนิ่ง “จัดการกับผีอะไร ผมเพียงแค่รับหน้าที่ต่อย ไม่รับผิดชอบทำความสะอาดที่เกิดเหตุ”
ท่านประธานเทพธิดา…
หน้าประตูอาคาร เหล่าสื่อมวลชนนักข่าวกลุ่มนั้นเงียบกริบไม่พูดจากัน มองภาพเงาของเฉินเป่ยที่ออกไปอย่างเมินเฉย…การต่อสู้ยิ่งใหญ่ในวันนี้ เสมือนเป็นการตบหน้าพวกเขากันเองอย่างโจ่งแจ้ง
หลังจากนั้นตั้งนานถึงมีคนตอบสนองเข้ามาแล้ว ตะโกนบอกด้วยความตื่นตกใจไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี “เรียกรถพยาบาล! รีบเรียกรถพยาบาล!”
ในหลุมใหญ่ที่ยุบตัวลง ทั่วตัวหวางอู๋ตี๋คือเลือด ในแววตาล้วนเป็นความหมดอาลัยตายอยาก…วินาทีนี้เขาจบเห่ถึงที่สุดแล้ว ไม่เพียงแค่ความพ่ายแพ้ที่ร่างกาย แต่เป็นความพ่ายแพ้ในด้านจิตใจ เฉินเป่ยโจมตีทีเดียว ทำเอาความศรัทธาทั้งหมดของเขาพังพินาศลงถึงที่สุด เขาฝึกฝนยากลำบากเก็บตัวถือศีลมาหลายสิบปี ผลปรากฏว่ากลับโดนคนโจมตีแพ้ในยกเดียว ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป…ชายหนุ่มที่น่าภาคภูมิใจของตระกูลหวางท่านนี้ได้กลายเป็นคนพิการโดยสมบูรณ์ จิตใจสั่นสะเทือนโดนพังทลาย ไม่มีโอกาสผุดขึ้นใหม่ได้อีกแล้ว
…
เรื่องเล็กน้อยในช่วงเวลาหนึ่งของหวางอู๋ตี๋นั้นไม่ได้กระทบต่ออารมณ์ทั้งวันของเฉินเป่ย หลังจากกลับมาถึงห้องทำงาน เขายังคงเปิดคอมพิวเตอร์เล่นเกม ลืมเลือนฉากเมื่อสักครู่นั้นจนหมดเกลี้ยงโดยสิ้นเชิง เวลานี้เขายังมีท่าทางที่สู้ได้ดุเดือดรุนแรงแบบเมื่อสักครู่ที่ได้กัน? ชั่วขณะหนึ่งได้เปลี่ยนเป็นชายขี้แพ้ที่มอมแมมคนหนึ่งแล้ว
…
หลังจากเฉินเป่ยกลับมาถึงห้องทำงานของตนเอง กลับได้ยินเสียงโวยวายระลอกหนึ่งลอยมาจากได้นอกห้องทำงานของตนเองอีกครั้ง
เฉินเป่ยเดินไปถึงหน้าประตูห้องทำงาน มองเห็นผู้ชายชาวตะวันตกที่แต่งตัวสไตล์อังกฤษคนหนึ่งนั้นเดินไปยังห้องทำงานท่านประธาน
คือหนุ่มต่างประเทศอีกแล้ว?
เฉินเป่ยขมวดคิ้วขึ้น ในใจเขาไม่พอใจอยู่บ้าง ช่วงนี้มีหนุ่มต่างชาติคนแล้วคนเล่าปรากฏตัวติดๆ กัน สรุปว่ามีเรื่องอะไรกัน
หลังจากเฉินเป่ยเดินตามชาวต่างชาติคนนั้นเข้าห้องทำงานท่านประธาน กลับมองเห็นหลีชิงเยียนนั่งบนโซฟารับแขกกับชาวต่างชาติคนนั้น ก่อนที่หลีชิงเยียนจะขมวดคิ้วแน่น
“สรุปพวกคุณอยากจะทำอะไรกันแน่? บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปไม่ได้ล่วงเกินตระกูลริชาร์ด” หลีชิงเยียนขมวดคิ้วบอก
ชาวต่างชาติคนนั้นอมยิ้มส่ายหน้า “ผมคือเรด พวกเราติดต่อกับทางตระกูลแล้ว ครั้งนี้ มาเพื่อขอโทษคุณหลี ก่อนหน้านี้ถ้าริชาร์ดพูดจาเหยียดหยามคุณ ขอได้อย่าถือสาอีกเลยครับ”
ในขณะเดียวกัน ชาวต่างชาติคนนั้นได้ล้วงบัตรเชิญใบหนึ่งออกมา “คุณชายของพวกเรารีบมาที่หู้ไห่ในคืนนั้น ตระกูลริชาร์ดอยากแก้ไขความเข้าใจผิดกับบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปด้วยความจริงใจ หวังว่าคุณจะไปตามนัด”
“เชี้ย เชิญแขกกินข้าวจะไปไนต์คลับอะไรกัน ที่แบบนั้นมันเหมาะกับการคุยธุระงั้นเหรอ?” ทันใดนั้น เฉินเป่ยเอ่ยปาก ชายต่างชาติคนนั้นเงยหน้า มองทางเฉินเป่ย ดวงตามีการดูถูกแบบที่คนอื่นยากจะสังเกตเห็นแวบผ่าน
“นายเป็นใคร?” คนคนนั้นถามขึ้น
“ฉันเป็นใครนายไม่ต้องยุ่งได้ไหม?” เฉินเป่ยชายตามองคนนั้นแวบหนึ่ง
ชายต่างชาติส่ายหน้า มองทางหลีชิงเยียน หลีชิงเยียนครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง พยักหน้าตอบ “ฝากบอกคุณชายของพวกคุณด้วย คืนนี้ฉันจะไม่ผิดนัด”
“ขอบคุณครับ”
ไม่นานชายต่างชาติก็ออกไป ส่วนเฉินเป่ยล้วงมือในกระเป๋ากางเกงสองข้าง มองหลีชิงเยียนอยู่ ขมวดคิ้วบอก “สถานที่แบบนั้นเดิมทีไม่เหมาะให้คุณไป”
ความอ่อนโยนและมีเสน่ห์ของเมื่อคืนนี้ ทำให้ถึงตอนนี้หลีชิงเยียนยังคงสีหน้ายังหนาวเย็น เงยหน้ากวาดสายตามองทางเฉินเป่ย พูดเสียดสี “งั้นเหรอ คงเหมาะแค่คนแบบนายไป ถูกมั้ย?”
…
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ในไนต์คลับส่วนตัว
ที่หน้าประตูไนต์คลับส่วนตัวซึ่งหลบซ่อนตัวมากแห่งหนึ่ง
ไนต์คลับดูปลีกตัวมาก เดิมทีคนปกติคงหาที่นี่ไม่เจอ หน้าประตูไนต์คลับมีบอดี้การ์ดสองคนใส่สูทยืนตรงดิ่งเฝ้าอยู่ตรงทางเข้า
หลีชิงเยียนมองรอบด้านด้วยความระวัง ถึงแม้ในใจจะมีความสงสัย แต่กลับไม่ได้คิดมาก…เรดคนนั้นเหมือนไม่ได้มีเจตนาร้าย น่าจะไม่จงใจทำร้ายใครเช่นนี้มั้ง? หลีชิงเยียนคิดเช่นนี้ แต่ก็ยังระแวดระวังไว้เช่นกัน มือถือเปิดเครื่องไว้ตลอด ถ้าเกิดสถานการณ์ไม่ชอบมาพากลขึ้นจะได้โทรศัพท์ได้ทันที
พอบอดี้การ์ดที่ใส่ชุดสูทหน้าประตูสองคนนั้นเห็นสาวสวยปรากฏตัวขึ้นกะทันหัน สายตาทั้งสองคนเบิกกว้าง พวกเขาสาบานได้…ชีวิตนี้ไม่เคยเจอผู้หญิงงดงามที่ทำให้คนหยุดหายใจแบบนี้มาก่อน ใบหน้านี้…คือผลงานศิลปะที่ล้ำค่าที่สุดบนโลก
หลีชิงเยียนยิ้มอ่อนๆ ให้ทางบอดี้การ์ดสองคน นั่นคือรอยยิ้มของสาวงามหยาดเยิ้ม หลังเธอยิ้มเสร็จก็เดินส่ายสะโพกไปด้านในไนต์คลับโดยตรง
สักพักหนึ่งบอดี้การ์ดสองคนนั้นถึงตอบสนองเข้ามา รีบพูดห้ามเอาไว้ก่อน “คนสวย เข้าไปไนต์คลับต้องนัดไว้ล่วงหน้า คุณไม่ได้นัดล่วงหน้าก็เข้าไปไม่ได้นะ”
หลีชิงเยียนกะพริบดวงตาแบบที่ทำให้คนแทบหยุดหายใจเบาๆ กวาดตามองพวกเขาแวบหนึ่ง “พวกนายคิดว่าฉันต้องนัดล่วงหน้าเหรอ?”
ได้ยินคำพูดของสาวงามคนนี้ บอดี้การ์ดสองคนตะลึงทันที ตกใจและสงสัยอยู่บ้าง…ผู้หญิงคนนี้? หรือว่ามีสถานะพิเศษอะไร?
“ดูแล้วพวกนายอยากโดนไล่ออกล่ะมั้ง…” หลีชิงเยียนหมุนดวงตาเล็กน้อย บนใบหน้างดงามเผยยิ้มเยาะออกมา เธอหยิบโทรศัพท์ของตนเองขึ้นโดยตรง เริ่มต่อสายไปยังหมายเลขหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าเธอโทรศัพท์ บอดี้การ์ดสองคนนั้นก็ประหม่าขึ้นทันที
“คนสวย…คนสวยมีอะไรคุยกันก่อน อย่าโทรศัพท์เลยนะ!” ที่แท้บอดี้การ์ดสองคนยังตื่นตกใจไม่สงบอยู่บ้าง ตอนที่เห็นหลีชิงเยียนหยิบมือถือขึ้นมาโทรออก สุดท้ายความสงสัยในใจของพวกเขาก็กระจ่างแล้ว ผู้หญิงคนนี้จะต้องมีที่มาไม่ธรรมดาแน่ ต้องรู้จักกับเถ้าแก่ พวกเขาจะผิดใจเพื่อนของเถ้าแก่ไม่ได้
หลีชิงเยียนกวาดมองพวกเขานิ่งๆ จากนั้นถึงวางสายโทรศัพท์ทิ้ง “รอเจ้านายของพวกนายมาถึงแล้วบอกเขาด้วยว่าฉันจะรอเขาอยู่ที่ห้องทำงาน” พูดจบเธอเดินส่ายสะโพกไปอย่างสง่างาม
บอดี้การ์ดสองคนมองหน้ากัน ในใจแน่วแน่แล้ว ผู้หญิงคนนี้จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเถ้าแก่แน่ เวลานี้พวกเขาแค่รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง รีบถอยกลับไปที่ตำแหน่งเฝ้ายามของตนเอง ผู้หญิงแบบนี้…พวกเขาหาเรื่องไม่ได้
ดวงตาของหลีชิงเยียนกวาดมองไปรอบด้านทีหนึ่ง ไม่นานก็ล็อกตำแหน่งไว้ เดินส่ายสะโพกไปด้านในห้องอาหารส่วนตัวโดยตรง
หน้าประตูห้องอาหารมีพนักงานบริการสองคนคอยต้อนรับ หลีชิงเยียนขยับเข้าไปด้านหน้าพนักงานสองคน พูดเบาๆ สองสามประโยค…พนักงานสองคนนั้นตกใจจนสีหน้าเปลี่ยน รีบพยักหน้าโค้งตัว ทำความเคารพต่อหลีชิงเยียน จากนั้นถอยลงไปด้วยความระมัดระวัง
มุมปากหลีชิงเยียนฉีกรอยยิ้มขึ้น ค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้ที่หน้าประตูห้องอาหาร จากนั้นมองสถานการณ์ด้านใน
เรดกับหลีชิงเยียนนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหาร เรดเทเครื่องดื่มให้หลีชิงเยียนด้วยความกระตือรือร้น ท่าทีเร่าร้อนอย่างยิ่ง…
ตอนพลบค่ำ ในที่ดินคฤหาสน์ตระกูลหลี
เฉินเป่ยอยู่ในห้องอาหาร กำลังพูดคุยกันกับหลีหยางและซูเหลยทั้งสองคนที่โต๊ะอาหาร คุยกันหลายประโยคไม่ขาดสาย พยายามคุยอย่างกระตือรือร้นกับหลีหยาง แต่เฉินเป่ยนั้น ไม่รู้ทำไมในใจถึงมีความกังวลหวาดกลัวอย่างน่าประหลาด…
ทันใดนั้นความกังวลในใจของเฉินเป่ยมาถึงขีดสุดแล้ว เขาทานข้าวไม่ลงอีกต่อไป ลุกขึ้นทันใด พูดกับหลีหยางว่า “พ่อครับ ผมไม่วางใจชิงเยียนอยู่บ้าง ผมจะไปดูสักหน่อย”
สีหน้าหลีหยางงุนงง “ชิงเยียนบอกพวกเราว่าเธอมีนัดทานข้าว…นี่มีอะไรน่าเป็นห่วงกัน?”
เฉินเป่ยส่ายหน้าแล้ว เขามักรู้สึกว่าสายตาที่เรดคนนั้นมองทางหลีชิงเยียนมีเจตนาไม่ดีมากนัก ทำให้ในใจเขาไม่สงบ
“ขอโทษนะครับ วันนี้คงกินข้าวต่อไม่ได้แล้ว เอาไว้วันหลังนะครับ!” เฉินเป่ยสีหน้าเคร่งเครียดอย่างยิ่ง พุ่งออกจากคฤหาสน์ นั่งเข้าไปในรถ เหยียบคันเร่งโดยตรง รถยนต์แล่นฉิวออกไป จากนั้นขับไปด้วยความรวดเร็ว ซูเหลยใบหน้าตกตะลึงเซ่อซ่า มองรถที่ขับไปอย่างว่องไวคันนั้น…
รถไมบัคขับด้วยความเร็ว เฉินเป่ยขับแบบแข่งรถทันที ชั่วขณะนั้นเครื่องยนต์ของรถหรูหลักล้านปลดปล่อยพลังการเคลื่อนไหวที่ฮึกเหิมอยู่บนถนน โหมพัดอย่างบ้าคลั่งดุจเครื่องบินคำราม
เฉินเป่ยนั่งอยู่ในห้องคนขับ สีหน้าเย็นชาที่สุด เขาเปิดนาฬิกาดิจิตอลที่ข้อมือ เข้าสู่แผนที่พิกัดของตำแหน่งดาวเทียมโดยตรง ล็อกตำแหน่งเป้าหมายไว้ รถไมบัคคำรามไปยังตำแหน่งเป้าหมาย
บนถนนเมืองหู้ไห่ยามพลบค่ำ ตำรวจจราจรหลายคนตั้งด่านบนถนนจุดสำคัญ กำลังตรวจสอบพวกเมาแล้วขับอยู่
ตำรวจสายตรวจจักรยนต์สองคนเฝ้าอยู่ที่ข้างทาง ป้องกันว่าจะมีคนเมาแล้วขับซิ่งรถหลบหนี
“นายว่าความสงบเรียบร้อยในตอนนี้…เกรงว่าคงไม่มีใครกล้าซิ่งรถหรอกมั้ง?”
“จริงด้วย คนที่กล้าซิ่งรถบนถนนตอนนี้ นั่นคงวอนหาที่ตายชัดๆ ตอนนี้กฎหมายความเรียบร้อยด้านจราจรคุมเข้มมาก บนถนนมีวงจรปิดติดทุกที่ ถึงอยากจะหนีก็หนีไม่พ้น”
ตำรวจสายตรวจจักรยานยนต์สองคนกำลังยืนพิงสูบบุหรี่อยู่ด้านข้าง พลางพูดคุยกัน
ทันใดนั้น มีเสียงคำรามของเครื่องยนต์ลอยมาจากบนถนนที่ห่างไกลไป
เหล่าตำรวจกลุ่มหนึ่งตรงนั้นสายตาแข็งทื่อ จ้องระยะไกลไม่ขยับ
เห็นเพียงรถไมบัคสีดำคันหนึ่งกำลังแล่นมาด้วยความรวดเร็ว ความเร็วที่เฉียบไวเกินกว่าจะจินตนาการได้
“เมาแล้วขับ! สกัดไว้!” เหล่าตำรวจกลุ่มหนึ่งรีบตั้งด่านสกัด ชั่วขณะนั้นรถตำรวจสองคันสกัดกั้นตรงกลางถนน อุดเส้นทางไว้แล้ว
แต่รถไมบัคคันนั้นเดิมทีไม่มีท่าทีจะลดความเร็วลง ทว่ากลับเหยียบคันเร่งเพิ่มขึ้น
“ตึง——!” เสียงดังสนั่น รถตำรวจสองคันที่ขวางไว้ตรงกลางถนนโดนชนกระเด็นไปตรงๆ รถไมบัคร้องคำราม บดทับผ่านตะปูเรือใบที่โรยไว้บนพื้นถนน ก่อนจะขับผ่านไปรวดเร็ว
เหล่าตำรวจกลุ่มหนึ่งมองหน้ากันและกัน ตกใจไร้ที่เปรียบ ยางรถที่ถูกตะปูเรือใบทิ่มแทง? คาดไม่ถึงว่าไม่รั่วเสียหาย นั่นคือยางรถอะไรกัน?
ตำรวจสายตรวจจักรยานยนต์สองคนนั้นตัดสินใจเร่งด่วน ขึ้นคร่อมบนรถมอเตอร์ไซค์ทันที บิดคันเร่งแล่นออกไปทันใด รถมอเตอร์ไซค์เป็นเครื่องใช้สัญจรที่ความเร็วไวที่สุดบนโลก ส่วนมอเตอร์ไซค์ที่ทางตำรวจใช้นั้นได้ผ่านการปรับแต่งถูกกฎหมาย เป็นอุปกรณ์ความเร็วที่ประสิทธิภาพเยี่ยมบนท้องถนน ตำรวจสายตรวจจักรยานยนต์สองคนแล่นฉิวไล่ตามรถไมบัคS600ไปดังกระหึ่ม
แต่ว่ารถไมบัคคันนั้นกลับเพิ่มความเร็วกะทันหัน ราวกับเครื่องบินรบที่เพิ่มความเร็วบ้าระห่ำในชั่วขณะหนึ่ง แล่นด้วยความไว นับวันระยะห่างยิ่งไกลออกไป
ตำรวจสายตรวจจักรยานยนต์สองคนสีหน้าเปลี่ยนไป รถมอเตอร์ไซค์เพิ่มความเร็วตามไปด้วย ทว่าเดิมทีกลับตามรถไมบัคคันนั้นไม่ทัน รถไมบัคสีดำคันนั้นอย่างกับป่าทึบ ความเร็วช่างไวเหลือเกิน ใกล้ถึงจุดที่เกินกว่าจินตนาการแล้ว
ในช่วงที่ตำรวจสายตรวจจักรยานยนต์แล่นฉิว พอก้มหน้ามองความเร็วบนหน้าปัดแวบหนึ่ง240กิโลเมตรต่อชั่วโมง เวลานี้พวกเขากำลังขับอย่างบ้าระห่ำที่240กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ยังคงไม่มีท่าทีจะไล่ตามรถไมบัคคันนั้นทัน นั่นหมายความว่าความเร็วของไมบัคคันนั้น โดยพื้นฐานน่าจะเกินกว่า300กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วขับด้วยความเร็วบ้าคลั่งกว่า300กิโลเมตรต่อชั่วโมงบนถนนในเมืองหู้ไห่อย่างนั้นหรือ?
“ตามทันหรือยัง? รีบสกัดเขาเอาไว้ให้ฉันเดี๋ยวนี้!” ในหูฟัง เสียงของหัวหน้าตำรวจจราจรเคร่งเครียดดุดัน
“รายงานครับหัวหน้า พวกเราตามไม่ทัน…” ตำรวจสายตรวจจักรยนต์สองคนรายงานด้วยเสียงสั่นเครือ
ในหูฟังจมสู่ความเงียบงัน
รถไมบัคแล่นอย่างบ้าคลั่งไปตลอดทาง ความเร็วบนหน้าปัดหมุนไปถึง390กิโลเมตรต่อชั่วโมง นี่คือความเร็วสูงสุดของรถไมบัค ทั้งตัวรถเหมือนบินร้องคำรามผ่านไป
ท้องฟ้าค่อยๆ มืดลง ในไนต์คลับส่วนตัว
เรดที่นั่งอยู่ตรงข้าม นับวันรอยยิ้มชั่วร้ายที่มุมปากยิ่งเข้มขึ้น แทบใกล้จะควบคุมไม่อยู่แล้ว ไม่นานเขาก็จะได้ลิ้มลองรสชาติของหลีชิงเยียนหญิงแพศยาคนนี้แล้ว…ภาพนั้น รสชาตินั้น คิดๆ ดูแล้วยิ่งทำให้เขารู้สึกฮึกเหิม
ในระหว่างที่อันตรายล่อแหลม ทันใดนั้นรถไมบัคS600สีดำคันหนึ่งขับแล่นเข้ามาจากความมืดมิดร้องคำราม
ก่อนจะเสียงดัง “ตึง!” รถไมบัคชนประตูใหญ่ของไนต์คลับพังเสียหาย พุ่งไปด้านในไนต์คลับแล้ว
พนักงานรักษาความปลอดภัยใส่สูทสองคนที่หน้าประตูสีหน้าสีหน้าเปลี่ยนกะทันหัน พุ่งไปด้านหน้าโดยตรงอยากจะลงมือ…กล้าดียังไงมาชนประตูใหญ่ไนต์คลับของพวกเขา? ไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วสินะ
ภาพเงาคนที่ดุจน้ำค้างแข็งหนาวเหน็บค่อยๆ มุดออกมาจากรถไมบัค เฉินเป่ยสีหน้าหนาวเย็นอย่างยิ่ง เหมือนยมทูตมาเยือน
“ปึงๆ!” ขายาวของเขากวาดผ่านฉับพลัน พนักงานรักษาความปลอดภัยสองคนนั้นโดนถีบกระเด็น กระอักเลือดสดออกมากลางอากาศ
“มีคนมาก่อเรื่อง! เสริมกำลังด่วน!” หน้าประตูไนต์คลับวุ่นวายกันยกใหญ่
พนักงานรักษาความปลอดภัยพนักงานด้านในของไนต์คลับกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาแล้ว ในมือถือกระบองไฟฟ้าท่อนหนึ่ง
เฉินเป่ยสายตาเย็นเฉียบ ร่างกายไหวแวบฉับพลัน แทบจะกลายเป็นภาพวืด
ที่เกิดเหตุมีเสียงร้องโหยหวนไม่หยุด คาวเลือดตลบอบอวลทั่วอากาศยามค่ำ น่ากลัวเย็นยะเยือก
เวลานี้ ในห้องทำงานแห่งหนึ่งของไนต์คลับ ไจล์สจ้องมองวงจรปิดอยู่ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ตอนที่เขาจับการเคลื่อนไหวอันวุ่นวายน่าเวทนาตรงหน้าประตูใหญ่ที่ไกลออกไปไว้ได้อย่างฉับไวนั้น มุมปากฉีกเส้นรัศมีวงกลมขึ้น ทำให้ฉันได้รู้จักฝีมือปัจจุบันของนายสักหน่อยเถอะ
ณ ห้องอาหาร ในที่สุดหลีชิงเยียนก็ทนไม่ไหวบ้างแล้ว ฤทธิ์ยากำลังทำงานภายในร่างกายถึงที่สุด ดวงตาของเธอสะลึมสะลือ ทั้งตัวเหมือนอ่อนยวบหมดแรง
เธอจ้องเรดด้วยดวงตาที่เลอะเลือน พูดแบบอ่อนล้าไร้เรี่ยวแรง “เรด นาย…นายใส่อะไรลงไปในเครื่องดื่ม?”
และเวลานี้เรดก็ปิดซ่อนความดุร้ายบนใบหน้าไม่ไหวอีกแล้ว เขาหัวเราะอย่างกำเริบ หัวเราะแบบชั่วร้ายสุดๆ นั่นคือรอยยิ้มที่เหมือนปีศาจร้าย
“หลีชิงเยียน เธอนังแพศยา! เธอคิดว่าจะหนีรอดเงื้อมมือของฉันไปได้เหรอ? ฮาๆๆ!” เรดหัวเราะก้าวร้าวน่ากลัว ดุร้ายไร้ที่เปรียบ “ฉันตั้งใจเตรียมห้องสวีทชั้นหนึ่งไว้เพื่อเธอ คืนนี้ เธอแค่ต้องนอนนิ่งๆ ฉันจะทำให้เธอเคลิบเคลิ้มไปในฝัน คืนนี้ ฉันจะทำให้เธอรู้ว่าอะไรคือผู้ชายที่แท้จริง! ฉันจะทำให้เธอเสียงใจสุดๆ ที่มาผิดใจพวกเราตระกูลริชาร์ด!”
“นาย…นายมันหน้าด้าน!” ใบหน้าหลีชิงเยียนย่ำแย่ถึงที่สุด เธอล้วงมือถือออกมาอย่างตกใจทำอะไรไม่ถูก อยากต่อสายโทรศัพท์แบบไร้เรี่ยวแรง แต่กลับเห็นมือถือไม่มีสัญญาณใดๆ
“อย่าคิดจะหนีเลย ที่นี่ตัดสัญญาณมือถือทั้งหมดแล้ว เธอหนีไม่รอดหรอก!” ดวงตาของเรดสาดยิงแววตาฮึกเหิมที่เฝ้าปรารถนาออกมา “ฉันยังไม่เคยลิ้มลองสาวสวยของหัวเซี่ยกระจอกๆ เลย ไม่รู้ว่ารสชาติจะเป็นยังไง…”
เรดเลียริมฝีปากของตนเอง เขาในเวลานี้กลายเป็นพวกถ่อยอัปลักษณ์ที่สุด เขาเดินมายังหลีชิงเยียนทีละก้าว สีหน้าของเขาแดงมากเพราะความตื่นเต้น มือทั้งคู่ฮึกเหิมสั่นเทาอยู่บ้าง…หลีชิงเยียนยัยหญิงสารเลวคนนี้ ในที่สุดเขาจะสามารถครอบครองเธอได้แล้ว
“เรด นายทำแบบนี้เหมือนกำลังทำลายตัวเอง!” หลีชิงเยียนสับสนทำอะไรไม่ถูก
“ฮาๆๆ ทำลายตัวเอง? ฉันติดต่อเส้นสายทั้งหมดไว้ตั้งแต่แรกแล้ว! วันนี้ฉันจะจัดการเธอให้หนำใจ คืนนี้เธอคือผู้หญิงของฉัน!”
วินาทีนี้ ในที่สุดหลีชิงเยียนตื่นตกใจถึงที่สุด
“ช่วยด้วย…” เธอตะโกนแบบหมดเรี่ยวแรง แต่เสียงของเธอนั้นกำลังน้อยนิดมาก ฤทธิ์ยากำเริบถึงที่สุด
“เธอตะโกนเถอะ ถึงเธอตะโกนจนคอแตกก็ไม่มีประโยชน์ ไนต์คลับแห่งนี้เป็นสมบัติของตระกูลริชาร์ด คืนนี้เธอหนีไม่รอดเป็นแน่!”
หลีชิงเยียนใบหน้าซีดเซียว เธออยากใช้กำลังทั้งหมดลุกขึ้น แต่ทั้งตัวไร้เรี่ยวแรงอ่อนยวบ เดิมทีแม้แต่แรงจะลุกขึ้นยืนยังไม่มี เธอทำได้เพียงนอนบนโต๊ะอาหารแบบอ่อนแรง ร่างกายสั่นเบาๆ เพราะตื่นตกใจ วินาทีนี้…ในที่สุดเธอหมดหวังแล้ว
ดวงตาของเธอประกายสีแดง หลีชิงเยียนแต่ไหนแต่ไรไม่ใช่หญิงสาวที่อ่อนแอ แต่วินาทีนี้…เดิมทีเธอกลับไม่มีทางต่อต้าน
ตึง——!” ทันใดนั้นเกิดเสียงดังสนั่น ประตูใหญ่ของห้องอาหารบานนั้นโดนพลังหนึ่งถีบกระเด็น
เรดสีหน้าเปลี่ยน ก่อนจะดุด่า “ใครกัน!” เวลานี้เขากำลังอยากลิ้มลองรสชาติของหลีชิงเยียนสักรอบ ประตูใหญ่กลับโดนถีบออกกะทันหัน รสชาตินี้จะรู้สึกดีได้เหรอ? เขาระเบิดความโกรธทันใด
เฉินเป่ยสีหน้าหนาวเย็นไร้ที่เปรียบ ค่อยๆ ก้าวเข้ามาในห้องอาหาร หลังจากเขาเข้ามา อากาศทั้งในห้องอาหารเย็นเฉียบ นั่นคือสถานการณ์น่ากลัวดุจผืนป่านรก
เรดสีหน้าเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปอัปลักษณ์ดูไม่ดี สายตาเขาจ้องเฉินเป่ยไม่กะพริบ มีความไม่อยากเชื่อ “แก…แกทำไม ทำไมแกถึงเข้ามาได้?” เดิมทีเขานึกไม่ถึงว่าวันนี้ที่สถานการณ์เหมาะสมเรียบร้อยเช่นนี้ จะเกิดเรื่องที่ไม่คาดฝันแบบนี้ขึ้น เฉินเป่ยที่สมควรตายคนนี้…เขาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? เขารู้จักที่นี่ได้อย่างไร?
หลีชิงเยียนฟุบอยู่บนโต๊ะอาหาร อ่อนแอหมดแรงไปหมดทั้งตัว วินาทีนั้นที่เห็นเฉินเป่ยเข้า…ดวงตาของเธอแดงๆ จมูกมีน้ำมูก น้ำตาแวววับหยดหนึ่งร่วงลง เฉินเป่ยมาแล้ว มาช่วยเธอแล้ว นี่ตนเองไม่ได้กำลังฝันอยู่ใช่ไหม? หลีชิงเยียนค่อยๆ หลับตาลง ประสิทธิภาพยาออกฤทธิ์ถึงที่สุด…ในวินาทีสำคัญท้ายสุด เธอสลบลงไปแล้ว
เฉินเป่ยสีหน้าหนาวเหน็บขีดสุด เขาก้าวมาด้านหน้าทีละก้าว ดุจยมทูตมาเยือน
“แก……อยากจะตายยังไง?” เสียงของเฉินเป่ยสงบนิ่งมาก นิ่งจนทำให้คนสั่นสะท้าน
เรดสีหน้าเดือดดาลดุร้าย เขาล้วงมีดสปริงที่แหลมคมออกมาเล่มหนึ่ง “ในเมื่อวันนี้แกมาหาที่ตายถึงที่…งั้นอย่ามาโทษว่าฉันไม่เกรงใจ! ทั้งหัวเซี่ย ไม่มีใครกล้าเหยียบย่ำตระกูลริชาร์ดเช่นนี้ ฆ่าแกแล้ว อย่างมากก็แค่เสียเงินนิดเดียวเท่านั้น!”
วินาทีนี้ สีหน้าของเรดน่าสะพรึงกลัวถึงขีดสุด เขาเกิดความคิดอยากฆ่าขึ้นจริงๆ แล้ว แทงพวกสารเลวที่สมควรตายคนนี้ให้ตายไปเลย จากนั้นค่อยไปหยอกเย้าหลีชิงเยียนสักรอบ วันนี้ใครก็หนีไม่พ้น