บทที่ 602 ตัวตน
โล่ก้วนจองยืนข้างจางจื่อหลาน และถามอย่างจริงจังว่า “คุณจาง ตอนนี้เรากำลังทำการชี้ตัวผู้ต้องสงสัย ผมขอสอบถามหน่อยว่าตอนนั้นคุณอยู่ในที่เกิดเหตุไหม”
สีหน้าของจางจื่อหลานสับสน หลังจากที่เธอมองกระจกนิรภัย ใบหน้าร้ายกาจของชายคนนั้น ตอนนี้เธอมาเจอผู้ชายคนนี้ ความสับสนก่อตัวขึ้นในใจอีกครั้ง คืนนั้นเฉินเป่ยทำให้เธอตกใจเป็นอย่างมาก มันเหมือนกับผลกระทบที่ตามมา ทำให้เธอไม่กล้าเผชิญหน้า…
ภายในห้องลับในห้องชี้ตัว กล้องวงจรปิดได้บันทึกภาพไว้ทั้งหมด ตำรวจสองนายกำลังตั้งใจจดบันทึกอยู่ข้างๆ ทั้งหมดกำลังรอให้จางจื่อหลานระบุตัวเท่านั้น ถ้าจางจื่อหลานพยักหน้า คดีนี้ก็จะสำเร็จในทันที
ภายในห้องแยกตัว เฉินเป่ยนั่งนิ่งอยู่อย่างนั้น เขามองกระจกห้องสืบสวนด้วยแววตาเรียบเฉยราวกับว่าเห็นเงาที่สะท้อนออกมาจากกระจกนิรภัยอย่างไรอย่างนั้น
จางจื่อหลานกัดฟัน ราวกับว่าเธอกำลังลังเล เธอรู้ดีว่าหลังจากที่เธอพยักหน้า จะเกิดอะไรขึ้น เฉินเป่ยก็จะถูกตัดสินโทษ แต่โทษนานเท่าไร มันไม่ใช่เรื่องที่กฎหมายจะตัดสินได้
เพราะว่าเบื้องหลังมีคนค่อยสนับสนุน เธอรู้ดีว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของบอสตัวเอง
จางจื่อหลานจ้องเฉินเป่ยอยู่นาน จากนั้นเธอจึงละสายตาออก พยักหน้าช้าๆ และพูดว่า “ใช่”
โล่ก้วนจองปรบมือทันที
“ดี! มีพยานบุคคลแล้ว!”
โล่ก้วนจองมีสีหน้าร้ายกาจ จางจื่นหลานยอมรับ พยานบุคคลชัดเจนขนาดนี้ สามารถระบุข้อหาของเฉินเป่ยได้โดยตรง ข้อหานี้ถึงเขาจะโต้แย้งแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์! ถ้ามีพยานบุคคล ทุกอย่างก็สามารถสรุปได้แล้ว
หลังจากที่จางจื่อหลานระบุตัวเสร็จ ตำรวจสองนายก็พาเธอออกจากห้องชี้ตัว ตอนที่เธอออกไป แววตาของเฉินเป่ยก็มองตามเงาของเธอ แววตาของเขาลุ่มลึก
โล่ก้วนจองเข้ามาในห้องแยกตัวพร้อมกับเอกสารปึกหนา เขาฟาดเอกสารลงข้างหน้าเฉินเป่ยอย่างแรง
“เฉินเป่ย จากการชี้ตัวของจางจื่อหลาน ยืนยันว่านายคือคนร้ายในคดีนี้ มีพยานบุคคลชัดเจน นายยังจะเถียงอีกไหม” น้ำเสียงของโล่ก้วนจองเย็นชาและแข็งกร้าวราวกับถามแกมบังคับ
เฉินเป่ยช้อนตาขึ้นมอง เขาจ้องไปในตาของโล่ก้วนจองนิ่งๆ จากนั้นก็หัวเราะออกมา จนทำให้รู้สึกประหลาดใจ
โล่ก้วนจองตบโต๊ะอย่างแรง และพูดด้วยความโมโหว่า “นายจะยอมรับหรือไม่ยอมรับ!”
เฉินเป่ยมองเขาอย่างยียวน “ผู้บัญชาการโล่ คุณว่าผมจะยอมรับหรือไม่ยอมรับดีล่ะ”
สีหน้าของโล่ก้วนจองดุร้าย เขาแผดเสียงออกมาว่า “ไม่ยอมยังไงก็ต้องยอม มีพยานบุคคลชัดเจน นายจะโต้แย้งยังไงอีก”
แววตาของเฉินเป่ยลุ่มลึก เขาพยักหน้าแล้วพูดเนิบๆ “ได้ งั้นผมยอมรับ”
โล่ก้วนจองอึ้งไป ราวกับเขาตั้งตัวไม่ทัน ยอมรับแล้ว ทำไมถึงเร็วขนาดนี้ เขาถามออกมาอย่างไม่รู้ตัวอีกครั้ง “นายถูกสงสัยว่าพยายามข่มขืนจางจื่อหลาน นายยอมรับแล้วเหรอ”
“ยอมรับ” เฉินเป่ยพูดออกมา
เมื่อได้ยินเฉินเป่ยยอมรับจากปากของตัวเอง ความร้ายกาจฉายออกมาทางใบหน้าของโล่ก้วนจง ในที่สุดก็ยอมรับแล้ว ในเมื่อเฉินเป่ยยอมรับก็อย่าหวังว่าจะได้ออกไปจากที่นี่ตลอดชีวิต
โล่ก้วนจองมองเฉินเป่ยอย่างมีเลศนัย จากนั้นจึงหยิบเอกสารและรีบเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
โล่ก้วนจองเดินมาที่ฝ่ายควบคุมกล้องวงจรปิด เขาสั่งให้ลูกน้องเอาภาพวิดีโอตอนที่เฉินเป่ยยอมรับผิดออกมา
เมื่อเห็นภาพที่เฉินเป่ยพยักหน้ายอมรับผิด โล่ก้วนจองหรี่ตาลงและแสยะยิ้มออกมา เฉินเป่ย ในที่สุดแกก็มาอยู่ในมือของฉัน ฉันจะสอนให้แกรู้จักกับคำว่าหมดหนทาง!
“เลือกคนที่เก่งด้านเทคนิคที่สุดในสถานีตำรวจมาให้ฉัน ฉันจะตกแต่งวิดีโอ” โล่ก้วนจองพูดออกมา
ตำรวจคนนั้นอึ้งไป จากนั้นจึงพูดขึ้นว่า “ผู้บัญชาการโล่ วิดีโอนี้เป็นภาพความละเอียดสูงอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องตกแต่ง…”
โล่ก้วนจองหรี่ตาลง เขาพูดด้วยน้ำเสียงยืดยาน “ไม่ สิ่งที่ฉันต้องการจะทำคือการตกแต่งแบบอื่น…”
…
ตอนนี้ก็สี่ทุ่มแล้ว หลีชิงเยียนกับหลีหยางนั่งเป็นกังวลอยู่ในสถานีตำรวจ สองพ่อลูกกำลังรอข่าวของเฉินเป่ย…
ทีมทนายความเจรจาอย่างจริงจัง แต่ทั้งหมดมันกลับไร้ประโยชน์ สถานีตำรวจทำตามขั้นตอนของกฎหมาย เมื่อสอบปากคำเสร็จสิ้น และหลังจากที่เฉินเป่ยได้รับการยืนยันว่าบริสุทธิ์ ถึงจะช่วยเหลือได้!
ซูเหลยนั่งนิ่งๆ อยู่ด้านข้าง ราวกับไม่สนใจเรื่องที่เฉินเป่ยโดนจับ
ขณะนั้นเอง มีตำรวจเดินออกมาจากข้างใน
หลีชิงเยียนรีบลุกขึ้นมาทันที เธอถามอย่างเป็นกังวลว่า “คุณตำรวจ เฉินเป่ยเป็นยังไงบ้าง จะปล่อยตัวเขาตอนไหนคะ”
“ปล่อยตัว? หึ คงไม่ต้องรอแล้วล่ะ!” เจ้าหน้าที่ตำรวจยื่นหนังสือแจ้งการจับกุมไปตรงหน้าของหลีชิงเยียนด้วยสีหน้าเย็นชา “ตอนนี้เฉินเป่ยสารภาพออกมาแล้ว! คุณเป็นญาติเขาใช่ไหม กรุณาเซ็นชื่อตรงนี้ด้วย!”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลีชิงเยียนหน้าซีดเผือด เธอตัวสั่นเบาๆ และงงไปหมด
เขาเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดนี่จริงเหรอ!
หลีหยางสีหน้าเคร่งขรึม เขาพูดออกมาว่า “เป็นไปไม่ได้ เจ้าเฉินจะทำผิดแบบนี้ได้ยังไงกัน พวกคุณเข้าใจผิดหรือเปล่า”
ตำรวจจ้องหลีหยางด้วยสายตาเย็นชา “คุณกำลังสงสัยการทำคดีของเราอย่างนั้นเหรอ”
“ฉันไม่เชื่อว่าเจ้าเฉินจะทำเรื่องแบบนี้!” หลีหยางพูดด้วยความโมโห
สีหน้าของตำรวจเย็นชา “พยานบุคคลยืนยันแล้ว ผู้ต้องสงสัยก็สารภาพออกมาจากปากของตัวเอง มีแต่คุณที่ไม่เชื่อ!”
เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของหลีหยางเปลี่ยนไปทันที เฉินเป่ย…สารภาพอย่างนั้นเหรอ??
หลีชิงเยียนหน้าซีดเผือด ตอนนี้แววตาของเธอเต็มไปด้วยความสับสน เหมือนเธอจะคิดอะไรได้ เมื่อกี้เธอเห็นจางจื่อหลานเดินเข้ามาในสถานีตำรวจ จากนั้นก็รีบออกไป อย่าบอกนะว่า…ความเป็นไปได้อย่างหนึ่งที่เธอไม่อยากจะยอมรับมัน ลอยเข้ามาในหัวของเธอ…
ตอนนี้หลีชิงเยียนก่นด่าเฉินเป่ยอยู่ในใจ แต่ทว่าดวงตาของเธอค่อยๆ แดงขึ้น มันคือความตื่นตระหนกในใจ ความกังวลและความกลัว เธอกลัวว่าเฉินเป่ยจะออกมาไม่ได้อีก แล้วจะทำยังไง
“พอเถอะ รีบเซ็นชื่อ” ตำรวจพูดอย่างเหลืออด
หลีชิงเยียนมือสั่น เธอเซ็นชื่อลงไปในหนังสือแจ้งการจับกุม ตอนนี้จิตใจของเธอว้าวุ่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนนี้เธอไม่มีแม้แต่ความนิ่ง เธอแทบจะเสียสติไปแล้ว
หลีหยางเดินมาตรงหน้าลูกสาวด้วยสีหน้าสับสน เขาตบบ่าลูกสาวเบาๆ “ชิงเยียน เรากลับกันก่อนเถอะ… พรุ่งนี้พ่อจะไปคุยกับหัวหน้าสถานีตำรวจอีกครั้ง ลูกวางใจเถอะ พ่อจะช่วยเฉินเป่ยออกมาให้ได้”
ดวงตาของหลีชิงเยียนแดงก่ำ ตาคู่สวยพร่าเลือนไปหมด
“พ่อกลับไปก่อนเถอะค่ะ หนูจะอยู่รอเขาที่นี่…” หลีชิงเยียนพูดอย่างเป็นกังวล
“แต่ว่า..ลูกอยู่ที่นี่ก็ไม่มีประโยชน์อะไร เฉินเป่ยเป็นแบบนี้ ลูกต้องยิ่งดูแลตัวเองให้ดี..ตอนนี้เมืองหู้ไห่อันตรายมาก ความปลอดภัยของลูกสำคัญที่สุด” หลีหยางเอ่ยเตือน
ขณะนั้นเอง ซูเหลยลุกขึ้นช้าๆ เธอโน้มหน้าไปที่ข้างหูของหลีชิงเยียน และพูดเบาๆ ว่า “อย่ากังวลเลย ราชาหลงจะต้องไม่เป็นอะไร”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หลีชิงเยียนก็ชะงักไป ราชาหลง? เธอได้ยินชื่อนี้อีกแล้ว ชื่อนี้มันหมายความว่าอะไร ทำไมซูเหลยถึงทำท่าเหมือนมีอะไรบางอย่าง
ถึงจะสงสัย แต่หลังจากที่หลีชิงเยียนได้ยินชื่อนี้ เธอก็รู้สึกมั่นใจขึ้นเยอะ
สุดท้ายหลีชิงเยียนก็ออกจากสถานีตำรวจไปพร้อมกับพ่อ โดยมีซูเหลยดูแลความปลอดภัยของพวกเขาตลอดทาง
…
กลางดึก ภายในห้องเทคนิคของสถานีตำรวจ พนักงานเทคนิคกลุ่มหนึ่งกำลังจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์และตั้งใจจัดการกับวิดีโอ
โล่ก้วนจองยืนอยู่ข้างๆ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความร้ายกาจ ตอนนี้เขาโหดเหี้ยมจนน่ากลัว
พนักงานเทคนิควุ่นวายอยู่หน้าคอมหลายชั่วโมง จึงจัดการรายละเอียดในวิดีโอเสร็จเรียบร้อย
“ผู้บัญชาการโล่ คุณดูวิดีโอหลังจากที่ตัดต่อเสร็จ เป็นไงครับ” พนักงานเทคนิคเปิดภาพจากกล้องวงจรปิดที่ได้ทำการตัดต่อใหม่ทั้งหมด
ในวิดีโอยังเป็นภาพที่เฉินเป่ยนั่งอยู่ในห้องแยกตัว และพยักหน้ารับสารภาพ
แต่ว่าภาพในวิดีโอบางส่วนถูกตัดออก และกลายเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดที่ตัดต่อใหม่ทั้งหมด!
ให้พูดง่ายๆ ก็คือเป็นวิดีโอจากกล้องวงจรปิดปลอม! หลักฐานปลอมที่นำมาจับตัวคนผิด!
โล่ก้วนจองจ้องวิดีโออยู่นาน และถามด้วยแววตาลุ่มลึก “รายละเอียดการตัดต่อเป็นยังไงบ้าง จะโดนจับได้หรือเปล่า”
พนักงานเทคนิคพูดอย่างมั่นใจว่า “วางใจเถอะครับผู้บัญชาการโล่ เราใช้คุณสมบัติจำนวนเฟรมภาพที่สูงมาก ถ้าไม่ใช่คนที่เชี่ยวชาญก็จะแยกแยะไม่ออกว่าเป็นวิดีโอจริงหรือปลอม!”
โล่ก้วนจองพยักหน้า ความร้ายกาจฉายออกมาทางแววตาของเขา เรื่องวันนี้ยังไม่จบ เขาให้เฉินเป่ยรับสารภาพก่อน จากนั้นก็เป็นวิดีโอที่เฉินเป่ยพยักหน้ารับสารภาพ วิดีโอนี้สำคัญมาก มันเป็นหลักฐานในชั้นศาลได้ ถึงเฉินเป่ยจะปฏิเสธก็ไร้ประโยชน์!
จากนั้นก็คือความโหดเหี้ยมของเขา เขาตัดต่อวิดีโอที่เฉินเป่ยรับสารภาพผิดในช่วงไม่กี่วินาที และรวมเป็นภาพวิดีโอจากกล้องวงจรปิดใหม่ทั้งหมด
วิดีโอจากกล้องวงจรปิดที่ถูกตัดต่อใหม่เป็นภาพที่เฉินเป่ยยอมรับสารภาพคดีฆาตกรรมร้ายแรงอีกด้วย นี่มันเป็นการตัดต่อเข้าไป และเป็นการสร้างหลักฐานปลอม!
เฉินเป่ยนั่งนิ่งอยู่ที่มุมกำแพงในห้องขัง เขามองห้องขังที่เย็นยะเยือกไร้จิตใจ เขาอดแสยะยิ้มออกมาไม่ได้ หัวเซี่ยอันสูงส่งกลับเน่าเฟะ เจ้าหน้าที่ในเมืองหู้ไห่อันสูงส่ง ก็เน่าเฟะจนถึงจุดนี้ เขาเศร้าใจเป็นอย่างมาก
เขาไม่ได้กินอะไรมาหนึ่งวันเต็ม แต่เรื่องนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับเขา เพราะในปีนั้นตอนที่เขาดักซุ่มหัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายที่ทะเลทรายซาฮารา เขาซ่อนตัวอยู่เจ็ดวันเจ็ดคืนโดยไม่ได้ทานอะไรเลย เพราะฉะนั้นเมื่ออยู่ในสถานการณ์เล็กน้อยแค่นี้เขาจึงอดทนได้ ถ้าให้เทียบกับสิ่งที่เคยเจอมา ห้องขังที่นี่ยังดีกว่าเป็นไหนๆ
ในเมื่อตัดสินใจทำลงไปแล้วก็ต้องยอมรับ คืนนี้คงจะออกไปไม่ได้ งั้นก็รอคอยอย่างสงบก็แล้วกัน เขาเอนตัวนอนลงบนพื้นเย็นๆ และหลับไป…
คืนนี้มีทั้งคนที่ตื่นเต้น และมีทั้งคนที่นอนไม่หลับ
หลีชิงเยียนขดตัวอยู่บนเตียงนุ่ม ผมเผ้ายุ่งเหยิง เธอเอาแต่พลิกตัวไปมา เพราะไม่สามารถหลับลงได้ ทุกครั้งที่เธอหลับตา ภาพที่เฉินเป่ยถูกจับก็จะลอยเข้ามาในหัวของเธอ เธอเป็นกังวลว่าเฉินเป่ยจะออกมาไม่ได้จริงๆ ถ้าเป็นเช่นนั้น เธอจะทำอย่างไร
บางครั้งเมื่อใครบางคนอยู่ข้างๆ เราจะไม่เห็นถึงความสำคัญของเขา แต่เมื่อวันหนึ่งเขาหายไปจากโลกของเรา เราถึงจะพบว่าเขาสำคัญกับเราขนาดไหน
หลีชิงเยียนก็ไม่รู้ว่าทำไมถึงเป็นห่วงเฉินเป่ย เธอชินกับการมีเขาอยู่ข้างกายทุกวัน จู่ๆ เขาหายไปแบบนี้ มันทำให้เธอว้าวุ่นมาก
…
พระอาทิตย์ขึ้นต้อนรับวันใหม่ในเมืองหู้ไห่
หลีชิงเยียนนอนไม่หลับทั้งคืน ดวงตาคู่สวยมีรอยคล้ำและเหนื่อยล้า เธอรีบแต่งตัวจนถึงขนาดที่ไม่ได้แต่งหน้า และขับรถมายังสถานีตำรวจพร้อมซูเหลย
หลีชิงเยียนติดต่อคนที่รู้จักและใช้เส้นสาย เธอพยายามช่วยเฉินเป่ยออกมาอย่างสุดความสามารถ
ที่สถานีตำรวจเมืองหู้ไห่ เฉินเป่ยบิดขี้เกียจ จากนั้นจึงลุกขึ้นจากพื้นเย็นๆ ในห้องขังด้วยความสบายใจ เมื่อคืนเขาหลับสบายมาก จนไม่รู้สึกถึงความผิดปกติใด
ช่วงเช้าเขาก็ยังไม่ได้ทานอาหารเช้า เฉินเป่ยก็ไม่สนใจ อีกอย่างร่างกายของเขาก็ทนกับความหิวได้ดีอยู่แล้ว ก็แค่ไม่ได้กินข้าวไม่กี่วัน ไม่ได้ส่งผลอะไรกับเขาอยู่แล้ว
หลีชิงเยียนเอาอาหารเช้าร้อนๆ มาให้เฉินเป่ยตั้งแต่เช้า แต่ทว่าอาหารเช้าไม่ทันได้ถึงมือเฉินเป่ยก็ถูกโยนลงถังขยะ
เฉินเป่ยยืดเส้นยืดสายอยู่ในห้องขัง ราวกับไม่สนใจคดีใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับตัวเองอย่างไรอย่างนั้น เขานิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น และยังดำเนินชีวิตอย่างปกติ
ขณะนั้นประตูห้องขังถูกเปิดออกอย่างแรง
เจ้าหน้าที่สองสามคนเดินเข้ามาด้วยสีหน้าเย็นชา พวกเขายื่นหนังสือแจ้งการจับกุมไปตรงหน้าเฉินเป่ย
“เฉินเป่ย จากการที่นายยอมรับสภาพเรื่องที่พยายามข่มขืนกับเรื่องคดีฆาตกรรมร้ายแรงเมื่อคืน ต้องจับกุมตัวนาย นายยอมรับสารภาพหรือเปล่า” สีหน้าของเจ้าหน้าที่ดุดันเป็นอย่างมาก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินเป่ยหรี่ตาลง
เขาถามอย่างยียวนว่า “ก่อคดีฆาตกรรมงั้นเหรอ ทำไมเมื่อคืนผมจำไม่ได้ว่ารับสารภาพเรื่องนี้ด้วย”
“หลักฐานชัดเจน นายดิ้นไม่หลุดหรอก นายจะเงียบต่อไปก็ได้ แต่ทุกคำพูดของนายจะใช้เป็นหลักฐาน!” เจ้าหน้าที่ด้วยสีหน้าเกรี้ยวกราด
เฉินเป่ยมองพวกเขานิ่ง “พวกคุณบอกว่าเมื่อคืนผมรับสารภาพ ไหนหลักฐานล่ะ ระบบอันสูงส่งของพวกนายเขาทำกันแบบนี้เหรอ”
เจ้าหน้าที่หน้าเข้มขึ้นมาทันที เขาล้วงมือถือออกมา จากนั้นจึงเปิดคลิปวิดีโอที่ได้รับการตัดต่อคลิปนั้น
เมื่อเห็นวิดีโอที่ถูกตัดต่อ เฉินเป่ยหรี่ตาลง จากนั้นก็หัวเราะออกมา
“ไม่เลวนิ สกิลการตัดต่อวิดีโออยู่ในขั้นชำนาญเลยทีเดียว ฉันสบประมาทความสามารถของพวกนายไปจริงๆ ฉันยอมแพ้…” รอยยิ้มของเฉินเป่ยแฝงด้วยความเย้ยหยัน
“บังอาจ! สถานีตำรวจใช่ที่ที่นายจะมาเหิมเกริมได้หรือไง พยานบุคคลชัดเจน นายรับสารภาพจากปากของตัวเอง แล้วยังจะเถียงแบบนี้อีกเหรอ” เจ้าหน้าที่กดเสียงต่ำพูดกับเฉินเป่ย ราวกับกำลังยั่วโมโหเขาอยู่
“โล่ก้วนจองล่ะ ผมอยากเจอเขา” เฉินเป่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
“นายคงจะไม่มีโอกาสนั้นแล้วล่ะ รอรับโทษตามกฎหมายเถอะ!” เจ้าหน้าที่มองเฉินเป่ยด้วยแววตาเยาะเย้ย แววตาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ แค่คนร้ายกระจอก มีโทษกระทำผิดอย่างชัดเจน หนทางเดียวที่เขาต้องเจอคือควายตายเท่านั้น
เฉินเป่ยสูดหายใจ จากนั้นเขาก็หมุนมือไปมาอย่างรวดเร็ว
“ตู้มมม” หมัดของเขาปะทะเข้ากับลูกกรงในห้องขังอย่างรุนแรง
ลูกกรงเหล็กถูกเขาต่อยจนหักออกจากกัน
สีหน้าของเจ้าหน้าที่เปลี่ยนไปในทันที พวกเขาพากันถอยหลังด้วยความตกใจ
จากนั้นเจ้าหน้าที่พร้อมอาวุธครบมือที่อยู่ด้านนอกก็วิ่งเข้ามา กระบอกปืนนับไม่ถ้วนเล็งมาที่ตัวของเฉินเป่ย
“อย่าขยับ! ยกมือขึ้น!”
เฉินเป่ยกวาดตามองพวกเขาด้วยสายตาเย็นชา เขาแสยะยิ้มออกมา จากนั้นจึงยกมือทั้งสองข้างขึ้นด้วยท่าทีนิ่งเฉย เขาเอามือทั้งสองข้างจับไว้หลังศีรษะ เขาอยากรู้ว่าโล่ก้วนจองจะเล่นอะไรอีก
ภายในสถานีตำรวจ โล่ก้วนจองนั่งอยู่ในห้องทำงาน เขาคาบซิก้าร์เอาไว้ที่ปาก สีหน้าเต็มไปด้วยความร้ายกาจ วันนี้เขาทำคดีใหญ่ได้สำเร็จ!
ทันใดนั้น ลูกน้องคนหนึ่งวิ่งกุลีกุจอเข้ามาในห้องทำงาน
“ผู้บัญชาการโล่ กลัวว่าเฉินเป่ย…” น้ำเสียงของลูกน้องตะกุกตะกัก
โล่ก้วนจองอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงถามขึ้น “กลัวว่าเฉินเป่ยทำไม”
“กลัวว่าเราจะไม่มีสิทธิ์ตัดสินโทษเฉินเป่ยครับ..” ลูกน้องลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จึงพูดออกมา
สีหน้าของโล่ก้วนจองนิ่งขึ้นทันที เขาพูดอย่างโมโหว่า “ใครบอก หลักฐานจากพยานบุคคล คำรับสารภาพ วิดีโอที่เขารับสารภาพด้วยตัวเองก็มี ทำไมถึงจะไม่มีสิทธิ์ตัดสินโทษ!”
“ผู้บัญชาการโล่ เฉินเป่ย…เขา…” สีหน้าของลูกน้องกระอักกระอ่วน เขาพูดอย่างหวาดระแวงว่า “ข้อมูลของเขาเป็นข้อมูลที่ได้รับการปกปิดแบบลับสุดยอด คนในสถานีตำรวจของเราไม่มีสิทธิ์เขาไปจัดการครับ…”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซิการ์ที่คาบอยู่ที่ปากของโล่ก้วนจองร่วงลงพื้น เขางงไปหมด
“นายว่าอะไรนะ!”
ลูกน้องโค้งให้เขา และพูดอธิบายอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ตอนแรกเราได้หลักฐานและข้อมูลการกระทำผิดของเขา และจะส่งให้สำนักอัยการตัดสินโทษของเขา แต่ว่าเมื่อเราเข้าไปในฐานข้อมูลของเขากลับพบว่าระดับการป้องกันของมูลของเขาสูงมาก ข้อมูลที่พิเศษแบบนี้ พวกเราไม่มีสิทธิ์ไปแตะต้อง และไม่กล้าแตะต้องด้วยครับ”