บทที่ 603 แผลเป็น
ข้อมูลที่ได้รับการป้องกันสูงสุดงั้นเหรอ เมื่อได้ยินเช่นนั้น โล่ก้วนจองถึงกับอึ้งไป สีหน้าของเขาซีดเผือดทันที เห็นได้ชัดว่าปากของเขากำลังสั่นเบาๆ
ตอนนี้ผู้บัญชาการคนนี้กำลังตกใจเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินคำว่าป้องกันสูงสุด นี่แสดงว่าตัวตนของเฉินเป่ยพิเศษเป็นอย่างมาก หรืออาจจะเกี่ยวข้องกับผู้มีอำนาจ!
เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากของโล่ก้วนจอง เขารีบสั่งให้ลูกน้องออกไป และรีบล็อกประตูห้องทำงานทันที
เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร เขาจึงหยิบมือถือออกมาอย่างลุกลี้ลุกลน และกดโทรออกไปหาใครคนหนึ่ง
“เหล่าหลัว เรื่องชักจะไม่ดีแล้วสิ” โล่ก้วนจองพูดกับปลายสายอย่างร้อนใจ
เมื่อได้ยินเช่นนั้น คนปลายสายอย่างหลัวห้าวหรานก็อึ้งไป “ผู้บัญชาการโล่ เรื่องอะไรไม่ดี คดีของเฉินเป่ยมีปัญหาเหรอ”
“เฮ้อ ปัญหาที่แก้ยากด้วยสิ…” โล่ก้วนจองไม่รู้จะอธิบายอย่างไรดี เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงพูดอย่างจริงจังว่า “ข้อมูลของเฉินเป่ยได้รับการป้องกันสูงสุด ไม่สามารถแตะต้องได้!”
“อะไรนะ!” คนปลายสายอย่างหลัวห้าวหรานขมวดคิ้วขึ้นมาทันที!
“เขาเป็นใคร” หลัวห้าวหรานถามอย่างจริงจัง ถ้าเฉินเป่ยเป็นคนใหญ่คนโต เรื่องนี้ต้องวุ่นวายแน่นอน คดีนี้จะไม่มีใครสามารถแตะต้องได้!
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน มันเป็นการป้องกันระดับสูงสุด ฉันจึงไม่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลได้” โล่ก้วนจองพูดอย่างเหนื่อยใจ
หลัวห้าวหรานเงียบไป
ผ่านไปนาน เขาจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ผู้บัญชาการโล่ อย่าเพิ่งกระวนกระวาย รออีกหน่อย”
…
ที่เมืองหู้ไห่ หู้นั่งจัดการเอกสารอยู่ในห้องทำงาน
จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หู้จึงรับสาย
“เป็นไง จัดการเรื่องของเฉินเป่ยเรียบร้อยแล้วใช่ไหม” หู้ถามอย่างราบเรียบ
“เจ้านายครับ เกิดเรื่องใหญ่กับเรื่องของเฉินเป่ยครับ” หลัวห้าวหรานเอ่ยขึ้น
“หา?” แววตาของหู้ลุ่มลึก เขาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น”
“ดูเหมือนว่าเฉินเป่ยจะไม่ใช่คนธรรมดาครับ” หลัวห้าวหรานเอ่ยขึ้น
คนปลายสายอย่างหู้ยังคงนิ่ง เขาพูดออกมาว่า “ว่ามา”
“โล่ก้วนจองบอกว่า ตอนที่เขาตรวจสอบข้อมูลของเฉินเป่ย พบว่าข้อมูลของเฉินเป่ยได้รับการป้องกันสูงสุด ตัวตนของเฉินเป่ย…”
หู้เงียบ แววตาของเขานิ่ง ผลดีและผลร้ายของเรื่องนี้แวบเข้ามาในหัวของเขา เขารีบตัดสินอย่างรวดเร็วว่าจะจัดการเฉินเป่ยหรือจะปล่อยเอาไว้
หลังจากเงียบอยู่นาน หู้จึงเอ่ยขึ้นว่า “บอกโล่ก้วนจองว่าให้เอาตัวเฉินเป่ยไปที่กักกัน”
สีหน้าของหลัวห้าวหรานจริงจังขึ้นทันที “เจ้านาย คุณจะฆ่า..”
หู้เอ่ยขึ้นว่า “พาตัวเขาไปก่อน ฉันมีแผนอยู่แล้ว บอกตระกูลหวางด้วยว่าอย่าเพิ่งรีบร้อนทำอะไร ให้รอก่อน” เมื่อพูดจบ เขาก็ตัดสายทันที
…
ในขณะเดียวกัน จากคำสั่งลับๆ ของหู้ ตำรวจในเมืองหู้ไห่ รีบดำเนินคดีดังกล่าวทันที
หลีชิงเยียนกับซูเหลยนั่งรออยู่ในสถานีตำรวจ ประธานเทพธิดาดูหดหู่และสีหน้าซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด สภาพของเธอดูสับสนไปหมด
ขณะนั้นก็มีตำรวจเดินเข้ามาพร้อมกับคำสั่งกักขัง
“คุณคือหลีชิงเยียนใช่ไหม” เจ้าหน้าที่ตำรวจยืนคำสั่งกักขังไปตรงหน้าของเธอ จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า “เฉินเป่ยตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมหลายคดี มันเป็นเรื่องที่โหดเหี้ยมและร้ายแรง ส่งผลกระทบต่ออย่างรุนแรง เราจะคุมตัวเขาไปที่สถานกักกันเพื่อรอคำตัดสินคดี นี่คือหนังสือแจ้งบุคคลในครอบครัว!”
เมื่อได้ยินสิ่งที่เจ้าหน้าที่พูด หลีชิงเยียนถึงกับชะงักไป เธอหน้าซีดเผือด
เธอรับคำสั่งกักขังด้วยสองมืออันสั่นเทา ตอนนี้สติของประธานเทพธิดากระเจิดกระเจิงไปหมดแล้ว นี่ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับวันนี้ การที่เฉินเป่ยต้องเปื้อนเลือดก็เพราะปกป้องเธอ ทั้งหมดมันเกิดขึ้นเพราะเธอ หลีชิงเยียนเอาแต่ตำหนิตัวเองในใจ เธอไม่สามารถระบายมันออกมาได้ ดวงตาคู่สวยแดงก่ำ น้ำตาไหลอาบแก้ม ประธานสาวสวยที่สามารถครองวงการธุรกิจได้ ตอนนี้เธอกลับร้องไห้สะอึกสะอื้น ใครเห็นก็อดสงสารไม่ได้
ซูเหลยทนดูต่อไปไม่ได้อีก เธอโอบไหล่ของหลีชิงเยียนเอาไว้ ตอนนี้ซูเหลยไม่เถียงกับเธออีกแล้ว และพูดปลอบเธอ
“วางใจเถอะ เฉินเป่ยจะต้องไม่เป็นอะไร คุณต้องเชื่อมั่นในตัวเขา” ซูเหลยพูดปลอบด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ ตอนนี้ซูเหลยพบว่า หลีชิงเยียนอาจจะรู้จักการใส่ใจจริงๆ ตอนที่เธอร้องไห้เพราะเฉินเป่ย บนโลกใบนี้จะมีผู้หญิงคนไหนร้องไห้ให้กับผู้ชายที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน
ผู้หญิงทุกคนปากร้ายแต่ใจดี
…
ภายในห้องขัง เฉินเป่ยนั่งอยู่บนพื้นอย่างสงบ ท่าทางของเขานิ่งเฉยเป็นอย่างมาก ราวกับไม่สนใจโทษที่ตัวเองได้รับ
ขณะนั้นก็มีตำรวจพร้อมอาวุธครบมือเดินเข้ามาด้วยท่าทีเย็นชา พวกเขาเปิดประตูห้องขังและใส่กุญแจมือกับโซ่ตรวนไว้ที่ขาของเฉินเป่ย
เฉินเป่ยถามอย่างยียวนว่า “นี่จะพาผมไปไหนอีกล่ะ”
“เลิกพูดไร้สาระ!” เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่ให้เหตุผลเขา สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา
เมื่อเฉินเป่ยถูกล็อกตัวไว้เรียบร้อย ตำรวจก็ค้นตัวเขา
ตำรวจคนหนึ่งถอดนาฬิกาดิจิตอลบนข้อมือของเฉินเป่ย และโยนมันเข้าไปในถุงใส่ของ
ส่วนตำรวจอีกคนก็ค้นตัวของเฉินเป่ยอย่างละเอียด โดยไม่ให้หลุดรอดไปแม้แต่นิดเดียว
จู่ๆ ตำรวจคนหนึ่งก็สัมผัสกับอะไรเย็นๆ ใต้ซี่โครงของเฉินเป่ย เขาเอาวัตถุเย็นๆ นั่นออกมาด้วยสีหน้าเย็นชา มันเป็นมีดสีดำที่ดูน่ากลัว
“ครอบครองอาวุธตามอำเภอใจ โทษหนักขึ้นอีก!” ตำรวจตวาดออกมา จากนั้นก็เอามีดหนักๆ โยนลงไปในถุงใส่ของ
เฉินเป่ยพูดอย่างยียวนว่า “ทางที่ดีพวกนายเอานาฬิกากับมีดไปให้หลีชิงเยียน…”
“บังอาจ! ตอนนี้นายเป็นนักโทษ ของในตัวนายล้วนเป็นของที่เกี่ยวข้องกับคดี ยังคิดจะเอาไปให้คนอื่นงั้นเหรอ ฝันไปเถอะ!” ตำรวจตวาดออกมาอย่างร้ายกาจ
เฉินเป่ยยกมุมปากขึ้น “ก็ได้ นายว่าไงก็ว่างั้น แต่ฉันจะเอาของพวกนี้กลับมาไม่ช้าก็เร็ว…”
เฉินเป่ยถูกค้นตัวและถ่ายรูป เขาถูกสแกนด้วยแสงอินฟราเรด จากนั้นก็โดนคลุมหัวด้วยหมวกไอ้โม่งสีดำ
เฉินเป่ยรู้สึกว่าเขาถูกพาตัวเขาไปในรถตำรวจ และรถก็เคลื่อนตัวออกไป
…
หลังจากผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมง รถตำรวจก็จอดลง
เฉินเป่ยถูกตำรวจคุมตัวลงจากรถ และพาตัวเข้าไปในห้องที่ค่อนข้างพิเศษห้องหนึ่ง
เฉินเป่ยยังไม่ได้ถอดสิ่งที่คลุมหัวเอาไว้ จู่ๆ ก็มีท่อนเหล็กกำลังจะฟาดลงมาทีหลังของเขา
เขาโดนคลุมหัวเอาไว้จึงมองอะไรไม่เห็น แต่ทว่าเขาสัมผัสได้ถึงการจู่โจมที่รวดเร็ว!
เฉินเป่ยหันตัวกลับมา และยกขาคู่ถีบออกไป
“ผลั่กกก” ชายคนนั้นถูกถีบจนกระเด็นออกไป เขาร้องโอดครวญออกมา
พวกตำรวจต่างพากันโมโห และพุ่งเข้ามาปล่อยหมัดใส่เฉินเป่ย เขาต้องสั่งสอนไอ้อาชญากรคนนี้ให้สาสม นี่เป็นคำสั่งของผู้บัญชาการโล่เมื่อครู่ ต้องสั่งสอนเฉินเป่ยให้สาสม สั่งสอนให้มันเกือบตาย!
“ผัวะๆๆๆ” เสียงร้องโอดครวญดังขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ตำรวจพวกนั้นยังไม่ทันได้เข้าใกล้เฉินเป่ย ก็โดนเขาถีบจนกระเด็นออกมา
ถึงแม้เฉินเป่ยจะถูกใส่กุญแจมือและโซ่ตรวนที่ขา ใบหน้าก็ถูกคลุมเอาไว้ แต่มันไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความสามารถของเขาเลยแม้แต่น้อย ทุกที่ที่เขาปล่อยทักษะออกไป เต็มไปด้วยเสียงร้องอันน่าเวทนา
หลังจากผ่านไปสิบนาที ผ้าคลุมหน้าของเขาถูกถอดออก พวกเจ้าหน้าที่ที่โดนเขาจัดการก็หายไปหมดแล้ว คนที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นบุคคลที่อยู่ในชุดยูนิฟอร์ม
เฉินเป่ยกวาดตามองไปรอบๆ จากนั้นจึงหัวเราะออกมา
สถานที่พิเศษงั้นเหรอ ไม่คิดว่าพวกนั้นจะพาเขามาขังไว้ที่นี่
ในเมื่อทำเช่นนั้น เฉินเป่ยก็ไม่สนใจอะไร ก็แค่สถานที่เล็กๆ ถ้าเขาจะออกไป ไม่มีใครบนโลกนี้ที่จะรั้งเขาเอาไว้ได้ แต่เขาไม่คิดที่จะออกไป เพราะอยากรู้ว่าคนพวกนั้นกำลังคิดอะไรอยู่
เฉินเป่ยโดนเจ้าหน้าที่คุมตัวเอาไว้ จากนั้นก็ค้นตัวเขาอีกครั้ง และให้เขาสวมชุดสีฟ้าทั้งตัว
เมื่ออยู่ในชุดสีฟ้าที่เป็นเสื้อผ้าที่พิเศษ เขาก็ถูกพาเข้าไปในสถานที่ที่มืดมิด
เมื่อเฉินเป่ยเห็นทางเดินที่มืดมิด เขาก็อดแสยะยิ้มออกมาไม่ได้ ในปีนั้นเขาถูกบีบบังคับให้ออกจากหัวเซี่ยจากการถูกเกลียดชังและการเข่นฆ่า ไม่คิดว่าภาพในปีนั้นจะหวนกลับมาอีกครั้ง นี่คือเมืองหู้ไห่ในตอนนี้อย่างนั้นหรือ สกปรกจนไม่อาจรับได้ พวกเขาสามารถใช้ทุกวิธีเพื่อเป้าหมายที่ต้องการ
เขาถูกพาตัวเข้ามาในห้องที่คับแคบ พวกที่นั่งอยู่บนเตียงพุผัง สวมชุดยูนิฟอร์มแบบเดียวกับเขา
เมื่อเห็นว่าเฉินเป่ยเดินเข้ามา พวกที่อยู่ข้างในเงยหน้าขึ้นอย่างประหลาดใจ และจ้องมายังเฉินเป่ย ความรู้สึกนี้ราวกับสัตว์ร้ายที่ไม่ได้กินเนื้อมาหลายปี จู่ๆ ก็ได้มาเจอกับเนื้อมนุษย์สดๆ
พวกนั้นแสยะยิ้มออกมาอย่างน่ากลัว พวกเขาไม่ได้เจอคนที่มาใหม่มานานแล้ว รอมาตั้งหลายเดือน ในที่สุดก็มาถึงสักที ผู้ที่มาใหม่เป็นเหมือนเครื่องมือที่ทำให้พวกเขาสบายใจ ความรู้สึกที่ผู้มาใหม่อยู่ใต้เท้าของพวกเขา มันช่างน่าตื่นเต้นเป็นอย่างมาก
หลังจากที่เฉินเป่ยถูกดันตัวเข้ามา เจ้าหน้าที่ก็ล็อกประตูทันที ที่นี่ช่างแตกต่างกับโลกภายนอกเป็นอย่างมาก
การมาถึงของเฉินเป่ย เรียกความสนใจและความอยากรู้อยากเห็นของคนพวกนั้นได้เป็นอย่างดี
“เฮ้ย ไอ้น้อง ทำผิดอะไรมาล่ะ” คนที่มีรอยสักเต็มตัวที่อยู่บนเตียงตะโกนถามขึ้น ท่าทางของเขาเกรี้ยวกราดราวกับสัตว์ร้าย
เฉินเป่ยไม่ได้สนใจเขา เขาค่อยๆ เดินไปที่มุมกำแพงและนั่งลง
เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่ไม่สนใจเขา ชายที่มีรอยสักก็โมโหขึ้นมาทันที “ไอ้เวรนี่ ไสหัวมานี่เลย”
เฉินเป่ยยังคงไม่สนใจพวกเขา เขาหลับตาลงอย่างเงียบๆ ที่มุมกำแพง
เมื่อเห็นว่าผู้มาใหม่กล้าที่จะไม่สนใจพวกเขาเช่นนี้ ความโกรธของชายที่มีรอยสักก็พลุ่งพล่านขึ้นมาทันที เขาทำงานรับใช้คนชั่วในนี้มาครึ่งปีแล้ว เขาเป็นพี่ใหญ่ในห้องนี้ ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของเขา แต่ทว่าตอนนี้ ผู้ที่มาใหม่กลับไม่สนใจเขา นี่กำลังลองดีกับอำนาจของเขาชัดๆ
ส่วนพวกคนที่อยู่รอบตัวของชายที่มีรอยสักก็เริ่มมีสีหน้าสะใจ พวกเขาโดนขังอยู่ในที่ที่ไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน เมื่อมีคนใหม่เข้ามาก็ถือว่าเป็นความสุขอย่างหนึ่งของพวกเขา ผู้มาใหม่กล้าเหิมเกริมต่อหน้าลูกพี่ นี่มันรนหาที่ตายชัดๆ
ชายที่มีรอยสักโกรธจนเลือดขึ้นหน้า เขากระโดดลงมาจากเตียงและเดินเข้ามาหาเฉินเป่ยอย่างหยิ่งผยอง
“เฮ้ย ฉันเรียกแกอยู่นะ ได้ยินไหม เงยหน้าขึ้นมาเดี๋ยวนี้! ” สีหน้าของชายที่มีรอยสักเหี้ยมโหดเป็นอย่างมาก
เฉินเป่ยยังคงนั่งหลับตาอยู่ที่มุมกำแพง โดยไม่สนใจชายที่มีรอยสัก
“ไอ้เวรนี่ ฉันพูดกับแกอยู่นะ!” ชายที่มีรอยสักยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่ เขาถ่มน้ำลายใส่หัวของเฉินเป่ย
“ถุย!” น้ำลายเหนียวข้นอยู่บนหัวของเฉินเป่ย มันเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
ขณะนั้นเฉินเป่ยค่อยๆ เงยหน้าขึ้น
“ไอ้เวรนี่ กล้าจ้องฉันเหรอ!” สีหน้าของชายที่มีรอยสักเต็มไปด้วยความโมโห เขาจะถ่มน้ำลายใส่เฉินเป่ยอีกรอบ
“ผัวะ” เฉินเป่ยเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว หมัดอันรุนแรงที่เต็มไปด้วยพละกำลังมหาศาลพุ่งไปที่อกของชายที่มีรอยสัก
“ตู้มม” พละกำลังอันมหาศาลทำให้ชายที่มีรอยสักกระเด็นออกไป ตัวของเขากระแทกเข้ากับกำแพงอย่างแรงจนกำแพงแตกออกมา
ฝุ่นลอยตลบอบอวลไปทั่ว หัวของชายที่มีรอยสักทะลุเข้าไปในกำแพง เลือดกบปาก เลือดสดๆ ไหลออกมาจากปากของเขาไม่หยุด
“น่ารำคาญ!” เฉินเป่ยดึงมือกลับมา สีหน้าของเขาเย็นชาเป็นอย่างมาก
ความเงียบปกคลุมไปทั่ว
ทุกคนตาพากันอ้าปากค้างและตัวแข็งเป็นหิน ลูกพี่ที่ถูกขนานนามว่าเป็นนักสู้อันดับหนึ่ง ถูกถีบจนกระเด็นแบบนั้น ให้ตายเถอะขนาดกำแพงยังยุบลงไปเลย โอ้โห!
ทุกคนที่อยู่ในห้องใจเต้นตึกตักเพราะตกใจเป็นอย่างมาก พละกำลังของไอ้หมอนี่มันเกินขีดจำกัดและเกินกว่าเหตุเป็นอย่างมาก
เฉินเป่ยหันกลับไปอย่างเย็นชา แต่ทว่าตัวของชายที่มีรอยสักกลับติดอยู่ในกำแพง ราวกับคนตายอย่างไรอย่างนั้น เลือดไหลออกมาไม่หยุด ภาพอันน่ากลัวทำให้คนในห้องเงียบลง ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาอีก
เฉินเป่ยเดินมายังฝักบัวอาบน้ำ เขาถอดเสื้อผ้าออก
ตอนที่เขาถอดเสื้อออก ความเงียบก็ปกคลุมขึ้นอีกครั้ง
ทุกคนพากันเบิกตาโพลง และเอาแต่จ้องผิวสีคล้ำ ร่างกายอันกำยำของเฉินเป่ย
บนตัวของเขามีรอยแผลเป็นมากมาย มันเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของปีศาจที่มาจากนรก!
ขณะนั้นสีหน้าของคนที่อยู่ในห้องก็เปลี่ยนไปทันที สีหน้าของพวกเขาซีดเผือดและหวาดกลัว นี่มันปีศาจชัดๆ!
เฉินเป่ยเปิดฝักบัว น้ำเย็นชะล้างลงมาตามร่างกายของเขา เขาหลับตาลงและนึกถึงผู้หญิงคนหนึ่ง หลีชิงเยียน ไม่รู้ว่าตอนนี้เธอเป็นอย่างไรบ้าง มีซูเหลยอยู่ด้วย เธอคงจะปลอดภัยดี…
เมื่ออาบน้ำเสร็จ เฉินเป่ยก็ใส่ชุดยูนิฟอร์ม จากนั้นจึงเดินมานั่งที่มุมกำแพง
ตอนนี้ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา ทุกคนพากันหลบอยู่บนเตียง เพราะกลัวว่าปีศาจจะโมโหขึ้นมา
ส่วนชายที่มีรอยสักยังคงติดอยู่ในกำแพง เลือดไหลออกมาจากปากไม่หยุด
ไม่กี่นาทีต่อมา เจ้าหน้าที่มาเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในห้อง
เจ้าหน้าที่หลายคนพุ่งเข้ามาพร้อมกับกระบองไฟฟ้าในมือ อากาศในห้องเย็นยะเยือก
เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นชายที่มีรอยสักติดอยู่ในกำแพง ก็ตกใจจนขมวดคิ้วขึ้น นี่มันน่ากลัวเป็นอย่างมาก
นี่เป็นคดีฆาตกรรมร้ายแรงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
พยาบาลรีบวิ่งเข้ามา และนำตัวของชายที่มีรอยสักออกมาอย่างระมัดระวัง ตอนนี้เขาหายใจรวยรินและมีเลือดไหลออกมาจากปากไม่หยุด มันเป็นเลือดสดๆ ที่น่ากลัว
“ใครเป็นคนทำ!” เจ้าหน้าที่มีกระบองไฟฟ้าอยู่ในมือ สีหน้าเต็มไปด้วยความโมโห กล้าทะเลาะกันในสถานกักกันโดยไม่มีความเกรงกลัว แถมยังทำให้คนอยู่ในสภาพแบบนี้อีก นี่มันบังอาจมาก!
ทั้งห้องถูกปกคลุมไปด้วยความเงียบ ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมา
คนที่อยู่ในห้องพากันมองไปทางเฉินเป่ยที่อยู่มุมกำแพงอย่างกล้าๆ กลัวๆ เหมือนต้องการบอกอะไรบางอย่าง
เจ้าหน้าที่โมโหเป็นอย่างมาก และเดินเข้าไปหาเฉินเป่ยทันที
“นายเป็นคนก่อเรื่องใช่ไหม” เจ้าหน้าที่ตวาดออกมา
เฉินเป่ยพยักหน้าช้าๆ
“ลุกขึ้นมา!” เจ้าหน้าที่เข้ามาล้อมตัวเฉินเป่ยเอาไว้
จู่ๆ ราวกับในอากาศเต็มไปด้วยแรงอาฆาต
เฉินเป่ยไม่ได้ขัดขืนใดๆ เขาค่อยๆ ลุกขึ้นมา
“นายเอาความกล้ามาจากไหน ถึงได้กล้าทำร้ายคนในนี้!” สีหน้าของเจ้าหน้าที่โมโหเป็นอย่างมาก เขาจ้องด้วยความโกรธ
ยังไม่เคยมีใครกล้าเหิมเกริมในสถานกักกันแห่งนี้ กล้าสร้างความวุ่นวายในนี้ นี่มันเป็นการละเมิดกฎเหล็กของที่นี่!
“เขามายั่วโมโหผมก่อน” เฉินเป่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
“บังอาจ! นี่นายยังกล้าเถียงเหรอ” เจ้าหน้าที่เห็นเฉินเป่ยกล้าเถียงออกมา ก็ยิ่งโมโหเข้าไปใหญ่
กระบองในมือมีเสียงไฟฟ้าดังขึ้น ราวกับจะช็อตคนที่อยู่ตรงหน้า
เฉินเป่ยยังคงนิ่ง จู่ๆ เขาก็ยื่นมือออกมา ขณะที่เจ้าหน้าที่กำลังตกตะลึง เฉินเป่ยก็ยื่นมือไปจับกระบองไฟฟ้าที่กำลังมีไฟฟ้าไหลเวียนอยู่
“กรอบบ” เสียงแตกดังขึ้น
กระบองไฟฟ้าที่น่ากลัวโดนเขาหักจนแตกละเอียด