บทที่631 เป็นบ้าแน่นอน
“ก็คือแกที่ทำร้ายคนตระกูลเซียวของฉัน? ตายซะ!!” ผู้อาวุโสผมขาวเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ ภาพเงาวาร์ปหายออกไปทันที แล้วพุ่งโจมตีไปยังเฉินเป่ย
เฉินเป่ยยังไม่ทันตอบสนองเข้ามา ก็โดนผู้อาวุโสผมขาวต่อยมาหมัดหนึ่งจนลอยออกไปเลยทีเดียว
“ปึง!” เฉินเป่ยล้มลงบนพื้นที่ห่างไปสิบกว่าเมตรอย่างรุนแรง…พื้นผิวแตกร้าวหมด…ทั้งตัวเขายุ่งเหยิงระดับหนึ่ง
เขากำลังอยากปีนขึ้นมา…ทว่าภาพเงาผู้อาวุโสผมขาวท่านนั้นกลับระเบิดการโจมตีเข้ามาอีกครั้ง จู่โจมด้วยเท้าข้างหนึ่งลงมาจากกลางอากาศเต็มแรง
“ตึง!” พื้นดินแตกร้าวยุบลงไป ปรากฏหลุมขนาดใหญ่รูปคนออกมาหลุมหนึ่ง
ทั้งตัวเฉินเป่ยถูกโจมตีจนยุบลงไปในหลุมใหญ่ กระเซอะกระเซิงน่าเวทนาระดับหนึ่ง
“ตาแก่…ฉันว่าแกเป็นบ้ารึเปล่าวะเนี่ย?” เฉินเป่ยสีหน้าเขียวปัดดุร้าย ปีนขึ้นมาจากในหลุมใหญ่อย่างกระเซอะกระเซิงและสั่นเทา…แต่ยังไม่ทันได้ตอบสนองกลับมา ทั้งตัวของเขาโดนโจมตีลอยออกไปอีกครั้ง
“ไอ้เวร! กล้าแตะต้องคนตระกูลเซียวของฉัน นี่คือจุดจบของแก! วันนี้ ฉันจะหักแขนขาแก เอามาเซ่นอานุภาพบู๊ของฉัน!” เสียงผู้อาวุโสผมขาวหนาวเย็นดุร้าย ชั่วขณะนั้นทั้งตัวปล่อยความคิดอาฆาตแค้นที่น่ากลัวออกมา
เฉินเป่ยโมโหเช่นกัน เขาพลิกตัวกลิ้งหมุนทันที จากนั้นกระโดดขึ้นมาจากพื้นดิน
“ฟึ่บ—!” ภาพเงาผู้อาวุโสผมขาวพุ่งเข้ามาอีกครั้ง พร้อมหมัดที่สั่นสะเทือนสยองขวัญ
สีหน้าเฉินเป่ยแข็งทื่อ ปล่อยหมัดออกฉับพลัน เขาคือเทพเจ้าแห่งสงครามของเยี่ยนจิง สู้ได้และตะลุยไปอย่างอิสระมาทั้งชีวิต ทำไมต้องกลัวศัตรูตรงหน้าด้วย
“ตึง!” หมัดของทั้งสองโจมตีเข้าหากันในชั่วขณะนั้น ทำให้อากาศบิดเบี้ยวสั่นสะเทือนอย่างแรง
ทั้งสองถูกพลังย้อนกลับที่น่ากลัวเขย่าจนลอยออกไปกันทั้งหมดแล้ว
ใบหน้าเซียถิงถิงอึ้งทึ่ง…มองการต่อสู้ที่สยดสยองฉากนั้นอยู่ด้านนอกด้วยความงุนงง…ดวงตาของเธออึ้งโดยสิ้นเชิง…
ทั้งสองคนใช้ทักษะวาร์ปหาย ระเบิดโจมตีเข้าหากันอย่างดุเดือด อากาศกำลังสั่นสะเทือนรุนแรง ปล่อยหมัดและโจมตีด้วยเท้า ประจัญบานต่อเนื่องไม่สิ้นสุด น่าสยองขวัญอย่างยิ่ง
ผมขาวเต็มศีรษะของท่านผู้อาวุโสตระกูลเซียวพัดกระเจิง ร่างกายแก่หง่อมระเบิดพลังที่น่ากลัวออกมา นั่นคือการสังหารสยองขวัญที่เขาเก็บตัวถือศีลฝึกฝนมานานหลายปี
เหล่าลูกหลานตระกูลเซียวกลุ่มนั้นล้อมรอบอยู่ในระยะไกล จ้องฉากนี้ด้วยสายตาฮึกเหิม นี่…คือความสามารถสยองขวัญของเจ้าบ้าน น่ากลัวเช่นนี้ วันนี้ ค่ายบู๊หู้ไห่คงจะพังทลายแน่
อารมณ์ในเวลานี้ของเฉินเป่ยสามารถใช้คำว่าโกรธจนไฟออกหูมาบรรยายได้เลยทีเดียว
เนื่องจากเฉินเป่ยไม่มีสมาธิ ผู้อาวุโสตระกูลเซียวจึงใช้ทักษะวาร์ปหาย คว้าโอกาสไว้ แล้วปล่อยหมัดออกไปฉับพลัน
“ปึง!” หมัดหนึ่งของผู้อาวุโสกลับแฝงด้วยพลังต่อเนื่องที่สยดสยองสั่นสะเทือน
ส่วนหน้าของเฉินเป่ยโดนหมัดหนึ่งเข้าไป จนกระเด็นออกไปทั้งตัวคน
“ตึง!” เฉินเป่ยกระแทกลงบนพื้นแบบกระเซอะกระเซิง ทั้งใบหน้าเจ็บปวดราวกับฉีกขาด มุมปากมีเลือดไหลออกมานิดๆ~
ยิ่งเห็นว่าเฉินเป่ยที่สมควรตายคนนี้กำเริบเสิบสานเช่นนี้ จิตใจของผู้อาวุโสยิ่งโกรธแค้นสั่นสะเทือนเพิ่ม
ในขณะเดียวกันผู้อาวุโสตระกูลเซียวก็สังหารโจมตีเข้ามาอย่างสยองขวัญ
ขณะนี้เฉินเป่ยสีหน้าเขียวปัดเดือดดาล เขาพุ่งร่างกายขึ้นมาฉับพลัน โหมพลังโจมตีและจับกุมอย่างทหารด้วยความดุเดือดโหดเหี้ยม ปะทะกันกับผู้อาวุโสตระกูลเซียวอีกครั้ง
ร่างกายของสองคนปะทะกันรุนแรง บนพื้นแตกร้าวจนยุบลงไป ความอำมหิตของสถานการณ์ในที่เกิดเหตุยากจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้
เจ้าบ้านตระกูลเซียวฝึกฝนมาทั้งชีวิต สยองขวัญไร้ที่เปรียบ…
ส่วนเฉินเป่ยเป็นนักรบน่ากลัวที่มีจิตใจแข็งแกร่งกล้าหาญออกมาจากค่ายทหาร ครอบครองการสังหารที่เด็ดเดี่ยว
นี่คือการต่อสู้อันดับหนึ่งของยุคสมัย
แนวบู๊กับแนวทหารโหมพลังสู้กันด้วยทักษะของสองสำนักปะทะกันอย่างรุนแรง แรงอาฆาตพุ่งขึ้นเฉียบพลัน
เฉินเป่ยถูกผู้อาวุโสตระกูลเซียวจู่โจมไม่หยุด กระเซอะกระเซิงสุดจะทนไปทั้งตัว….เมื่อสักครู่เขายังฝืนกลั้นได้อยู่บ้าง จนในที่สุดก็ควบคุมไม่ได้อีกต่อไป เขาเป็นทหารของกองทัพที่จิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญ ทำไมถึงปล่อยให้คนได้โอกาสมาเหยียบย่ำถึงเพียงนี้?
เฉินเป่ยในวินาทีนี้ ปล่อยฝีมือการสังหารออกมาถึงที่สุด
“ปึง!” เฉินเป่ยต่อยออกไปหมัดหนึ่ง โจมตีบนหน้าอกผู้อาวุโสผมขาวท่านนั้นโดยตรง ร่างกายผู้อาวุโสผมขาวสั่นรุนแรง โดนต่อยจนถอยออกไปหลายสิบก้าว พื้นผิวแตกร้าวไปหมดแถบหนึ่ง
โดยรอบนั้น เหล่าลูกหลานตระกูลเซียวกลุ่มนั้นต่างตื่นตะลึงกันทั้งหมด ทุกคนไม่ตอบสนองเข้ามาสักเท่าไร… ผู้อาวุโสของพวกเขา…ผู้อาวุโสที่ไร้ศัตรูไม่เป็นสองรองใคร…คาดไม่ถึงโดนต่อยถอยแล้ว?
ผู้อาวุโสตระกูลเซียวสีหน้าเคร่งขรึม เขาใช้ทักษะขึ้นมาฉับพลัน พุ่งโจมตีรุนแรงเข้ามาราวกับดาวตกดวงหนึ่ง แม้อายุจะเกินห้าสิบปีมาแล้ว แต่ฝีมือดีไม่เป็นสองรองใคร
“ตึง—!”ภาพเงาสองคนปะทะกันอย่างดุเดือด
ร่างกายผู้อาวุโสผมขาวเหมือนเจอฟ้าผ่า กระเด็นออกไปทันใด ในปากกระอักเลือดออกมาสายหนึ่ง
ที่เกิดเหตุเงียบงันราวกับป่าช้า!!
ลูกหลานตระกูลเซียวทุกคนล้วนแค้นเคืองถึงขีดสุด จ้องฉากนี้กันตาเขม็ง
“ตึง!” ผู้อาวุโสผมขาวกระแทกลงบนพื้นอย่างแรง พ่นเลือดทะลักออกจากในปาก
“ท่านผู้อาวุโส!!” วินาทีนี้ลูกหลานตระกูลเซียวกลุ่มหนึ่งสั่นสะเทือนตกใจกันหมด ผู้อาวุโสของพวกเขา…ผู้อาวุโสที่ฝีมือเยี่ยมไม่เป็นสองรองใคร…คาดไม่ถึง…คาดไม่ถึงจะแพ้แล้ว?
นี่…เป็นไปได้อย่างไร!!!
เจ้าบ้านตระกูลเซียว ฝึกฝนวิชาบุกตะลุยทั่วสารทิศมาชั่วชีวิต แต่วันนี้…คาดไม่ถึงจะแพ้อยู่ในน้ำมือคนรุ่นหลังที่อายุน้อยเช่นนี้ได้? นี่…ช่างน่าตกใจเกินไป
“ซู่—!” ผู้อาวุโสผมขาวใช้ทักษะพุ่งจู่โจมเข้ามาอย่างดุเดือด ปล่อยหมัดหนึ่งมายังเฉินเป่ยโดยตรง อากาศสั่นสะเทือนเลือนลั่น แค้นนี้ เขาทนไม่ได้เด็ดขาด แค้นใหม่แค้นเก่า ต้องจัดการพร้อมกัน
เฉินเป่ยแวบหาย หลบเลี่ยงหมัดนั้นไปทันที
“สารเลว! ตายซะ!!” ผู้อาวุโสผมขาวสีหน้าเขียวปัดเย็นเฉียบ
หมัดทั้งสองสั่นสะเทือน ผู้อาวุโสผมขาวโจมตีมาด้วยอานุภาพที่สยองขวัญ วันนี้เขาต้องพยายามต่อสู้อย่างสุดชีวิตกับเฉินเป่ยให้ถึงที่สุด
มือทั้งสองของเฉินเป่ยจับหมัดของเขาไว้แน่นฉับไว พลังทั่วทั้งตัวผุดขึ้นกะทันหัน
“ซู่—!” ทั้งตัวผู้อาวุโสผมขาวถูกสะบัดกลางอากาศโดยตรง…เดิมทีเขาไม่มีทางรั้งแรงหนืดของร่างกายไว้ได้…
ฝุ่นตลบอบอวล และเมื่อรอให้ผู้อาวุโสผมขาวได้สติขึ้นมาจากอาการวิงเวียน เขาก็ปีนขึ้นมาด้วยความโมโหเดือดดาลและกระเซอะกระเซิง…แต่ยังมีภาพเงาของเฉินเป่ยอยู่ที่ไหนกัน? รถยนต์คันนั้นแล่นฉิวออกไปตั้งแต่นานแล้ว…หายไปท่ามกลางถนน…
…
ขณะนั่งอยู่ในรถ รอยยิ้มที่มุมปากของเฉินเป่ยสามารถพูดได้ว่าลุ่มลึกสะดุดตา…เขาขับรถไมบัคอยู่ ซึ่งอยู่ระหว่างทางกลับไปยังบริษัท
…
พระอาทิตย์ตกยามสนธยา พระอาทิตย์ดวงหนึ่งกำลังตกลงทางทิศตะวันตก ย้อมสีแดงไปทั่วทั้งเส้นขอบฟ้า
เฟยหยางกรุ๊ป ห้องทำงานท่านประธานชั้นบนสุด
เซวอี้ยืนอยู่หน้ากระจกชมวิว ดวงตาคู่หนึ่งจ้องมองปลายทางเส้นขอบฟ้าไปตรงๆ อาคารที่สูงระฟ้าแห่งนั้น…
“บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป…หรือว่า…เธอจะแข็งแรงแน่นหนาจริงเหรอ?” เสียงของเซวอี้ทอดยาวล้ำลึก มีความเย็นที่น่าประหลาดใจนิดๆ
เลขาฯจางจื่อหลานยืนอยู่ด้านข้างด้วยความเคารพนอบน้อม มองกระแสราคาตลาดช่วงล่าสุดนี้อยู่คร่าวๆ
“ประธานเซว ช่วงนี้…ราคาหุ้นของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปพุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง…เหมือนว่าแนวโน้มนับวันยิ่งดีขึ้น…มีธุรกิจบริษัทมากมายเจรจาร่วมโครงการกับบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป…” จางจื่อหลานพูดเสียงน่าดึงดูด
เซวอี้หรี่ดวงตาเล็กน้อย เขาไม่ได้พูดอะไร…แต่ความซับซ้อนในแววตายังครุ่นคิดวนเวียนไม่หยุด…
ตั้งแต่เข้าสู่วงการธุรกิจมา เซวอี้ไม่เคยประสบกับความพ่ายแพ้ใหญ่เช่นนี้ บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปแข็งแรงแน่นหนาดุจกำแพงเหล็กนั้นจริงๆ เดิมทีไม่มีทางบุกเข้ายึดได้เลย
“ช่วยฉันต่อสายห้องทำงานประธานของบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปที” ทันใดนั้นเซวอี้พูดจาแบบล้ำลึกทอดยาว
บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป ห้องทำงานท่านประธาน
เวลานี้หลีชิงเยียนกำลังหงุดหงิดใจอยู่ล่ะ ตั้งแต่เมื่อคืนที่เฉินเป่ยไม่กลับมาทั้งคืน ทำให้อารมณ์ของเธอสับสน…ผู้หญิงที่ถ้าไม่ได้โกรธอะไร พอเวลาโกรธขึ้นมา นั่นคือสิ่งที่น่ากลัวมาก
เฉินเป่ยขยับเข้ามาด้านข้าง ปลอบใจแม่เสือตัวนี้ด้วยความระมัดระวัง…
เขาปลอบหลีชิงเยียนอยู่สองชั่วโมงเต็มๆ หลีชิงเยียนที่อารมณ์เสียก็ไม่ได้ดีขึ้นมาสักนิดเดียว
ในเวลานี้เอง ทันใดนั้นโทรศัพท์ในห้องทำงานท่านประธานดังขึ้น
“ประธานหลีคะ ประธานเซวของเฟยหยางกรุ๊ปบอกว่าอยากเจรจากับคุณค่ะ…ต้องการให้โอนสายมาให้คุณเลยหรือเปล่าคะ?” ในสายโทรศัพท์ เสียงของเลขาฯซุนเจียเจียดังขึ้น
“เซวอี้?” หลีชิงเยียนตะลึงเล็กน้อย ลังเลอยู่นิดหน่อย จากนั้นตอบว่า “โอนมาเถอะ”
ไม่นานโทรศัพท์ก็โอนไปที่สายของเซวอี้แล้ว
“ประธานหลี สวัสดีครับ” ในลำโพงของโทรศัพท์ เสียงของเซวอี้ค่อยๆ ลอยออกมา
“สวัสดีค่ะประธานเซว ไม่ทราบว่าคุณโทรศัพท์เข้ามาหากะทันหัน มีธุระอะไรหรือเปล่าคะ?” หลีชิงเยียนถามด้วยความสงสัย
“ประธานหลี ช่วงนี้เฟยหยางกรุ๊ปของผมกำลังตามหาผู้ร่วมงานด้วย ไม่ทราบว่าประธานหลีคุณสนใจหรือไม่ครับ พวกเรามานั่งเจรจากันสักหน่อย” เซวอี้ค่อยๆ บอกออกมา น้ำเสียงสงบไร้ที่เปรียบ ไม่มีการวางมาดใดๆ
ร่วมงานด้วย?…ความสงสัยของหลีชิงเยียนยิ่งเพิ่มขึ้น เธอสงสัยอยู่ตั้งนาน ก่อนจะตอบกับไปด้วยน้ำเสียงดึงดูดและความหมายขอโทษ “ประธานเซว…ช่วงนี้ฉันไม่มีแผนการร่วมงานอะไรเลยค่ะ…ขอโทษด้วยจริงๆ นะคะ…”
ได้ยินคำพูดนี้ เซวอี้ในสายโทรศัพท์เงียบไปนิดหน่อย
“ประธานหลี ผมคิดว่าระหว่างพวกเรามีโอกาสร่วมงานกันใหญ่มาก ผมกุมข้อมูลวงการธุรกิจที่สำคัญของเมืองหู้ไห่เอาไว้ บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปของพวกคุณก็เป็นผู้นำของอสังหาริมทรัพย์ นี่คือโอกาสในการร่วมงานกันที่แข็งแกร่งมากเลยล่ะ…” เซวอี้พูดอธิบาย
“ขอโทษด้วยค่ะ คงไม่จำเป็นหรอกค่ะ…ถ้าไม่มีธุระอะไรอีก ฉันวางก่อนนะคะ” หลีชิงเยียนพูดจบ ตัดสายโทรศัพท์แล้ว
เฉินเป่ยยืนอยู่ด้านข้าง ฟังบทสนทนาเมื่อสักครู่นี้ชัดเจนทั้งหมด
“คือเซวอี้คนนั้น?” เฉินเป่ยเบ้ปาก “มีเจตนาไม่ดี”
ดวงตาหลีชิงเยียนแข็งเบาๆ พูดอย่างล้ำลึก “นอกจากท่าเรือสิบสามแห่งในมือฉันนั้นแล้ว เขายังมีโอกาสร่วมงานอะไรอีกล่ะ?”
…
เฟยหยางกรุ๊ป ห้องทำงานท่านประธาน
ดวงตาเซวอี้แข็งทื่อขึ้น ก้มหน้ามองโทรศัพท์ที่ถูกตัดสายในมือแวบหนึ่ง…ในแววตาลุ่มลึกทอดยาวไร้ขอบเขต
“ประธานเซวคะ…จะทำอย่างไรดีคะ?” จางจื่อหลานถามขึ้น
“เตรียมรถ ฉันจะไปบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป” เซวอี้พูดแบบล้ำลึกทอดยาว
ใบหน้าจางจื่อหลานตะลึงเล็กน้อย…ประธานเซว…นี่หมายความว่าอยากไปบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ปด้วยตนเอง?
พอนึกถึงบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป…ในสมองของหล่อนก็ปรากฏภาพเงาของผู้ชายชั่วร้ายคนนั้นขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ…เฉินเป่ย…ภาพเงาของปีศาจร้ายตนนั้นมักจะปรากฏในฝันของหล่อน…นี่ทำให้ในใจหล่อนแอบสับสนและซับซ้อน
…
ช่วงเวลาพลบค่ำยามสนธยา ใต้ตึกบริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป
รถเบนท์ลีย์มูลซานคันหนึ่งขับมาช้าๆ จอดอยู่ที่หน้าประตูใหญ่บริษัทตระกูลหลีกรุ๊ป
เซวอี้ที่ใส่สูทเรียบกริบค่อยๆ ก้าวออกจากตัวรถ เขาเอามือล้วงกระเป๋าไว้สองข้าง ดูลักษณะแบบสุภาพบุรุษ ยืนอยู่หน้าประตูใหญ่ รอคอยอย่างนิ่งสงบ
หลังจากนั้นสิบกว่านาที หลีชิงเยียนใส่รองเท้าส้นสูง เดินออกมาจากอาคารกับเฉินเป่ยด้วยกันสองคน
เซวอี้จัดเนกไทเสร็จ ก้าวเข้ามาแบบสุภาพบุรุษ
“ประธานหลี สวัสดีครับ”
หลีชิงเยียนที่ใส่รองเท้าส้นสูงหยุดชะงักเล็กน้อย มองผู้ชายด้านหน้าด้วยความอึ้งทึ่งพอสมควร…
“ประธานเซว? คุณมาได้อย่างไรกัน?” ใบหน้าหลีชิงเยียนดูแปลกใจมาก…เซวอี้คนนี้มาหาตนเองถึงที่บริษัทแบบน่าประหลาดใจ จะทำอะไรกัน?
เซวอี้โค้งตัวนิดหน่อย พูดแบบสุภาพบุรุษ “ประธานหลี เมื่อสักครู่นี้คุณตัดสายเร็วเกินไป ผมยังไม่ทันพูดจบ…ประธานหลี หวังว่าคุณจะไม่ถือสา…ให้โอกาสผมสักครั้ง เย็นนี้ให้ผมเป็นเจ้ามือเลี้ยงข้าวคุณ เกี่ยวกับการร่วมงาน คุณฟังผมบอกรายละเอียดดูก่อนแล้วกัน”
ดวงตาหลีชิงเยียนแข็งทื่อขึ้นมาเล็กน้อย…เซวอี้คนนี้…ยังดื้อดึงแบบไม่ยอมเลิกราเสียจริง…เมื่อสักครู่ตนเองปฏิเสธเขาในสายโทรศัพท์ไปแล้ว เขายังพัวพันไม่เลิก
เฉินเป่ยยืนอยู่ด้านข้าง มองเซวอี้แบบมีความเจ้าเล่ห์…พริบตาหนึ่งสาดส่องสายตาไปในรถเบนท์ลีย์แล้ว…ที่นั่งข้างคนขับ เลขาฯจางจื่อหลานกำลังนั่งอยู่ที่นั่น เห็นได้ชัดว่าเงียบสงบ…
เพียงแค่ชั่วขณะนั้นที่ดวงตาของจางจื่อหลานกวาดมาเจอเฉินเป่ย หัวใจของหล่อนเต้นแรงขึ้นมา…อารมณ์ที่สับสนสุดจะทนนั้นทำให้หล่อนหวาดผวาอย่างน่าประหลาด…
เซวอี้โค้งตัวแบบสุภาพบุรุษอีกครั้ง พูดเชื้อเชิญ “ประธานหลีครับ หวังว่าคุณจะให้โอกาสผมสักครั้งหนึ่ง…ถ้าคุณไม่รับปาก…งั้นผมจะยืนอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหนเลย~”
บนหน้าเซวอี้มีรอยยิ้มที่จริงใจ พูดจาเชื้อเชิญแบบสุภาพบุรุษอย่างยิ่ง
เห็นลักษณะที่จริงใจแบบนี้ของเซวอี้ หลีชิงเยียนก็ลังเลแล้ว…ฝ่ายตรงข้ามเชื้อเชิญด้วยความเคารพและจริงใจเช่นนี้…ถ้าเธอไม่ไป…นั่นจะพูดไม่ถูกอยู่บ้างหรือเปล่า? หลีชิงเยียนเป็นคนที่อ่อนโยนไม่ชอบบีบบังคับ…เวลานี้เธอจึงลังเลแล้ว
ช่วงเวลานั้น ดวงตาของเธอสาดส่องไปยังเฉินเป่ยที่อยู่ด้านข้าง เหมือนมีความหมายสอบถาม
เฉินเป่ยพยักหน้าให้เธอ
พอเห็นว่าเฉินเป่ยพยักหน้า หลีชิงเยียนถึงเม้มริมฝีปากแดงเบาๆ ตัดสินใจเอาไว้ในใจเรียบร้อย ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไรกันที่การพึ่งพาต่อเฉินเป่ยของเธอกำลังค่อยๆ เพิ่มขึ้น…
“ได้ค่ะ ในเมื่อเป็นแบบนี้ อย่างนั้นคงต้องให้ประธานเซวเสียทรัพย์แล้ว” หลีชิงเยียนยิ้มตื้นๆ ด้วยท่วงท่าเทพธิดาที่ดูสดใสร่าเริง
เซวอี้ย่อมสังเกตถึงสายตาที่เธอขอความคิดเห็นจากเฉินเป่ยนั้นเป็นธรรมดา…วินาทีนี้ ในใจของเซวอี้ผุดการคาดเดาที่ล้ำลึกขึ้นมา…หรือว่า…เฉินเป่ยคนนี้…ที่เป็นอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังของหลีชิงเยียนและสนับสนุนเธอมาตลอดคนนั้นเหรอ?
ในใจเซวอี้คาดเดาลุ่มลึก ภายนอกกลับไม่ได้เปิดเผยออกมา โค้งตัวยิ้มแบบสุภาพบุรุษ “เป็นโชคดีที่ประธานหลีออกไปทานข้าว รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ”
“ประธานหลี เชิญครับ” เซวอี้พูดเชิญด้วยความเคารพนอบน้อมเป็นสุภาพบุรุษ ขณะเดียวกันดึงประตูรถเบนท์ลีย์เปิดให้เอง
“ขอบคุณค่ะ แต่ฉันจะนั่งรถของตัวเองไป” หลีชิงเยียนปฏิเสธคำเชื้อเชิญของเซวอี้ จากนั้นเดินไปยังรถไมบัคคันนั้นของตนเอง…
ดวงตาเซวอี้แข็งทื่อเล็กน้อย ความลุ่มลึกแวบผ่านไป…
รถเบนท์ลีย์ค่อยๆ ขับออกไป รถไมบัคตามมาอยู่ด้านหลัง…ขับตรงไปยังไนต์คลับส่วนตัวที่มีระดับของเมืองหู้ไห่แห่งหนึ่งตลอดทาง
หลังเซวอี้ลงจากรถ รีบเดินเข้ามาหน้ารถไมบัคอย่างรวดเร็ว ดึงประตูรถเปิดแทนหลีชิงเยียนแบบสุภาพบุรุษ
หลีชิงเยียนแปลกใจอยู่บ้าง เธอถูกท่าทีที่เป็นสุภาพบุรุษอ่อนน้อมถ่อมตนเคารพเช่นนี้ของเซวอี้ในชั่วพริบตาเดียว ทำให้ตกตะลึงไปหมดเลย…เซวอี้คนนี้…ทำไมถึงแปลกประหลาดอยู่บ้าง?