บทที่ 604 ฉันมีวิธี
สีหน้าของเจ้าหน้าที่ตำรวจพวกนั้นเปลี่ยนไปทันที ทุกคนมองภาพที่กระบองไฟฟ้าถูกบีบจนแตกอย่างตกตะลึง ตอนนี้เจ้าหน้าที่ต่างพากันหวาดกลัว
นี่มันอะไรกัน ไอ้หมอนี่เป็นมนุษย์หรือเปล่า นี่เป็นกระบองไฟฟ้าที่มีกระแสไฟฟ้าแรงสูงล้านโวลต์เชียวนะ ไอ้หมอนี่มันกลัวกระแสไฟฟ้างั้นเหรอ
ส่วนพวกที่อยู่บนเตียงก็อึ้งไปจนแข็งเหมือนมัมมี่ ไอ้หมอนี่มันน่ากลัวถึงขนาดที่ไม่กลัวกระบองไฟฟ้าอย่างนั้นเหรอ โอ้โห นี่มันเป็นเรื่องที่เกินกว่าทุกคนจะรับได้
“ขอโทษด้วย ผมอยากจะพักผ่อน พวกคุณออกไปได้ไหม” เฉินเป่ยกวาดตามองเจ้าหน้าที่แล้วพูดออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ราวกับเขาไม่เห็นเจ้าหน้าที่พวกนี้อยู่ในสายตา
เจ้าหน้าที่พวกนั้นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที พวกเขาจ้องเฉินเป่ยเขม็ง
แต่ไม่มีใครกล้าเข้าไปจัดการเขา
เฉินเป่ยมองพวกเขานิ่ง แล้วพูดเนิบๆ ว่า “ไม่ออกไปใช่ไหม”
ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้อง
พวกที่อยู่บนเตียงหวาดกลัวเป็นอย่างมาก โอ้โห ไอ้หมอนี่มันน่ากลัวจริงๆ ถึงขนาดกล้าที่จะขัดแย้งกับเจ้าหน้าที่ ไอ้หมอนี่มันไม่กลัวตายหรือไง
เจ้าหน้าที่มาล้อมตัวเขาเอาไว้ กระบองไฟฟ้าในมือส่งเสียงไฟฟ้าช็อตออกมา แต่ทว่ากลับไม่มีใครกล้าเดินเข้าไป
ยืดเยื้ออยู่นาน ในที่สุดก็มีคนพุ่งเข้าไปกดตัวของเฉินเป่ยเอาไว้
ความน่ากลัวฉายออกมาทางแววตาของเฉินเป่ย แต่ทว่ามันก็หายวับไป เขาไม่ได้ขัดขืนใดๆ
เมื่อเห็นเช่นนั้น พวกเจ้าหน้าที่ก็มีความกล้าขึ้นมาทันที ต่างพากันกรูเข้ามากดตัวของเฉินเป่ยเอาไว้ จากนั้นจึงเอาเชือกหนังวัวมามัดเข้าเอาไว้ และพาตัวเข้าออกไป
หลังจากที่เฉินเป่ยถูกพาตัวออกไป บรรยากาศในห้องก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง ราวกับพวกที่อยู่บนเตียงได้เดินผ่านประตูนรกอย่างไรอย่างนั้น ความรู้สึกเมื่อครู่มันเหมือนกับปีศาจร้ายปรากฏตัวตรงหน้าพวกเขา ทำให้พวกเขาหวาดกลัวเป็นอย่างมาก
เจ้าหน้าที่คุมตัวเฉินเป่ยมายังห้องดำที่ปิดสนิท
เมื่อประตูเหล็กถูกปิดลง ทั้งห้องก็เต็มไปด้วยความมืดมิด
ในห้องดำมีเฉินเป่ยเพียงคนเดียวเท่านั้น เขาโดดเดี่ยวท่ามกลางความมืด พื้นในห้องชื้นมาก อีกทั้งยังรู้สึกเหมือนมีแมลงกำลังเดินไปเดินมา มันสกปรกเป็นอย่างมาก
เฉินเป่ยนั่งลงตรงมุมกำแพง สำหรับเฉินเป่ย เขาไม่ได้รู้สึกกลัวหรือรังเกียจห้องดำห้องนี้ ในทางกลับกันเขารู้สึกปกติกับมันมาก เพราะเมื่อก่อนเขาเคยเจอฝึกอยู่ในห้องที่ปิดตายอย่างหนักหน่วงในค่ายลึกลับนั่น เขาไม่ได้กินอะไรเจ็ดวัดเจ็ดคืนเต็มๆ มีเพียงความมืดที่ไม่สิ้นสุด เขาชินกับสถานการณ์แบบนี้แล้ว
“ไอ้หนุ่ม ไอ้หนุ่ม” จู่ๆ ก็มีเสียงแหบพร่าดังขึ้นมาท่ามกลางความมืดและความเงียบ
เฉินเป่ยเบิกตาขึ้นช้าๆ เขากวาดตามองไปในความมืด ไม่นานเขาก็เจอที่มาของเสียง มันมาจากห้องที่อยู่ข้างๆ
เฉินเป่ยยืนหน้าเข้าไปหาประตูด้วยความสงสัย จากนั้นจึงถามคนที่อยู่ห้องข้างๆ ว่า “มีอะไรหรือเปล่า”
“ไอ้หนุ่ม…ไม่เคยมีใครเข้ามาในห้องดำนานมากแล้ว ฉันแทบจะถูกขังตายอยู่ในนี้ นายคุยเป็นเพื่อนฉันหน่อยสิ” เสียงแหบพร่าและชราดังขึ้นจากห้องข้างๆ
เฉินเป่ยได้ยินเช่นนั้นก็อึ้งไป ตาเฒ่าคนนี้ประหลาดจัง
“ไอ้หนุ่ม ทำไมถึงเข้ามาอยู่ในห้องดำได้ล่ะ” ชายชราเอ่ยถาม
“ทะเลาะกัน” เฉินเป่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ
ชายชราคนนั้นอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นจึงหัวเราะออกมาเสียงดัง
“น่าสนใจดีนี่ ไอ้หนุ่มกล้ามาชกต่อยกันในนี้ ฉันถูกขังอยู่ที่นี่มานาน นี่เป็นครั้งแรกที่เจอคนน่าสนใจแบบนาย” ชายชราหัวเราะออกมา
เฉินเป่ยขมวดคิ้ว เขารู้สึกว่าตาเฒ่าคนนี้ประหลาด
“นี่ตาเฒ่า ทำผิดอะไรถึงถูกขังอยู่ในห้องดำล่ะ” เขาถามขึ้นอย่างสงสัย
ชายชราเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงถอนหายใจออกมา “ฉันทำผิดมามากมาย…ก็เลยต้องอยู่ในห้องมืดแห่งนี้ อีกอย่างฉันยังกลัวว่าหลังจากตายจะต้องไปเจอยมบาลในนรก…”
เฉินเป่ยขมวดคิ้ว ยิ่งรู้สึกว่าตาเฒ่าคนนี้แปลกขึ้นไปอีก
“คุณอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว” เขาถามขึ้น
ชายชราเอ่ยขึ้น “ฉันอยู่ที่นี่มาสองปีเต็มแล้ว สำหรับห้องมืดนี้ ฉันจะถูกขังไว้สัปดาห์เว้นสัปดาห์”
เฉินเป่ยได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกแปลกใจ ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าตาเฒ่าคนนี้ทำเหมือนสถานกักกันเป็นบ้านของตัวเอง เข้ามาสัปดาห์ละครั้ง เฉินเป่ยพูดอะไรไม่ออก ตาเฒ่าคนนี้เป็นที่เกลียดชังขนาดไหนกัน ทำไมต้องถูกขังอยู่ในนี้สัปดาห์เว้นสัปดาห์ด้วย
ชายชราคุยกับเฉินเป่ยอย่างสนใจ แต่ทว่าเฉินเป่ยกลับตอบกลับแบบส่งๆ ท่ามกลางความมืดในตอนนี้ คงมีเพียงคนสองคนที่คุยกันผ่านประตูเหล็กอันเย็นยะเยือก เพื่อฆ่าความเหงาในใจ
เมื่อถึงเวลาพลบค่ำ มีกลิ่นหอมของอาหารลอยเข้ามาจากข้างนอก
เฉินเป่ยมองออกไปตรงรูที่อยู่บนประตูเหล็ก เห็นเจ้าหน้าที่สองสามคนกำลังยกอาหารอันหรูหราส่งเข้าไปในห้องดำที่อยู่ข้างๆ
แต่ทว่าห้องของเฉินเป่ยกลับไม่มีอาหารมาส่ง พวกเขากะจะไม่ให้เฉินเป่ยทารอาหาร เจ้าหน้าที่มองเฉินเป่ยด้วยแววตาดุร้าย จากนั้นก็เดินออกไปอย่างเฉยชา
เฉินเป่ยเองก็ไม่ได้สนใจเหมือนกัน เขาทนหิวได้มากกว่าที่จินตนาการเอาไว้ ตอนนี้เขาทนได้สบายๆ ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเขาอยากออกไปกินอะไร คนในนี้ไม่มีใครสามารถรั้งเข้าไว้ได้แน่นอน!
“ไอ้หนุ่ม ฉันมีอาหารเยอะมาก นายจะกินสักหน่อยไหม” ชายชราที่อยู่ห้องข้างๆ เอ่ยขึ้น
ถ้าชายชราไม่พูดขึ้นมาก็ยังไม่เป็นอะไร แต่พอพูดขึ้นมา ท้องของเฉินเป่ยก็ร้องทันที นึกดูแล้ว เขาก็ไม่ได้ทานอะไรมาสองวันแล้ว เขาหิวมาตั้งแต่อยู่ที่สถานีตำรวจแล้ว
“ไอ้หนุ่ม เดี๋ยวฉันโยนน่องไก่ไปให้ ไม่รู้นายจะรับได้ไหม” ชายชราเอ่ยขึ้น จากนั้นก็โยนน่องไก่หอมฉุยเข้ามา
เฉินเป่ยมองน่องไก่ที่ถูกโยนอยู่บนพื้น จากนั้นเขาก็หรี่ตาลง
“นี่ตาเฒ่า เหมือนฉันได้กลิ่นเหล้า คุณมีเหล้าด้วยเหรอ” เฉินเป่ยถามด้วยความอยากกิน ได้กลิ่นเหล้าในสถานกักกัน เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีมาก่อน
“หึหึ ไอ้หนุ่มจมูกดีจริงๆ นี่เป็นเหล้าเหมาไถที่ฉันเก็บไว้มาหลายปี ฉันดื่มมันทีละนิดทุกวัน…” ชายชราหัวเราะคิกคักและพูดอย่างหลงใหล “ไอ้หนุ่ม ฉันรินแล้วส่งให้นายเอาไหม แต่ว่าเหล้านี่เป็นของเหลว มันคงจะทำไม่ได้น่ะสิ”
“นี่ตาเฒ่า เหลือเหล้าเอาไว้ให้ผมด้วย” น้ำเสียงของเฉินเป่ยดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีเหล้า ในที่แบบนี้ มันกระตุ้นความตะกละในตัวเขาเป็นอย่างมาก
“เหลือไว้ให้นายน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว แต่มันเอาให้นายไม่ได้น่ะสิ” ชายชราพูดอย่างกลุ้มใจ
“นี่มันง่ายมาก” เฉินเป่ยพูดพลางนั่งยองๆ และดีดตัวขึ้นไปในความมืด
เขาคลำกำแพงท่ามกลางความมืด กำแพงเย็นยะเยือกเป็นอย่างมาก เหมือนมันสร้างขึ้นด้วยปูนและอิฐ
เฉินเป่ยยกมือทั้งสองข้างขึ้นมา บนข้อมือของเขามีกุญแจมีใส่แว่นอย่างแน่นหนา
เขาไม่พูดพร่ำทำเพลง เขายกมือทั้งสองข้างและกระแทกกุญแจมือลงกับผนังนั่นอย่างแรง
“ผัวะ” เสียงดังขึ้นมาอย่างกึกก้อง กำแพงแตกออกเพราะแรงกระแทกของกุญแจข้อมือ
ชายชราที่อยู่ห้องมืดข้างๆ ยังตกใจและถามขึ้นด้วยน้ำเสียงตกตะลึง “ไอ้หนุ่ม นายทำอะไรน่ะ นายอย่าฆ่าตัวตายเพราะคิดอะไรไม่ออกเชียวนะ”
แรงกระแทกยังไม่พอ เฉินเป่ยยกกุญแจข้อมือกระแทกลงไปบนกำแพงอีกครั้ง
“ผัวะ” เศษหินเล็กๆ กระจายไปทั่ว กำแพงที่แข็งแกร่งพังทลายลงมาทันที
แรงอันมหาศาลถูกสะสมไว้ที่มือทั้งสองข้างของเฉินเป่ย ร่างกายของเขากลายเป็นเหมือนภาพลวงตา เขายกกุญแจมือขึ้นอีกครั้ง จากนั้นก็พุ่งไปยังกำแพง
“ตู้มมม” เสียงของกำแพงพังทลายดังขึ้นมา กำแพงถูกกระแทกจนเป็นรูขนาดใหญ่
คนที่อยู่ในห้องดำข้างๆ อย่างชายชราถึงกับอึ้งไป
เฉินเป่ยลอดตัวเข้ามาในห้องมืดอีกห้องผ่านรูขนาดใหญ่บนกำแพง
ห้องข้างๆ มีกลิ่นอาหารและกลิ่นเหล้าลอยคละคลุ้งไปทั่ว ถึงแม้มันจะมืดสนิทไม่ต่างกัน แต่ที่นี่กลับสะอาดมาก มันช่างแตกต่างกับห้องมืดอันเย็นยะเยือกที่เขาอยู่โดยสิ้นเชิง
ชายชราคนนั้นยังคงอึ้งอยู่ท่ามกลางความมืด เขาถามออกมาอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นะ นายกระแทกกำแพงจนพังเหรอ”
“อืม ผมได้ดื่มเหล้าของคุณแล้ว” เฉินเป่ยพูดพลางเดินเข้าไปหาชายชราท่ามกลางความมืด จากนั้นเขาจึงนั่งลง
ถึงแม้มันจะมืด แต่การมองเห็นของเฉินเป่ยยังดีมาก เขาคลำไปตามทางได้อย่างแม่นยำ
ชายชราอึ้งอยู่หลายนาที จึงค่อยๆ ตั้งสติได้ เขาหัวเราะออกมา “น่าสนใจดีนี่ ไอ้หนุ่ม จากฝีมือของนาย ที่เล็กๆ แบบนี้คงจะขังนายไว้ไม่ได้หรอกใช่ไหม”
“จะขังได้หรือไม่ได้แล้วจะเป็นยังไงเหรอ” เฉินเป่ยพูดพลางจับขวดเหล้าขึ้นซด กลิ่นเหล้าลอยคละคลุ้งจนทำให้น้ำลายไหล
“เฮ้ย เฮ้ย นายเหลือให้ฉันหน่อยสิ นี่เป็นเหล้าขวดสุดท้ายแล้ว…” ชายชราเห็นเขาดื่มอย่างบ้าคลั่งก็พูดออกมาอย่างปวดใจ
“ชื่นใจ” เฉินเป่ยดื่มเหล้าเข้าไปอีกสองสามอึก เขารู้สึกแสบร้อนไปทั่วปาก นี่คือรสชาติแห่งความสุข
ชายชรายกถ้วยเหล้าของตัวเองขึ้นมา จากนั้นจึงพูดว่า “ไอ้หนุ่ม มาชนแก้วกันหน่อย”
ทั้งสองคนชนแก้วกันท่ามกลางความมืด เนื้อไก่และขาหมูน้ำแดงหอมฟุ้ง มีอาหารและเหล้ามากมาย นี่ถือว่าเป็นสิ่งที่หรูหรามากในสถานกักกันแห่งนี้
“ไอ้หนุ่ม ชื่ออะไรเหรอ” ชายชราดื่มเหล้าในถ้วยและถามขึ้นอย่างประหลาดใจ
“เฉินเป่ย” เฉินเป่ยกัดน่องไก่พลางพูดออกมา
ชายชราพึมพำขึ้นมาเบาๆ “เฉิน..เป่ย ไอ้หนุ่ม เหมือนฉันไม่เคยได้ยินชื่อนายในเมืองหู้ไห่มาก่อน”
“ผมเพิ่งกลับมาที่นี่ อีกอย่างผมเป็นแค่คนธรรมดาไม่มีชื่อเสียงอะไร จะรู้จักได้ยังไงกันล่ะ” เฉินเป่ยพูดพลางยกเหล้าขึ้นดื่ม
“คุณชื่ออะไรล่ะ” เฉินเป่ยเช็ดเหล้าตรงมุมปาก แล้วถามขึ้น
ชายชรานิ่งไปครู่หนึ่ง และไม่ได้ตอบอะไร
หลังจากผ่านไปนาน ชายชราจึงเอ่ยขึ้นมาว่า “ฉันก็แค่คนธรรมดาไม่มีชื่อเสียงอะไรเหมือนกัน พูดไปนายก็ไม่รู้จักหรอก”
เห็นท่าทางมีพิรุธของชายชรา เฉินเป่ยก็ไม่อยากจะสนใจและดื่มกินต่อไป
….
เฉินเป่ยดื่มกินอยู่ในห้องมืดอย่างมีความสุข แต่ทว่าผู้หญิงบางคนที่อยู่ข้างนอกกลับกินไม่ได้เพราะเรื่องของเขา
หลีชิงเยียนนั่งอยู่ในห้องทำงาน สีหน้าของเธอดูซีดเซียวและเหนื่อยล้า ผมยาวยุ่งเหยิง จนเห็นแล้วน่าปวดใจ
เธอไม่ได้ทานอะไรมาหนึ่งวันเต็มๆ เพราะมัวแต่ติดต่อคนใหญ่คนโตในเมืองหู้ไห่ เพราะหวังว่าจะสามารถช่วยเฉินเป่ยออกมาได้…
แต่ทุกคนกลับปฏิเสธกลับมาทั้งหมด โทษของเฉินเป่ยมันชัดเจนแล้ว มันได้รับการตัดสินจนไม่มีทางช่วยอะไรได้อีก
เมื่อคิดเช่นนั้น ดวงตาคู่สวยของหลีชิงเยียนก็เปียกชื้นขึ้นมาอีกครั้ง ดวงตาของเธอพร่าเลือนไปหมด ตอนนี้เธอรู้สึกผิดมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะเธอ คงไม่เกิดเรื่องแบบนี้กับเฉินเป่ย มันเป็นความผิดของเธอ!
ซูเหลยนั่งอยู่บนโซฟา เธอพูดเกลี้ยกล่อมหลายครั้งแล้ว แต่หลีชิงเยียนไม่เชื่อคำพูดของเธอสักนิด อารมณ์ในแง่ลบปกคลุมความรู้สึกของหลีชิงเยียน ตอนนี้หลีชิงเยียนไม่ฟังคำพูดของใครเลย
ขณะนั้นเอง เลขาก็เคาะประตูห้องทำงานอย่างตื่นตระหนก
“ประธานหลีคะ มีคนอยากพบคุณ…”
หลีชิงเยียนช้อนดวงตาอันแดงก่ำขึ้น เธอสงสัยและตกใจเล็กน้อย “ใครเหรอ”
“ผมเองครับประธานหลี” จู่ๆ ก็มีน้ำเสียงราบเรียบดังขึ้น ชายวัยกลางคนในชุดสูทเดินยืดอกเข้ามาในห้องทำงาน
เมื่อเห็นชายวัยกลางคนคนนั้น หลีชิงเยียนก็ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที
“ประธานหลี เราเพิ่งเจอกันไม่กี่วันก่อน คุณคงยังไม่ลืมผมใช่ไหมครับ” หลัวห้าวหรานยิ้มออกมาอย่างเป็นกันเอง สีหน้าของเขาเหมือนมีอะไรบางอย่าง
สีหน้าของหลีชิงเยียนซีดเซียว เธอพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “หัวหน้าหลัว มาทำอะไรเหรอคะ”
หลัวห้าวหรานยิ้มบางๆ จากนั้นเขาจึงจุดซิการ์ และสูบมันอย่างไม่มีความเกรงกลัว
“ประธานหลี ผมจำได้ว่าก่อนหน้านี้ผมเคยเตือนคุณแล้ว ในเมืองหู้ไห่ไม่ว่าจะเป็นสังคมมืดหรือสังคมอันใสสะอาด ผมล้วนมีคนที่รู้จักในนั้น” หลัวห้าวหรานพูดอย่างมีเลศนัย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของหลีชิงเยียนก็เย็นชาขึ้นมา “หัวหน้าหลัวหมายความว่าอะไร”
“ผมได้ยินมาว่า เหมือนจะมีเรื่องเกิดขึ้นกับแฟนของคุณ” หลัวห้าวหรานยิ้มบางๆ “นี่คือจุดจบของการที่ไม่ฟังคำพูดของรุ่นพี่ยังไงล่ะ…” หลัวห้าวหรานพ่นควันออกมาช้าๆ รอยยิ้มแปลกประหลาดปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา สีหน้าของหลีชิงเยียนก็นิ่งไปในทันที ตอนนี้สีหน้าของเธอไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก
“เรื่องของเฉินเป่ย เป็นฝีมือของนายอย่างนั้นเหรอ” น้ำเสียงของหลีชิงเยียนเย็นชาและสั่นเล็กน้อย เธอจ้องหลัวห้าวหรานเขม็ง
หลัวห้าวหรานแสยะยิ้มร้ายอาจออกมา “ผมไม่ได้ทำนะประธานหลี แต่เพราะเบื้องหลังของเขามันเสื่อมเสียเองต่างหาก…” ถึงแม้เขาจะพูดออกมาเช่นนั้น แต่ความหมายมันชัดเจนเป็นอย่างมาก เรื่องนี้ต้องเป็นฝีมือของเขาอย่างแน่นอน!
สีหน้าของหลีชิงเยียนเย็นชาเป็นอย่างมาก “ประธานหลัวจะทำอะไรกันแน่”
หลัวห้าวหรานสูบซิการ์ แล้วพูดออกมาว่า “จะทำอะไรงั้นเหรอ เรื่องนี้ประธานน่าจะรู้ดีกว่าผม”
หลีชิงเยียนกัดฟันกรอด เธอเงียบไม่พูดอะไร
เมื่อเห็นว่าหลีชิงเยียนไม่พูดอะไร หลัวห้าวหรานจึงตัดสินใจพูดออกไปว่า “ประธานหลี คนจริงเขาไม่พูดอ้อมค้อม แค่คุณไปขอความกรุณาจากตระกูลหวางและขอโทษตระกูลริชาร์ด เขาอาจจะมีโอกาสรอดก็ได้…”
ทันใดนั้นสีหน้าของหลีชิงเยียนก็ซีดเผือด
ตอนนี้เธอสับสนไปหมด ทันใดนั้นเธอจึงตัดสินใจอะไรบางอย่าง
“ได้ ฉันรับปากนาย!” น้ำเสียงของหลีชิงเยียนแน่วแน่และจริงจังเป็นอย่างมาก
ทันใดนั้น คนที่นั่งอยู่บนโซฟาอย่างซูเหลยหันมามองอย่างตกตะลึง เธอจ้องหลีชิงเยียนอยู่อย่างนั้น ผู้หญิงคนนี้ยอมทำตามความต้องการที่มากเกินไปเพราะเฉินเป่ยอย่างนั้นเหรอ
หลัวห้าวหรานสูดซิการ์และยิ้มออกมาอย่างได้ใจ
“ยินดีด้วยประธานหลี คุณตัดสินใจได้ถูกต้องแล้ว”
สีหน้าของหลีชิงเยียนซีดเผือด ตอนนี้เธอไม่มีทางเลือกอื่น นี่อาจจะเป็นวิธีเดียวที่จะช่วยเฉินเป่ยได้ ขอแค่ช่วยเฉินเป่ยออกมาได้ เธอยอมทำทุกอย่าง เพราะเฉินเป่ยช่วยเธอ จึงต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนี้
“ห้ามรับปาก” จู่ๆ ซูเหลยก็ลุกขึ้นยืนแล้วพูดขึ้น
หลีชิงเยียนหันขวับไปมองซูเหลย
สีหน้าของหลัวห้าวหรานนิ่งไป เธอจ้องผู้หญิงคนนั้นอยู่นาน
“ห้ามรับปากเขานะหลีชิงเยียน” ซูเหลยเดินเข้ามายืนข้างหลีชิงเยียน แล้วดึงเธอมาอีกทาง
สีหน้าของหลัวห้าวหรานเคร่งขรึม “เธอหมายความว่าอะไร”
ซูเหลยกะพริบตามองหลัวห้าวหรานอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “คำขู่ของคุณ ฉันจะถือว่ามันเป็นคำพูดไร้สาระ”
สีหน้าของหลัวห้าวหรานขุ่นมัวขึ้นมาทันที
หลีชิงเยียนกำลังจะพูด แต่โดนซูเหลยห้ามเอาไว้ ซูเหลยยื่นหน้าไปข้างหูของเธอแล้วพูดเบาๆ ออกมาสองสามประโยค
หลีชิงเยียนนิ่งไป
สีหน้าของหลัวห้าวหรานเต็มไปด้วยความสับสน เขาจ้องหลีชิงเยียน “ประธานหลี อย่าไปสนใจผู้หญิงคนนี้เลย ตอนนี้มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นที่จะช่วยผู้ชายของคุณได้…”
หลีชิงเยียนกะพริบตา ถึงใบหน้าของเธอจะสับสน แต่ก็มีความแน่วแน่
“ฉันเปลี่ยนความคิดแล้วล่ะประธานหลัว”
สีหน้าของหลัวห้าวหรานเปลี่ยนไปทันที สีหน้าของเขาขุ่นเคืองเป็นอย่างมาก
“แน่ใจเหรอหลีชิงเยียน เธออยากให้คนขับรถของเธอถูกตัดสินโทษประหารใช่ไหม”
หลีชิงเยียนเบิกตาขึ้นเล็กน้อย “ประธานหลัว ฉันยังมีงานต้องทำ เชิญคุณออกไปด้วย”
ตอนนี้สีหน้าของหลัวห้าวหรานไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก นี่เป็นเรื่องที่เขารับไม่ได้
“ได้ ประธานหลี ถ้ากล้าก็ทำต่อไป เธอจะได้เห็นเขาถูกประหารด้วยตาของตัวเอง!” หลัวห้าวหรานโมโหและเดินฟึดฟัดออกไปจากห้องทำงาน
หลังจากที่หลัวห้าวหรานออกไป ใบหน้าที่เด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งของหลีชิงเยียนก็ซีดเผือดอีกครั้ง เธอไม่รู้ว่าครั้งนี้ตัดสินใจถูกหรือไม่ นี่เธอกำลังช่วยเขาหรือทำร้ายเขากันแน่
ตอนนี้จิตใจของเธอสับสนไปหมด เมื่อหันไปมองซูเหลยก็เห็นท่าทีที่เด็ดเดี่ยวของเธอ
หลีชิงเยียนไม่เข้าใจว่าอะไรกันแน่ ที่ทำให้ซูเหลยมั่นใจได้ถึงเพียงนี้
ภายในห้องกักกันพิเศษ เฉินเป่ยลอดกลับมายังห้องดำของตัวเอง ตอนนี้เขารู้สึกเมาเล็กน้อย เหล้าเหมาไถของตาเฒ่าช่างรุนแรง เมื่อกินอิ่มเขาก็นอนแผ่หลาอยู่บนพื้นชื้นๆ ในห้อง เขาหลับตาลง
ขณะนั้นเองประตูห้องก็ถูกเคาะ
“เฉินเป่ย ลุกขึ้นมา!” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งตะโกนเข้ามา
เฉินเป่ยค่อยๆ ลืมตาขึ้น เขาลุกขึ้นจากพื้น
“แกร๊ก” ประตูเหล็กหนาถูกเปิดออก
“ออกมา มีคนมาหานาย!” เจ้าหน้าที่ตวาดออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา
เฉินเป่ยหรี่ตาลง ในที่สุดมันก็มาถึงแล้วเหรอ เขาอยากรู้ว่าเป้าหมายของอีกฝ่ายคืออะไรกันแน่ เขาเดินตามเจ้าหน้าที่ไปโดยไม่ขัดขืนอะไร
เจ้าหน้าที่เจ็ดแปดคนคุมตัวเขาไว้ และพาเขามาที่ห้องสอบปากคำ
เฉินเป่ยนั่งนิ่งอยู่ในห้องสอบปากคำ โดยมีผนังกระจกกั้นเอาไว้ข้างหน้า เป็นการกั้นนักโทษกับผู้สอบปากคำ
ไม่กี่นาทีหลังจากนั้น ประตูฝั่งผนังกระจกถูกเปิดออก ใครบางคนเดินเข้ามา
เมื่อเห็นร่างนั้น เฉินเป่ยถึงกับอึ้งไป!