สายเปย์เบอร์หนึ่ง – ตอนที่ 601

ตอนที่ 601

บทที่ 601 นิ่งหน่อย

เฉินเป่ยค่อยๆ พ่นควันออกมา จากนั้นจึงยิ้มออกมา

พวกตำรวจเหมือนกำลังเผชิญหน้ากับศัตรูที่แข็งแกร่ง ปืนทั้งหมดเล็งไปที่ตัวเฉินเป่ย หมายเอาชีวิตของเขา!

สีหน้าของสวีปินไห่เคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขาเป็นตำรวจมาก็หลายปี เจอคนร้ายมามากมาย แต่เฉินเป่ยคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาในตอนนี้ ทำให้เขารู้สึกกลัวอย่างประหลาด เพราะเฉินเป่ยนิ่งมาก นิ่งจนไม่เหมือนคนที่ทำผิด!

ถามหน่อยเหอะ ผู้ร้ายคนไหนที่ยืนเผชิญหน้ากับตำรวจและอาวุธมากมายขนาดนี้แล้วยังยิ้มได้อีก

เฉินเป่ยน่ากลัวจนแปลกประหลาด ทำให้สวีปินไห่รู้สึกกดดันมาก เฉินเป่ยไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน!

“ไม่ต้องเครียดนะคุณตำรวจ นิ่งๆ กันหน่อย” เฉินเป่ยโยนก้นบุหรี่ทิ้ง จากนั้นจึงยื่นมือออกมา

“ใส่กุญแจมือ!” สวีไห่ปินพูดอย่างเด็ดขาด

“แกร๊ก!” กุญแจมือที่ทำขึ้นพิเศษถูกใส่อยู่บนข้อมือของเฉินเป่ย กุญแจมืออันนี้ทำขึ้นเป็นพิเศษ มันไม่เหมือนกับกุญแจมือทั่วไป มันเป็นกุญแจมือที่ใช้สำหรับนักโทษที่ก่อคดีรุนแรง

จากนั้นเขาก็ถูกใส่โซ่ตรวนไว้ที่ขาทั้งสองข้าง เขาแทบจะไม่สามารถขัดขืนได้เลยแม้แต่น้อย

“เอาตัวไป!” สวีไห่ปินแผดเสียงออกมา

ตำรวจจำนวนมากใช้แรงคุมตัวของเฉินเป่ย พวกเขาประกบอยู่ที่หลังของเฉินเป่ย จากนั้นจึงจะคุมตัวเขาไป

จู่ๆ ก็มีประกายของมีดสว่างขึ้น

เมื่อเห็นประกายแสงนั้น แววตาอันนิ่งงันของเฉินเป่ยก็จ้องเขม็ง

เขาหันขวับ

เห็นซูเหลยกำลังควงมีดอยู่ในมือ แสงแดดจากข้างนอกส่องเข้ามา แสงแดดกระทบกับตัวมีดจนทำให้เกิดประกายระยิบระยับจากแสงของดาบ

เหล่าตำรวจต่างพากันจ้องไปที่ซูเหลยอย่างหวาดระแวง ตำรวจสองสามคนเล็งปืนไปที่ตัวของซูเหลยอย่างเงียบๆ

“จะทำอะไร วางมีดของเธอลงซะ!” ตำรวจแผดเสียงออกมา

ซูเหลยกะพริบตาช้าๆ เธอไม่ได้พูดอะไร แต่ทว่าความเย็นชาจากอาวุธในมือของเธอค่อยๆ แผ่ซ่านออกมา จนน่าตกใจ

เฉินเป่ยจ้องซูเหลยอยู่นาน เขาส่ายหน้าให้เธอช้าๆ

เมื่อเห็นการกระทำของเฉินเป่ย ซูเหลยจึงเก็บมีดและทำสีหน้าให้เป็นปกติ

“ส่งมีดมา! นั่นคืออาวุธครอบครอง!” ตำรวจตะโกนใส่ซูเหลย เอาอาวุธเข้ามาในห้องทำงานตามอำเภอใจ ตำรวจจำเป็นต้องยึดเอาไว้

แววตาของซูเหลยค่อยๆ นิ่งลง

“ฟิ้ววว” ทันใดนั้น มีดเล่มบางราวปีกจักจั่นลอยอยู่ในอากาศ มันลอยผ่านหน้าของเหล่าตำรวจและหมุนเคว้งอยู่ในอากาศและลอยกลับเข้าไปในมือของซูเหลย

ในห้องทำงานถูกปกคลุมด้วยความเย็นยะเยือก

สีหน้าของสวีไห่ปินเปลี่ยนไปทันที เม็ดเหงื่อไหลลงมาจากหน้าผาก

เหล่าตำรวจที่อยู่ที่นี่ต่างพากันรู้สึกเย็นยะเยือกและกดดันจนแทบจะหายใจไม่ออก

ซูเหลยปล่อยเคล็ดวิชาออกไปอย่างรวดเร็ว มันน่ากลัวมาก ตอนที่มีดนั้นพาดผ่านมา พวกตำรวจไม่ทันได้ตั้งตัว จึงไม่มีโอกาสได้ตั้งรับ วินาทีนั้นพวกตำรวจต่างพากันเสียวสันหลัง

ถ้ามีเล่มนั้นขยับเข้ามาใกล้อีกแค่นิ้วเดียว คงจะเฉือดมาที่คอของพวกเขาอย่างแน่นอน!

ระหว่างที่ตกอยู่ในอาการหวาดผวา ปืนนับไม่ถ้วนจ่อไปที่ตัวของซูเหลย วินาทีนั้นกลิ่นดินปืนลอยอยู่ในอากาศ

มันเป็นกลิ่นอ่อนๆ เพียงแค่โดนไฟเล็กน้อย ก็อาจจะระเบิดออกมาได้

“พอแล้ว ถอยเถอะ!” สวีไห่ปินลังเลอยู่นาน ในที่สุดเขาก็แผดเสียงออกมา เฉินเป่ยทำให้พวกเขาหวาดระแวงเป็นอย่างมาก ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดเพียงเล็กน้อยในสถานการณ์คับขันเช่นนี้ คงไม่ต้องคิดถึงผลที่ตามมาเลย!

พวกตำรวจคุมตัวเฉินเป่ยออกไปจากห้องทำงาน

ก่อนที่เฉินเป่ยจะถูกคุมตัวออกไป เขาหันกลับมามองในห้องประชุม หลีชิงเยียนยืนอยู่ไกลๆ เขาส่งยิ้มให้เธออย่าเป็นกังวล

ภายในห้องทำงาน ก่อนที่สวีไห่ปินจะออกไป เขาทอดมองไปที่ซูเหลย จากนั้นจึงออกจากห้องไป เขารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดี ผู้หญิงคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ! แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถคิดเรื่องอื่นได้ วันนี้เขาโชคดีมากที่สามารถจับเฉินเป่ยได้ เขาจะให้เกิดเรื่องอะไรระหว่างนี้ไม่ได้!

เสียงไซเรนรถตำรวจดังขึ้นและจากไป หลงเหลือไว้เพียงความตกใจและความวุ่นวายที่ บริษัทหวนซิว

ดวงตาคู่สวยของหลีชิงเยียนเต็มไปด้วยความเหม่อลอยและสับสน สีหน้าของเธอตื่นตระหนก ตอนนี้เธอไม่รู้จะทำอย่างไรดี

ซูเหลยเดินออกจากห้องทำงาน เธอเห็นท่าทางตื่นตระหนกตกใจจนทำอะไรไม่ถูกของหลีชิงเยียน จึงอดพูดเตือนสติออกมาไม่ได้ “วางใจเถอะ เขาจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน”

หลีชิงเยียนช้อนตาที่เต็มไปด้วยความสับสนขึ้นมามองซูเหลย

ซูเหลยยิ้ม “เชื่อฉันเถอะ”

จู่ๆ หลีชิงเยียนก็เหม่อไป…

หลีชิงเยียนสูดหายใจลึก เธอพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเอง เฉินเป่ยโดนจับไปหลายครั้ง แต่เขาก็โดนปล่อยตัวออกมาทุกครั้ง ครั้งนี้เขาก็จะต้องไม่เป็นอะไรเหมือนกัน หลีชิงเยียนปลอบใจตัวเอง

เมื่อคิดได้ดังนั้น ความคิดของหลีชิงเยียนก็เริ่มทำงาน ในเวลานี้เธอต้องขอความช่วยเหลือ คนแรกที่เธอโทรหาคือพ่อของเธอ

เมื่อรู้ว่าเกิดเรื่องขึ้นกับเฉินเป่ย หลีหยางตกตะลึงเป็นอย่างมาก เขารีบติดต่อคนมีเส้นสายในเมืองหู้ไห่ และติดต่อทนายที่มีชื่อเสียงในสำนักกฎหมายทั้งหมด ต้องช่วยเฉินเป่ยออกมาให้ได้!

เสียงไซเรนรถตำรวจกว่าสิบคันดังขึ้นตลอดทาง รถกำลังมุ่งหน้าไปยังสถานีตำรวจ…

เฉินเป่ยถูกใส่กุญแจข้อมือและโซ่ตรวนเอาไว้ที่ขา และถูกคุมตัวอยู่ในรถคุมขังนักโทษ แต่ทว่าสีหน้าของเขากลับนิ่งเฉย และทอดมองไปยังวิวที่เคลื่อนตัวอยู่นอกหน้าต่างรถ เฉินเป่ยแสยะยิ้มนุ่มลึก ดูเหมือนว่าในเมืองหู้ไห่จะมีคนที่อยากให้เขาตายเยอะเชียวนะ…

รถตำรวจถึงสถานีตำรวจ เฉินเป่ยโดนตำรวจกว่าสิบนายคุมตัวเข้าไปในสถานีตำรวจ เขาโดนคุมตัวเข้าไปในห้องคุมขังล็อกหลายชั้น มีตำรวจกว่าสิบนายยืนอยู่หน้าห้องคุมขัง

เฉินเป่ยถูกขังไว้หนึ่งวันเต็มๆ ระหว่างนั้นเขาไม่ได้ทานอะไรเลย ทำให้เขาหิวเป็นอย่างมาก หิวมาทั้งวัน พลบค่ำ เขาถึงจะเรียกไปสอบสวนในห้องสอบสวน

ตำรวจกว่าสิบนายพาเขาเข้าไปในห้องและกดตัวให้นั่งลงบนเก้าอี้สอบสวน เขาถูกล่ามโซ่หลายเส้นจนไม่สามารถขยับได้ ไม่เพียงแค่นั้น ยังมีตำรวจอาวุธครบมือยืนอยู่ข้างหลังเขาอีกสองคน เพื่อป้องกันเวลาเขาจะทำอะไรขึ้นมา

เฉินเป่ยมองสิ่งที่เกิดขึ้น ก็อดแสยะยิ้มเย้ยหยันออกมาไม่ได้ “พวกนายต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ”

“เลิกพูดไร้สาระ และทำตัวให้ว่านอนสอนง่ายหน่อย!” ตำรวจสองคนที่ยืนอยู่ข้างหลังตวาดออกมาด้วยความดุดัน

เฉินเป่ยส่ายหน้านิ่งๆ ถ้าเขาอยากหนีจริงๆ โซ่กับกุญแจมือแค่นี้จะทำอะไรเขาได้เหรอ ในปีนั้นเขาเดินออกมาจากคุกที่ได้ชื่อว่าเข้มงวดที่สุดในรัสเซียอย่างง่ายดาย ตำรวจกระจอกอย่างนี้จะรั้งเขาได้อย่างนั้นเหรอ

ไม่นาน หัวหน้าตำรวจอาชญากรรมสวีไห่ปินก็เดินเข้ามาในห้องสอบสวนพร้อมกับชายวัยกลางคนคนหนึ่ง

ชายวัยกลางคนเอามือไพล่หลังและจ้องเฉินเป่ย “นายคือเฉินเป่ยงั้นเหรอ”

เฉินเป่ยกวาดตามองเขา “นายเป็นใคร”

“โล่ก้วนจอง” ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้น จากนั้นก็นั่งลงตรงโต๊ะสอบสวน

เมื่อได้ยินว่าเป็นใคร เฉินเป่ยหรี่ตาลงและมองเขาด้วยแววตามีเลศนัย ผู้บัญชาการ?

“ที่แท้ก็ผู้บัญชาการโล่นี่เอง ได้ยินชื่อเสียงมานาน ได้ยินว่าผู้บัญชาการโล่กับหวางอู๋ตี๋สนิทกันใช้ได้เลยใช่ไหม เลื่อมใส เลื่อมใส…” เฉินเป่ยพูดอย่างล้ำลึกและแสยะยิ้มเย้ยหยันออกมาเล็กน้อย

สีหน้าของโล่ก้วนจองเปลี่ยนไปทันที เขาตบโต๊ะอย่างแรง

“บังอาจ! เฉินเป่ยนายทำผิดร้ายแรง ยังกล้าที่จะพูดจาหยาบคายแบบนี้อีก!”

เฉินเป่ยยิ้มอย่างร้ายกาจ “ผู้บัญชาการโล่ อย่าโมโหสิ ผมมันก็แค่คนกระจอกๆ ถึงผมจะพูดแทงใจดำก็ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ใจเย็นๆ”

หัวใจของโล่ก้วนจองกระตุกขึ้น เดิมทีเขาจะมาสอบสวนเฉินเป่ย แต่กลับโดนไอ้หมอนี่ข่มขู่เขาให้แล้ว สีหน้าของเขาไม่สู้ดีและแฝงไปด้วยความหงุดหงิด

“วันนี้นายรอดยากแล้วล่ะเฉินเป่ย!” น้ำเสียงของโล่ก้วนจองเย็นยะเยือก

“ไม่เป็นไร ตายก็ตายสิ อีกอย่างก็แค่คนกระจอกๆ ผมจะอยู่หรือตายก็ไม่สำคัญอะไร” เฉินเป่ยยิ้มและเอ่ยขึ้นเนิบๆ จากนั้นจึงพูดขึ้นมาอีกว่า “ผู้บัญชาการโล่ แต่ก่อนที่ผมจะตาย คุณต้องหาหลักฐานที่เพียงพอมาให้ผมดู ว่าคุณมีหลักฐานอะไรที่บ่งชี้ว่าเป็นผม”

รอยยิ้มของเฉินเป่ยราบเรียบและไม่แยแส เพราะเขาได้ทำลายหลักฐานไปหมดจนไม่เหลือร่องรอยอะไรบ่งชี้ถึงตัวเขาอีกแล้ว หลักฐานที่ตำรวจพวกนี้เอาแต่พูดออกมา เป็นหลักฐานที่เอามาจากไหนกันล่ะ

เฉินเป่ยเป็นนักรบที่เดินออกมาจากทะเลเลือด ไม่มีใครรู้เรื่องพวกนี้ดีไปกว่าเขาอีกแล้ว ไม่มีใครรู้เทคนิคการทำลายเบาะแสและการทำลายร่องรอยได้ดีไปกว่าเขา ถ้าเขาคิดว่าบนโลกใบนี้ไม่มีใครหาเขาเจอได้ เขาสามารถฆ่าคนอย่างไม่ทิ้งร่องรอยเอาไว้ เขาสามารถหนีออกมาจากการโดนล้อมเอาไว้อย่างหนาแน่นโดยไม่ทิ้งร่องรอยใด เพราะฉะนั้นเฉินเป่ยจึงอยากรู้ว่าหลักฐานที่โล่ก้วนจองว่าคือหลักฐานอะไรที่บ่งชี้ว่าเป็นตัวเขา

โล่ก้วนจองตบโต๊ะอย่างรุนแรง และโยนเอกสารปึกหนาลงบนโต๊ะ

“นี่คือหลักฐานการกระทำผิดของนาย! ฉันจะคอยดูว่านายจะเถียงยังไงอีก!”

สวีไห่ปินหัวหน้าตำรวจอาชญากรรมก็มีสีหน้าเคร่งขรึมเช่นกัน เรื่องในวันนี้มันหนักหนาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เป็นคดีอาชญากรรมที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่ที่เขาเคยเจอมา ถ้าเฉินเป่ยเป็นฆาตกรจริงๆ ถ้าอย่างนั้นคดีฆาตกรรมใหญ่ๆ เมื่อสองสามเดือนก่อนก็จะถูกเปิดเผยออกมาด้วยเหมือนกัน

โล่ก้วนจองหยิบเอกสารปึกหน้าขึ้นมาอ่าน ในนั้นเป็นคดีอาชญากรรมที่เฉินเป่ยเป็นผู้กระทำ คดีฆาตกรรมถูกเปิดเผยออกมาอย่างละเอียดยิบ

เมื่อได้ยินคดีแต่ละคดี เฉินเป่ยค่อยๆ หรี่ตาลง

เขามองเอกสารปึกหนาในมือของโล่ก้วนจอง จากนั้นจึงแสยะยิ้มออกมา เขาพอเดาคำตอบได้แล้ว…

“ผู้บัญชาการโล่ ข้อมูลพวกนี้เป็นแค่การคาดเดา คุณมีหลักฐานที่แท้จริงหรือเปล่า” เฉินเป่ยยิ้มบางๆ แล้วถามขึ้น

สีหน้าของโล่ก้วนจองเปลี่ยนไป เขาตบโต๊ะอย่างแรง “หลักฐานพวกนี้เพียงพอที่จะสรุปแรงจูงใจในการกระทำผิดของนายได้ ซึ่งมันสามารถตัดสินโทษของนายได้!”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉินเป่ยจึงหัวเราะออกมา

“ผมว่าผู้บัญชาการโล่คงจะไม่มากลั่นแกล้งคนนอกพื้นที่ที่ไม่รู้กฎหมายอย่างผมใช่ไหม กฎหมายสูงสุด 77 ข้อของหัวเซี่ย ถ้าไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดเสียก่อนจะไม่สามารถบ่งชี้ความผิดได้ ต้องมีเบาะแส พยานหลักฐานที่เพียงพอ ผู้บัญชาการโล่น่าจะเข้าใจกฎหมายนี่ดีกว่าผมใช่ไหมครับ” เฉินเป่ยยิ้มร้ายกาจและถามขึ้น

เมื่อได้ยินสิ่งที่เฉินเป่ยพูด โล่ก้วนจองหน้าเปลี่ยนสี เขาคิดไม่ถึงว่าเฉินเป่ยจะเข้าใจกฎหมายสูงสุดได้ถึงเพียงนี้ แถมยังท่องออกมาโดยไม่ขาดตกบกพร่องเลยแม้แต่ตัวเดียว

หัวหน้าตำรวจอาชญากรรมสวีไห่ปินที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้าเคร่งขรึม เฉินเป่ยมีอะไรที่น่าสงสัยเป็นอย่างมาก คนธรรมดาคนหนึ่งจะรู้กฎหมายสูงสุดของหัวเซี่ยได้ถึงเพียงนี้เลยหรือ เป้าหมายของเขาคืออะไร นี่มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก

“เราหาหลักฐานที่แน่ชัดได้แล้ว นายไม่ต้องเถียงอีก!” โล่ก้วนจองตบโต๊ะอย่างแรง สีหน้าของเขาดุดันเป็นอย่างมาก

เฉินเป่ยมองผู้บัญชาการด้วยสีหน้าราบเรียบ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมา เขาอยากรู้ว่าผู้บัญชาการคนนี้จะมีหลักฐานอะไร

โล่ก้วนจองแสยะยิ้มร้ายกาจ เขาอ่านเอกสารและยกตัวอย่างหลักฐานที่อยู่ในที่เกิดเหตุ หลักฐานแต่ละชิ้น มันเป็นหลักฐานที่บ่งชี้ได้อย่างชัดเจน!

เฉินเป่ยขมวดคิ้วขึ้นมา

เพราะหลักฐานแต่ละชิ้นมันเป็นหลักฐานปลอม เขาไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้ในที่เกิดเหตุ แต่ทว่าตอนนี้โล่ก้วนจองเอาแต่พูดถึงหลักฐานที่ว่าออกมา มันจะเป็นอะไรไปได้อีก นอกจากหลักฐานปลอม!

นี่มันเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก จินตนาการได้เลยว่าโล่ก้วนจองไม่ได้ทำเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก มีคดีที่ถูกใส่ความ คดีฆาตกรรมกี่คดีแล้ว ที่โดนเขาใช้วิธีต่ำๆ แบบนี้ในการตัดสิน

เมื่อคิดได้เช่นนั้น เฉินเป่ยอดไม่ได้ที่จะส่ายหน้าอย่างเยาะเย้ย ไม่ได้กลับประเทศมาเจ็ดปี ไม่เคยคิดเลยว่าหัวเซี่ยอันสูงส่งจะเน่าเฟะได้ถึงเพียงนี้ ช่างน่าเศร้าสิ้นดี!

โล่ก้วนจองเปิดเผยหลักฐานออกมาทั้งหมด ตอนนี้เขาเคร่งขรึมและเย็นชา อีกทั้งยังทำตัวเหนือกว่าอย่างเห็นได้ชัด ที่นี่คือเมืองหู้ไห่ ที่นี่คือถิ่นของเขา เขาใหญ่ที่สุด!

“ยอมรับผิดหรือยังเฉินเป่ย” โล่ก้วนจองจ้องเฉินเป่ยด้วยสายตาเย็นชา

“ไม่” สีหน้าของเฉินเป่ยราบเรียบ เขาพูดเนิบๆ ว่า “ผู้บัญชาการโล่ ผมเสนอให้ส่งไปที่สำนักอัยการเพื่อพิจารณาใหม่อีกครั้ง”

เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของโล่ก้วนจองก็เปลี่ยนไปทันที เขาคิดไม่ถึงว่าจะมีคนร้ายกล้าเหิมเกริมต่อหน้าเขาถึงเพียงนี้

“หน้าไม่อาย! นายไม่มีสิทธิ์มาเหิมเกริมในสถานีตำรวจ” สีหน้าของโล่ก้วนจองโกรธเป็นอย่างมาก

“ผู้บัญชาการโล่ คุณจะเหิมเกริมหรือไม่นั้น คุณก็รู้อยู่แก่ใจ อ้อ ผมขอเตือนคุณอีกครั้ง กฎหมายสูงสุดของหัวเซี่ย ถ้าไม่มีหลักฐานที่ชัดเจน ห้ามกักขังผู้ร้ายเกิน 36 ชั่วโมง นี่มันเลยไปแปดชั่วโมงแล้วนะครับ ผู้บัญชาการโล่..” เฉินเป่ยพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับไม่ได้สนใจคำพูดของโล่ก้วนจอง

จะมาจับเขาจากหลักฐานปลอมพวกนี้งั้นเหรอ หลักฐานพวกนี้มีข้อบกพร่องมากมาย เฉินเป่ยสามารถแย้งหลักฐานพวกนี้ด้วยหลักเหตุผล เมื่ออยู่ในห้องพิจารณาคดีอัยการและผู้พิพากษาสามารถบอกได้ทันทีว่าหลักฐานจริงหรือปลอม…

แต่ทว่าโครงสร้างยังเนาะเฟะจนเขาไม่สามารถรับได้ งั้นเขาก็ไม่ถือสาที่จะสะสางความสูงส่งของเมืองหู้ไห่ เมื่อคิดได้เช่นนั้น แววตาของเฉินเป่ยก็นิ่งไป นี่ก็ไม่ใช่ภาพที่เขาอยากเห็นเหมือนกัน แต่เขาจะไม่ลงมือก็ไม่ได้ เขาจะจัดการโลกอันมืดมนนี่เอง!

สีหน้าของโล่ก้วนจองไม่สู้ดี คิดไม่ถึงว่าเฉินเป่ยจะกล้าขัดแย้งกับเขาในสถานการณ์แบบนี้ นี่มันไม่มีขื่อมีแปชัดๆ

“เฉินเป่ย นายอย่าคิดว่าฉันจะจัดการนายไม่ได้ นายไม่ยอมรับโทษข้อนี้ใช่ไหม ได้ ฉันมีอย่างอื่นให้นายยอมรับผิดแน่!” โล่ก้วนจองพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เหมือนกำลังข่มขู่อย่างไรอย่างนั้น

ขณะเดียวกัน หลีชิงเยียนกับซูเหลยนั่งรออยู่ในสถานีตำรวจ ท่านประธานเทพธิดาสีหน้าเป็นกังวล ความกังวลในใจของเธอยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ

ผู้เป็นพ่ออย่างหลีหยางพาทนายที่มีชื่อเสียงมาคุยกับตำรวจ

มีเพียงซูเหลยที่นั่งรออย่างสงบ คงจะมีเธอแค่คนเดียวที่รู้ดีว่า ถ้าเฉินเป่ยอยากจะออกมา อย่าว่าแต่ตำรวจกระจอกๆ พวกนี้เลย ถึงจะเป็นคุกที่เข้มงวดอย่างสุดยอดในอเมริกาก็ไม่สามารถขังเขาเอาไว้ได้

ขณะที่หลีชิงเยียนกำลังกังวล เธอก็เป็นห่วงว่าเฉินเป่ยจะหิวอยู่ในนั้น เพราะตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ก็หนึ่งวันเต็มๆ แล้ว ในสถานีตำรวจคงจะไม่มีอาหารให้ผู้กระทำผิด

ดังนั้น หลีชิงเยียนจึงตั้งใจซื้อก๋วยเตี๋ยวมาให้เฉินเป่ย จากนั้นจึงขอช่วยให้ตำรวจเอาไปให้เฉินเป่ย

ผลปรากฏว่าตำรวจทั้งสองนายเอาก๋วยเตี๋ยวเข้าไป และเทก๋วยเตี๋ยวร้อนๆ ลงในถังขยะ

ผู้บัญชาการสั่งมาว่าเฉินเป่ยทำผิดร้ายแรง จึงห้ามไม่ให้เขากินอะไร ต้องสอบสวนเขาอย่างเข้มงวด เรื่องกินข้าวก็ฝันไปซะเถอะ!

เฉินเป่ยถูกคุมตัวอยู่ในห้องสอบสวนสามชั่วโมงเต็ม ตอนนี้พลบค่ำแล้ว เฉินเป่ยโดนจับตั้งแต่เช้า จนถึงตอนนี้ก็หนึ่งวันเต็ม เขายังไม่ได้กินอะไรเลย

ขณะเดียวกัน รถพอร์ชออฟโรดสีขาวเคลื่อนตัวมาจอดหน้าสถานีตำรวจ

จางจื่อหลานเดินเข้าไปในสถานีตำรวจด้วยสีหน้าสับสน เธอเห็นหลีชิงเยียนนั่งอยู่ข้างใน

เมื่อหลีชิงเยียนเห็นจางจื่อหลานก็อึ้งไป เธอทำอะไรไม่ถูก

จางจื่อหลานไม่รีรออะไร เธอกระแทกส้นสูงเดินตามตำรวจคนหนึ่งเข้าไปในแผนก

ความสงสัยก่อตัวขึ้นในใจของหลีชิงเยียน จางจื่อหลานมาที่นี่ทำไม

ตำรวจสองสามนายเข้าไปในห้องสอบสวน และพาเขาไปในห้องแยกตัว

เฉินเป่ยแสยะยิ้ม แววตาของเขามองไปยังกระจกนิรภัย เขาอยากดูว่าโล่ก้วนจงจะเล่นอะไร

หลังจากผ่านไปไม่กี่นาที จางจื่อหลานเดินเข้ามาในห้องลับซึ่งอยู่ในห้องชี้ตัว ตอนนี้เธอและเฉินเป่ยถูกกั้นด้วยกระจกนิรภัยเท่านั้น สามารถมองเห็นท่าทีของฝั่งตรงข้าม แต่นักโทษไม่สามารถเห็นท่าทีของฝั่งตรงข้ามได้

สายเปย์เบอร์หนึ่ง

สายเปย์เบอร์หนึ่ง

Status: Ongoing

เขาเป็นคนที่ทำให้คนอื่นกลัวและเคารพ แต่กลับกลายเป็นลูกเขยแต่งเข้าบ้านฝ่ายหญิง ต่ำต้อยเหมือนฝุ่น ไม่เอาไหนเหมือนขยะ ราวกับว่าใครๆก็สามารถเหยียบย่ำเขาไว้ใต้เท้าแต่ ในใจเขามีความทะเยอทะยาน…….จะมีสักวันหนึ่ง เขาจะจับมือเธอ มอบโลกทั้งใบให้เธอ!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท