บทที่584 อันตรายล่อแหลมอย่างหนัก
ในใจเอ็ดเวิร์ดสั่นสะเทือนขั้นสุด ความคิดที่น่ากลัวปรากฏอยู่ในหัวสมอง คนที่ไม่ควรล่วงเกิน? หรือว่า…จะเป็นผู้ชายลึกลับคนนั้นในสายโทรศัพท์เมื่อคืนนี้? ผู้ชายลึกลับที่ตีลูกชายตนเองจนพิการคนนั้น?
วินาทีนี้ในใจเอ็ดเวิร์ดซับซ้อนที่สุด เขาคุกเข่าลงตรงหน้าของท่านโจวทันที พูดอ้อนวอนอย่างทุกข์ยาก “ท่านโจว…ผมผิดไปแล้ว ขอร้องท่านผู้ยิ่งใหญ่โปรดเมตตาด้วยครับ…ให้อภัยผมด้วย!”
ท่านโจวกลับแสดงหน้าตาไร้อารมณ์ เสียงหนาวเหน็บเหลือเกิน “ล่วงเกินคุณเฉินแล้ว ความผิดของแกคือตาย!”
เอ็ดเวิร์ดสีหน้าสุดจะทนอย่างแรง คุกเข่าลงที่พื้นสั่นเทารุนแรง เขาในเวลานี้ยังมีพลังชั่วร้ายแบบเมื่อสักครู่ที่ไหนกัน? เหลือเพียงคำอ้อนวอนที่ทุกข์ระทม
“สรุปคือ…สรุปคือคุณเฉินท่านไหนกัน?” เอ็ดเวิร์ดไม่ยินยอม สีหน้าเขายากลำบากเปลี่ยนไปสารพัดสุดๆ
“เฉินเป่ย” ท่านโจวพูดจาสงบนิ่ง
ครืน! ตอนได้ยินคำพูดนี้…ทั้งตัวเอ็ดเวิร์ดเหมือนโดนตีแสกกลางหน้า สั่นสะท้าน ที่แท้เป็นผู้ชายคนนั้น
แม้แต่ในฝันเอ็ดเวิร์ดยังคิดไม่ถึงว่าลูกชายอกตัญญูคนนั้นของตนเอง…คาดไม่ถึง…คาดไม่ถึงล่วงเกินผู้มีตัวตนที่น่ากลัวท่านนี้
“เอามีดมา!” ท่านโจวตะโกนเสียงดุ
“ชิ้ง——!” ลูกน้องคนหนึ่งนำมีดขนาดใหญ่ที่แหลมคมอย่างยิ่งเล่มหนึ่งยื่นไปในมือของท่านโจว
“คุณจะทำอะไร?” สีหน้าเอ็ดเวิร์ดเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ในใจผุดวิกฤตถึงชีวิตที่รุนแรงขึ้นมา
“ฉึก!” ไม่รอให้เอ็ดเวิร์ดตอบสนองเข้ามา ท่านโจวยกมือปักมีดลง เกิดแสงเย็นเฉียบจากนั้นตามมาด้วยเลือดสดกระจายขึ้น
“อ๊าก——!” ร่างกายของเอ็ดเวิร์ดนอนอยู่บนพื้น อุดแขนซ้ายของตนเองไว้ร้องคำรามอย่างน่าเวทนา ทั้งแขนซ้ายของเขาโดนมีดฟันลงไปทีหนึ่ง แขนหลุดออกจากตัว เลือดสดไหลทะลักออก น่าเวทนาอย่างยิ่ง
“ล่วงเกินคุณเฉิน ความผิดนี้ของแกคือต้องตาย แต่คุณเฉินมีคำสั่งว่าไว้ชีวิตแกสักครั้ง วันนี้ฉันจะตัดแขนแกทั้งสอง ให้แกจำไว้เป็นบทเรียน!!” ท่านโจวสีหน้าหนาวเย็นไร้ที่เปรียบ มีดขนาดใหญ่ในมือฟันลงมาอีกที
“ฉึก!” แขนขวาของเอ็ดเวิร์ดโดนฟันขาดในชั่วขณะนั้น เลือดสดโหมซัดสาด ที่เกิดเหตุนองเลือดถึงที่สุด
ในที่เกิดเหตุ พวกผู้ติดตามที่ใส่เครื่องแบบกลุ่มนั้นตกใจจนมึนงงกันหมด…ทุกคนตกใจจนคุกเข่าลงที่พื้นขอชีวิตกัน
ท่านโจวสีหน้าหนาวเหน็บไร้ที่เปรียบ ราวกับอยู่นอกเหตุการณ์นี้ มีดขนาดใหญ่ในมือของเขาสะบัดลงฉับพลัน แทงเข้าในขาของเอ็ดเวิร์ดโดยตรง เอ็ดเวิร์ดเจ็บจนร้องโอดครวญอีกครั้ง เขาในเวลานี้เหมือนตายทั้งเป็น
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามตระกูลริชาร์ดปรากฏตัวต่อหน้าถานกงอีกต่อไป!! เอ็ดเวิร์ด ถ้าฉันเห็นแกในงานธุรกิจเมืองหู้ไห่อีก ครั้งหน้า มีดของฉันจะแทงเข้าที่หัวของแก!”
ท่านโจวพูดจบก็สะบัดแขนเสื้อออกไป…เหล่าลูกน้องหลายร้อยคนด้านหลังแยกย้ายไปกระหน่ำตีแตกสักยก
ทั้งตัวเอ็ดเวิร์ดหมอบอยู่ที่พื้น เลือดสดทะลักออกมาทั่วตัว…วินาทีนี้ เขาเศร้าโศกทุกข์ทรมาน ในปากพ่นเลือดสดออกมาอีกครั้ง ก่อนจะสลบลงไปทันที
หลังจากวันนี้ ตระกูลริชาร์ดเป็นปฏิปักษ์ต่อถานกงถึงที่สุด
ช่วงบ่าย เฉินเป่ยกำลังพิงอยู่บนเก้าอี้ทำงาน นึกถึงที่บ้านยังมีแมวน้อยกำลังพักรักษาตัวอยู่ ในใจเฉินเป่ยรู้สึกถึงความหวานชื่นที่ไม่มีสาเหตุ ความรู้สึกที่มีหญิงสาวอยู่บ้านมันช่างดีจริงๆ
“ทำได้ไม่เลว”
เฉินเป่ยอ่านข้อความในมือถือที่ส่งมาจากสารพัดทิศทางปรากฏขึ้นติดต่อกัน อารมณ์ดูสบายใจ
“ลูกพี่ แค่ตระกูลริชาร์ดเท่านั้นเอง ยังต้องให้ผมช่วยลงมือ ฐานะผมตกลงขนาดนั้นเลยเหรอ?” ในสายนั้น ชิงเหนียนเบ้ปากแล้ว
“กล้าแตะต้องผู้หญิงของฉัน ทำเรื่องที่สกปรกแบบนี้ ตระกูลริชาร์ดสมควรเจอคิดบัญชีแล้ว” เฉินเป่ยค่อยๆ เอ่ยปาก
“ครับ” ในสายโทรศัพท์ ชั่วขณะนั้นชิงเหนียนเข้าใจขึ้นมาแล้ว “ผมจะรีบให้กองทหารหลงกวาดล้างพวกเขา”
ในเวลานี้ ประตูห้องถูกคนผลักเปิดทันใดนั้น
เฉินเป่ยรีบวางสายวิดีโอคอลลง สีหน้าประหม่าอย่างยิ่ง
ใบหน้าท่านประธานเทพธิดาดูสงสัย ดวงตาจ้องเฉินเป่ยไม่กะพริบ
“เมื่อกี้นายคุยกับใครกัน?”
เฉินเป่ยหัวเราะแบบกระอักกระอ่วน พูดอธิบาย “ไม่มีใคร…ก็แค่เพื่อนเก่าคนหนึ่ง…” เขาย่อมไม่บอกหลีชิงเยียนเป็นธรรมดา…แม่เสือคนนี้แรงหึงหวงหนักเหลือเกิน เฉินเป่ยกลัวตนเองจะประสบหายนะ…
หลีชิงเยียนมองเขาแวบหนึ่งด้วยความสงสัย ในตามีการสังเกตแบบเข้มข้นมาก มองจนเฉินเป่ยสับสนอยู่บ้าง
ตั้งนานท่านประธานเทพธิดาถึงถามด้วยเสียงมีเสน่ห์ “ในข่าวบอกว่าวันนี้ตอนสาย…ท่านโจวของถานกงให้คนไปพังบริษัทของตระกูลริชาร์ดแล้ว นายเป็นคนทำหรือเปล่า?”
เฉินเป่ยตะลึงนิดหน่อย…นึกไม่ถึงว่าความเร็วของท่านโจวยังไวมาก? จึงบอกว่า “นี่จะเกี่ยวกับผมได้ยังไงกัน”
หลีชิงเยียนกวาดตามองเฉินเป่ยแวบหนึ่ง ในความเป็นจริงหลีชิงเยียนก็คิดแบบนี้จริงๆ
…
ภายในอาคารสำนักงานแห่งหนึ่ง
“คุณผู้ชายครับ แผนการล้มเหลวแล้ว” เลขาฯ ที่สวมแว่นตากรอบทองคนหนึ่งเดินเข้าห้อง มองทางภาพเงาสีดำของคนคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้ากระจกเงียบๆ แล้วพูดขึ้น
“ฉันรู้แล้ว” ภาพเงาคนคนนั้นหมุนตัว บนตัวยังพันผ้าพันแผลไว้ไม่น้อย ดูขึ้นมาเหมือนมัมมี่เหลือเกิน
มีเพียงดวงตาคู่นั้น เห็นได้ชัดว่าล้ำลึกอย่างยิ่ง
“งั้นทำไมคุณผู้ชายยังต้องทำเรื่องเกินความจำเป็นอีกครับ?” เลขาฯ ที่สวมแว่นกรอบทองเผยความสับสนและสงสัยออกมา
“เพราะมีข้ออ้างแล้วไง ข้ออ้างและแหล่งกำเนิดของการกระทำทุกอย่าง” หู้หัวเราะแบบผิดปกติ ทันใดนั้นในรอยยิ้มมีความหนาวเหน็บล้ำลึกเพิ่มขึ้น
ชั่วขณะนั้นเลขาฯ ฉลาดขึ้นมา จากนั้นพยักหน้า “ผมจะรีบจัดเตรียมคนจับกุมเขาครับ”
“ท่านวางแผนได้ดีจริงๆ ครับ เป็นแบบนี้ ถ้าจับเอ๋อตงเฉิน พวกเราก็สามารถเปิดโปงสถานะของเขา…นี่ เป็นกับดักที่จำเป็นต้องตาย”
หู้ค่อยๆ หัวเราะ ตอนที่เลขาฯ คนนั้นยังไม่ได้ออกไป เขาก็พูดด้วยเสียงต่ำ “ดีที่สุดเพิ่มเหตุผลบางส่วนอีก อย่าให้มีทางพลาดได้”
“ตอนที่ราชาหลงโดนจับ แพะรับบาปที่ฉันจ้างมาน่าจะถึงแล้วเหมือนกัน” สายตาของหู้เปลี่ยนไปเลือนรางขึ้นมา
เลขาฯ คนนั้นสีหน้ามึนงง “แพะรับบาป?”
ในรอยยิ้มของหู้ยิ่งมีความหมายลึกซึ้งหลายระดับ “เท่าที่ฉันรู้ อิทธิพลบางส่วนของประเทศญี่ปุ่นอาฆาตแค้นกับราชาหลงมาก อาจจะเรียกได้ว่าจ้องเขมือบ…”
…
เครื่องบินพิเศษที่บินจากประเทศญี่ปุ่นมาที่หัวเซี่ยลำหนึ่งค่อยๆ ลงมาจากท้องฟ้าสู่บนรันเวย์สนามบินหลังแท่นกันชน ก่อนจะค่อยๆ จอดลงที่สนามบินหู้ไห่
ในสนามบิน เส้นทางที่ใช้เฉพาะกิจถูกเปิดใช้งาน รถยนต์เลกซัสสีดำแต่ละคันจอดรอที่ข้างลานสนามบินแล้ว
ประตูห้องโดยสารค่อยๆ เปิดออก ผู้ชายผมยาวที่ถูกมัดขึ้นคนหนึ่งเดินออกมาจากห้องโดยสารช้าๆ ผู้ชายที่สวมเครื่องแบบโบราณของประเทศญี่ปุ่น หน้าอกซ้ายของเครื่องแบบปักคำหนึ่งเอาไว้ “เคน” นี่เหมือนว่าเป็นชื่อของเขา
ที่ด้านหลังผู้ชายคนนั้นตามมาด้วยชายอายุน้อยหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง ชายหนุ่มสวมเครื่องแบบที่เรียบง่ายแบบโบราณ ผมยาวมัดขึ้นเหมือนกัน เพียงอย่างเดียวที่ไม่เหมือนคือ…ใบหน้าของเขายังมีรอยแผลเป็นยาวๆ ติดกันรอยหนึ่ง จากหูซ้ายไปตลอดทางจนถึงด้านหลังคอ นี่คือบาดแผลที่ทำให้ถึงชีวิตซึ่งน่ากลัวที่สุดรอยหนึ่ง แต่เห็นได้ชัดว่ารอยแผลนี้ไม่ได้พรากชีวิตของเขาไป เขายังมีชีวิตอยู่ต่อ สิ่งที่ยิ่งทำให้คนสั่นสะเทือนคือบนมือซ้ายของชายหนุ่มยังกุมวัตถุที่ถูกผ้าดำห่อขึ้นมาไว้ด้วย ซึ่งสามารถมองเห็นเค้าโครงได้อย่างเลือนราง…เป็นอาวุธชิ้นหนึ่ง
“ทาเคอุจิคุง อย่าทำหน้าตาเย็นชาแบบนี้ ต้องรู้จักยิ้ม ยิ้มสักหน่อย…คนหัวเซี่ยชอบยิ้มกันหมด” ผู้ชายที่ตรงหน้าอกมีคำว่า“เคน”ปักไว้ค่อยๆ พูดขึ้น บนหน้าของเขาฉีกรอยยิ้มขึ้นเช่นกัน ทว่าไม่เป็นธรรมชาติสุดๆ แม้กระทั่งยังเป็นรอยยิ้มที่ดุร้ายนิดๆ
ชายหนุ่มที่ชื่อทาเคอุจิคุงคนนั้นพยักหน้าช้าๆ “ครับ ทาเคอุจิเข้าใจแล้ว” พูดจบ บนหน้าของทาเคอุจิคุงก็ค่อยๆ ฉีกรอยยิ้มขึ้นแล้ว รอยยิ้มนั้นน่าสะพรึงกลัวขั้นสุด ราวกับเผยแรงอาฆาตที่ไร้ขอบเขตติดต่อกัน
ชายคนนั้นส่ายหน้าด้วยความจำใจ “ทาเคอุจิคุง รอยยิ้มของนาย…ช่างไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย…ช่างเถอะ” พูดจบเขาล้วงมือในกระเป๋ากางเกงสองข้าง มุดเข้าในรถเลกซัสแล้ว
ทาเคอุจิคุงตะลึงนิดหน่อย ยื่นมือลูบคลำแก้มของตนเองนิดหน่อย จากนั้นหันหน้าไปสอบถามเหล่านักฆ่าชุดดำด้านหลังกลุ่มนั้น “รอยยิ้มของฉัน…ไม่เป็นธรรมชาติงั้นเหรอ?”
พอเหล่านักฆ่าชุดดำกลุ่มนั้นได้ยินก็ตะลึงกันทั้งหมด…พวกเขามองทาเคอุจิคุงด้วยความเคารพอย่างยิ่ง จากนั้นค่อยๆ ส่ายหน้า
รถยนต์เลกซัสหลายสิบคันขับออกไปช้าๆ เข้าสู่ในถนนที่รถวิ่งขวักไขว่ของเมืองหู้ไห่แล้ว…
…
เช้าตรู่ รถยนต์จอดอยู่ที่หน้าประตูของตระกูลหลี ท่านประธานเทพธิดามุดเข้าในรถ ยังคงเป็นกลิ่นหอมลอยเข้าจมูก…กลิ่นหอมบนตัวเทพธิดามักจะทำให้อาลัยอาวรณ์
เฉินเป่ยสูดดมไปแรงๆ สักหน่อย จากนั้นค่อยๆ ขับรถเบนซ์แล่นออกไป…
รถเบนซ์ขับมาถึงอาคารตระกูลหลี เฉินเป่ยกับท่านประธานเทพธิดาลงรถมาด้วยกัน จากนั้นเดินเข้าในอาคารด้วยกัน เสมือนกับคู่รักคู่หนึ่ง
หลีชิงเยียนกวาดตามองเขาเบาๆ ทีหนึ่ง “สภาพเหมือนป่วยนะ เป็นเอดส์แล้วเหรอ?”
หลังจากเฉินเป่ยได้ยิน ชั่วขณะนั้นผุดความหม่นหมองขึ้น “ชิงเยียน…คุณพูดเหลวไหลอะไรกัน…ผมจะเป็นโรคเอดส์ได้ยังไง…สไตล์ส่วนตัวของผมสะอาดมากนะ…”
หลีชิงเยียนมองเขาตาค้อนแล้ว ขี้เกียจสนใจเขา สวมรองเท้าส้นสูงเดินเข้าไปในห้องทำงานท่านประธานโดยตรง
เฉินเป่ยเบ้ปาก เดินตามไปห้องทำงานของเธอติดๆ
“นายเข้ามาทำอะไร?” หลีชิงเยียนสอบถามเสียงดัง
“มากินอะไรหน่อยไม่ได้เหรอ คุณไม่เตรียมอาหารเช้าให้ผม ผมหิวนะเนี่ย” เฉินเป่ยตามเข้ามาในห้องทำงานแบบเล่นแง่อย่างมาก นั่งลงบนโซฟาแบบไม่เกรงใจสุดๆ จากนั้นกินอาหารรสเลิศและผลไม้บนโต๊ะกาแฟขึ้นมาอย่างไม่สนใจอะไร
หลีชิงเยียนถลึงดวงตางดงามใส่เขาทีหนึ่ง ทว่ากลับไม่มีทางทำอะไรเขาได้
ในห้องทำงานท่านประธานเงียบสงบ เฉินเป่ยดื่มด่ำกับช่วงเวลาที่น่าพอใจด้วยกันกับท่านประธานเทพธิดาแบบเงียบๆ
ในขณะเดียวกัน จดหมายลึกลับฉบับหนึ่งกลับกำลังส่งผ่านช่องทางไปรษณีย์ เข้ามาในกล่องจดหมายท่านประธานของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป
หลีชิงเยียนกำลังจัดการเอกสารในห้องทำงานอยู่ ทันใดนั้นมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมาจากด้านนอก
“เข้ามา”
ประตูห้องทำงานผลักเปิดเบาๆ ภาพเงาคนที่งดงามก้าวเท้าเดินเข้าในห้องทำงาน
“ประธานหลีคะ มีจดหมายฉบับหนึ่งส่งให้คุณค่ะ” เลขาฯ เดินมาตรงหน้าโต๊ะทำงานอย่างเนิบๆ นำจดหมายที่ห่อพิเศษฉบับหนึ่งยื่นให้ในมือของหลีชิงเยียน
พอหลีชิงเยียนได้ยินก็ตะลึงเล็กน้อย เงยหน้าขึ้น รับจดหมายฉบับนั้นเข้ามาด้วยความสงสัย
“นี่คือใครส่งมา?”
เลขาฯ ส่ายหน้าเบาๆ “ไม่รู้ค่ะ…เพิ่งได้รับมาตอนเช้าค่ะ ไม่ได้ระบุผู้ส่ง”
เฉินเป่ยนั่งอยู่บนโซฟา แทะแอปเปิลอย่างนิ่งเฉย แต่ตอนที่สายตาของเขากวาดไปที่จดหมายฉบับนั้น…สายตาที่สงบนิ่งกลับแข็งทื่อเล็กน้อย
ตอนที่เห็นจดหมายฉบับนี้เข้า สายตาของเฉินเป่ยแข็งขึ้นมาแล้ว
นั้นคือซองจดหมายที่ดำล้วนซองหนึ่ง มันวาวไร้ที่เปรียบ แต่กลับมีสีดำที่เข้มมาก
บางทีคนอื่นอาจไม่รู้…แต่เขากลับรู้ถึงความหมายแฝงของซองจดหมายนี้
สีดำ สีที่มีเพียงอิทธิพลมืดถึงใช้งานกัน ซองจดหมายสีดำ หมายความว่าอะไร?
ทั่วทั้งโลกนี้ รูปแบบการส่งจดหมายที่อิทธิพลมืดต่างประเทศใช้งานกัน…นั่นคือการใช้ซองจดหมายสีดำสีเดียว
นี่…คือจดหมายของอิทธิพลต่างประเทศส่งมาฉบับหนึ่ง คนส่งจดหมายฉบับนี้…เป็นกลุ่มอิทธิพลมือต่างประเทศ
หลีชิงเยียนมองจดหมายในมือด้วยดวงตาสงสัย ลังเลอยู่หลายวินาที เธอจึงค่อยๆ ฉีกจดหมายออก
การห่อของจดหมายฉบับนี้งดงามแน่นหนามาก ใช้เชือกสีดำผูกขึ้นมา ล้วนแล้วแต่เป็นสีดำทั้งหมด ให้ความรู้สึกที่น่าประหลาดใจ
เธอฉีกซองจดหมายออกด้วยความระมัดระวัง นี่คือจดหมายพิเศษฉบับหนึ่ง ไม่มีตัวอักษรใดๆ มีเพียงเครื่องบันทึกเสียงอิเล็กทรอนิกส์ที่เล็กและบางมากชิ้นหนึ่ง
หลังจากฉีกซองจดหมายออก เปิดเครื่องบันทึกเสียงอิเล็กทรอนิกส์นั้น เสียงผู้ชายที่ขัดๆ ก็ลอยออกมาแล้ว
“หลีชิงเยียน ฉันคือสมาชิกแก๊งยามาโมโตะ…ยามาโมโตะเคน…มาที่หัวเซี่ยวันนี้ ได้รับคำเชิญของริชาร์ด เชิญเธอหกโมงเย็นวันนี้ มาที่โรงแรมให้ตรงเวลา การเข้าร่วมการเจรจาครั้งนี้…หากเกินเวลาจะไม่รอ!”
หลังจากได้ยินคำพูดนี้ ใบหน้าของหลีชิงเยียนแข็งทื่อขึ้นมา…แก๊งยามาโมโตะ? คาดไม่ถึงจะมีอิทธิพลที่น่าประหลาดใจปรากฏขึ้น โดยเฉพาะ…เป็นเพราะริชาร์ดอีกด้วย
สรุปว่าริชาร์ดคนนั้นอยากจะทำอะไร
ยังไม่จบไม่สิ้นอีก
“เธอเคยได้ยินชื่อแก๊งยามาโมโตะมั้ย?” หลีชิงเยียนมองทางเลขาฯ
เลขาฯ ได้ยินก็ตะลึง ส่ายหน้าด้วยความสงสัย “ไม่…ไม่เคยได้ยินค่ะ”
ความเคร่งขรึมในตาของหลีชิงเยียนนับวันยิ่งเข้มขึ้น…แก๊งยามาโมโตะชื่อนี้…เป็นอิทธิพลอะไรกัน? ส่งจดหมายฉบับหนึ่งให้ตนเองอย่างแปลกประหลาด ทั้งยังเอ่ยปากอยากเจรจาโดยตรงอีก? พูดได้ว่าช่างเผด็จการเกินไปแล้วมั้ง?
สุดท้ายหลีชิงเยียนกวาดสายตาไปทางเฉินเป่ยแล้วค่อยๆ ถามว่า “แก๊งยามาโมโตะกลุ่มนี้ นายรู้จักมั้ย?”
เฉินเป่ยนั่งบนโซฟาอย่างนิ่งเฉย หรี่ดวงตาขึ้นเล็กน้อย พยักหน้าแล้ว
หลีชิงเยียนอดตะลึงไม่ได้…เขายังรู้จักจริงด้วย?
จริงหรือเปล่าเนี่ย?
“อธิบายให้ฉันฟังหน่อยได้มั้ย? พวกเขาเป็นอิทธิพลแบบไหน?” หลีชิงเยียนถามขึ้น ในดวงตางดงามมีความตกใจและสงสัย
เฉินเป่ยค่อยๆ จุดไฟบุหรี่มวนหนึ่ง “แก๊งยามาโมโตะ…อิทธิพลเล็กๆ ในต่างประเทศกลุ่มหนึ่งเท่านั้นเอง…”
“อิทธิพลเล็กๆ ที่ต่างประเทศ?” หลีชิงเยียนได้ยินอดประหลาดใจไม่ได้ มองเขาด้วยความสงสัย
เฉินเป่ยลุกขึ้น รับจดหมายสีดำฉบับนั้นจากในมือของเธอ จากนั้นฉีกเป็นเศษกระดาษกองหนึ่งทันที ก่อนจะทิ้งลงในถังขยะ
“วางใจเถอะ เป็นแค่อิทธิพลนักเลงกระจอกเท่านั้น…ไม่ต้องสนใจพวกเขาหรอก” เฉินเป่ยค่อยๆ พ่นควันบุหรี่ออกมา พูดจาอย่างเป็นธรรมชาติ
เห็นว่าเฉินเป่ยพูดมาขนาดนี้ ใบหน้างดงามของท่านประธานเทพธิดาถึงผ่อนคลายลงมาหน่อย ช่วงนี้ความวุ่นวายของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปมากเกินไป เวลานี้ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาอีก…นี่ก็พอที่จะทำให้เธอยับเยินแล้ว แต่ท่านประธานเทพธิดายังคงกึ่งเชื่อกึ่งสงสัยอยู่บ้าง…รู้สึกว่าเฉินเป่ยเหมือนปิดซ่อนข้อมูลอะไร?
เลขาฯ ก้มตัวลงเบาๆ จากนั้นถอยออกไปแล้ว ตั้งแต่เข้ามาในห้องทำงาน…จนออกจากห้องทำงาน เลขาฯ ไม่ได้มองเฉินเป่ยสักนิด…ทั้งสองคนเหมือนกลายเป็นคนแปลกหน้ากันไปเลย
ในตาเฉินเป่ยมีความจำใจแวบผ่าน เขาบอกลาหลีชิงเยียนเช่นกัน จากนั้นกลับไปในห้องทำงานของตนเอง
หลังกลับมาถึงห้องทำงาน ชั่วขณะนั้นเฉินเป่ยเก็บอาการจำใจบนใบหน้าไว้ เปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมขึ้นมา
แก๊งยามาโมโตะ…คิดไม่ถึงว่าแม้แต่แก๊งยามาโมโตะยังมาที่หัวเซี่ยแล้ว สีหน้าของเฉินเป่ยเคร่งขรึมขั้นสุด นี่คือข่าวที่ไม่ดีเรื่องหนึ่ง เมื่อสักครู่เขาถึงไม่ได้เผยความเป็นจริงออกไปต่อหน้าหลีชิงเยียน
แก๊งยามาโมโตะ…คงไม่ใช่อิทธิพลกระจอกที่ต่างประเทศอะไร…แต่เป็นมหาอำนาจกลุ่มหนึ่ง องค์กรอิทธิพลมืดน่ากลัวที่มาจากประเทศญี่ปุ่น อิทธิพลของมันแผ่คลุมไปทั้งเอเชีย นี่…คือองค์กรยิ่งใหญ่ที่น่ากลัว
สายตาของเฉินเป่ยเคร่งขรึมไร้ที่เปรียบ…แก๊งยามาโมโตะปรากฏตัวที่หัวเซี่ยกะทันหัน นี่ทำให้เขาแปลกใจ แม้กระทั่งไม่ทันรับมืออยู่บ้าง เขานึกไม่ถึงว่า…เป็นเพราะริชาร์ด แก๊งยามาโมโตะถึงได้รีบมาที่เขตแดนหัวเซี่ยด้วยตนเอง หัวเซี่ยเป็นชาติที่ห้ามอิทธิพลมืด อิทธิพลมืดต่างประเทศไม่มีทางแทรกซึมแพร่กระจายอยู่ที่หัวเซี่ยได้ แม้กระทั่งยังเจอทางหัวเซี่ยซุ่มโจมตี แต่เวลานี้…แก๊งยามาโมโตะอิทธิพลมืดเหนือชั้นของประเทศญี่ปุ่นกลับมากะทันหัน นี่ทำให้เฉินเป่ยแอบรู้สึกกังวล
คิดถึงตรงนี้ เฉินเป่ยก็รีบตัดสินใจเด็ดขาด…โทรศัพท์เข้าไปหาซูเหลยแล้ว
“มีภารกิจมอบให้เธอ!” เฉินเป่ยพูดกับโทรศัพท์ เสียงเปลี่ยนมาจริงจัง
ในสายโทรศัพท์นั้น สาวงามผมสีทองอย่างซูเหลยกำลังอยู่ในตระกูลหลี…เฉินเป่ยโทรศัพท์เข้ามากะทันหัน เธอสำนึกได้ถึงความเคร่งเครียดของเรื่องราว จึงฟื้นคืนสีหน้าที่จริงจัง ขณะเดียวกันรีบเดินออกจากคฤหาสน์…
ซูเหลยมาที่สวนดอกไม้ที่ว่างและไร้ผู้คนแห่งหนึ่ง หลังตรวจดูว่ารอบด้านไม่มีใคร จึงสอบถามด้วยเสียงต่ำที่จริงจัง “มีอะไรแล้ว!”
“แก๊งยามาโมโตะมาที่หัวเซี่ยแล้ว กลัวว่าหลีชิงเยียนจะมีอันตราย เธอจะต้องมาคุ้มครองระวังสูงสุด ปกป้องความปลอดภัยของหล่อน!” เฉินเป่ยพูดจาเคร่งเครียดอย่างยิ่ง
“อะไรนะ? แก๊งยามาโมโตะ…พวกเขามาที่หัวเซี่ยแล้ว?” ซูเหลยได้ยินก็อดตกใจไม่ได้ “พวกเขาไม่กลัวทางการหัวเซี่ยโจมตีเข้าเหรอ?”
“แก๊งยามาโมโตะเข้ามาครั้งนี้ เป้าหมายแท้จริงคือบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปของหลีชิงเยียน เธอต้องคุ้มครองหล่อนให้รอบด้าน” เฉินเป่ยพูดกำชับ
“ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว!” ซูเหลยรับปาก
“ภารกิจติดตามยี่สิบสี่ชั่วโมง นั่นเป็นหน้าที่ของฉัน ส่วนเธอรับผิดชอบรักษาความปลอดภัยของคฤหาสน์ยามค่ำ” เฉินเป่ยค่อยๆ พูดขึ้น
ขณะนั่งอยู่ในห้องทำงาน สายตาเฉินเป่ยจริงจังอยู่บ้าง…วินาทีนี้ เขาได้กลิ่นของอันตรายนิดๆ…เพราะ…อิทธิพลต่างประเทศที่พวกนั้นยึดครอง ท้ายที่สุดก็ต้องเข้ามายุ่ง
แม้แต่อิทธิพลต่างประเทศยังแทรกแซงเลย…แล้วอิทธิพลของหัวเซี่ยนั้น…อิทธิพลของเยี่ยนจิงกลุ่มนั้น…ยังจะนั่งรอชมเฉยเหรอ? วิกฤติของหลีชิงเยียน…เกรงว่าจะมาถึงจริงๆ แล้ว อิทธิพลหัวเซี่ยซับซ้อนซ่อนเงื่อน…ยิ่งไปกว่านั้นยังมีอิทธิพลสารพัดจากต่างประเทศจ้องตาเป็นมัน สถานการณ์ของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปนี้อันตรายล่อแหลมอย่างหนัก