บทที่ 624 ใครคือฆาตกร
“กะ..แกยังไม่ตาย!” น้ำเสียงของยามาโมโตะ อิจิโร่สั่นระรัวและเต็มไปด้วยความไม่อยากจะเชื่อ
ค่ำคืนนี้ยามาโมโตะ อิจิโระสั่งให้ทาเคดะคุงพาคนไปสังหารผู้ชายคนนี้ คนขับรถของหลีชิงเยียนต้องตายไปแล้วสิ
ทำไมเขาถึงโผล่มาที่นี่ได้ เป็นไปได้ยังไง
อย่าบอกนะว่า…ความคิดที่น่ากลัวผุดขึ้นมาในหัวของยามาโมโตะ อิจิโร่
“ขอโทษด้วยนะคุณยามาโมโตะ อิจิโร่ ผมเกรงว่าเหล่านินจาของคุณจะไม่สามารถกลับมาได้อีกแล้ว” น้ำเสียงของเฉินเป่ยราบเรียบ แต่มันกลับแฝงไปด้วยความน่ากลัวราวกับอยู่ในนรก
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของยามาโมโตะ อิจิโร่เปลี่ยนไปทันที เป็นไปไม่ได้ วันนี้เขาส่งแต่คนมีฝีมือในแก๊งยามาโมโตะไป คนพวกนั้นเป็นนินจาสังหารที่น่ากลัวที่สุดในแก๊งยามาโมโตะ แถมยังมีทาเคดะคุงที่ลงมือด้วยตัวเองอีกด้วย จะพ่ายแพ้ได้อย่างไร
“กะ…แกเป็นใคร” สีหน้าของยามาโมโตะ อิจิโร่เปลี่ยนไป แววตาของเขาวูบไหว และเอาแต่จ้องไปที่เฉินเป่ยด้วยความหวาดกลัวอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ตอนนี้เหมือนเขาสัมผัสได้ถึงความตาย
ยามาโมโตะ อิจิโร่สั่นไปทั้งตัว เพราะเขาสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของผู้ชายที่อยู่ตรงหน้า ผู้ชายคนนี้เป็นใครกันแน่ ขนาดกลุ่มอิ่นสี ทาเคดะคุงก็ไม่สามารถทำอะไรเขาได้
สีหน้าของเฉินเป่ยราบเรียบ เขาบีบคอยามาโมโตะ อิจิโร่ด้วยมือข้างเดียว ทันใดนั้นมีดสีดำขลับก็พุ่งไปปักบนกำแพงข้างศีรษะของยามาโมโตะ อิจิโร่ มันห่างจากศีรษะของเขาเพียงนิ้วเดียว
ยามาโมโตะ อิจิโร่หันไปมองอย่างตกใจ เมื่อเห็นมีดที่ปักอยู่บนกำแพง ดวงตาของเขาก็พร่าเลือนไปหมด แต่วินาทีต่อมาเขาก็สั่นไปทั้งตัว
ความคิดที่น่ากลัวผุดขึ้นมาในหัวของเขา
มีดเล่มนี้ มีดสีดำขลับ บนตัวมีดเต็มไปด้วยหนามแหลมและลวดลายอันลึกลับ เขาเคยได้ยินมาว่าบนโลกนี้มีมีดแบบนี้เพียงเล่มเท่านั้น ชื่อของมันคือ หลงหยา!
“กะ..แกคือ…” ยามาโมโตะ อิจิโร่สั่นไปทั้งตัว เขาเบิกตาโพลง มันเกิดจากความหวาดกลัวที่อยู่ในจิตวิญญาณ
“ราชาหลง?” ยามาโมโตะ อิจิโร่พูดชื่อนั้นออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา เขาตัวสั่นอย่างรุนแรง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เฉินเป่ยจ้องเขาด้วยสีหน้าราบเรียบ เขาแสยะยิ้มกระหายเลือดออกมา “ยินดีด้วย แกตอบถูก”
ราวกับหัวสมองของยามาโมโตะ อิจิโร่ระเบิดออก สีหน้าของเขาซีดเหมือนคนตาย สั่นไปหมดทั้งตัว
ตอนนี้เขาเหมือนวิญญาณหลุดออกจากร่าง เขาตกใจจนเสียสติเพราะชื่อของราชาหลง
ชื่อที่แสนน่ากลัวในต่างแดน
ยามาโมโตะอิจิโร่ไม่เคยคิดเลยว่าวันหนึ่งเขาจะยืนประจันหน้ากับราชาหลง คนที่น่ากลัวเช่นนี้ เขาคิดไม่ถึงว่าตัวเองจะสิ้นสติจนสั่งคนไปสังหารราชาหลง นี่มันเป็นเหมือนการขุดหลุมฝังตัวเองชัดๆ
“ราชาหลงผู้ยิ่งใหญ่ ผมไม่ได้ตั้งใจทำผิดต่อคุณ ผมแค่ทำตามคำสั่งของแก๊ง…” ยามาโมตะ อิจิโร่สั่นไปทั้งตัว มันคือความกลัวที่ออกมาจากจิตใจ
“ผมไม่รู้ว่าคุณคือราชาหลงผู้ยิ่งใหญ่ ราชาหลง ได้โปรดไว้ชีวิตผมเถอะ ขอร้องล่ะ ผมมันก็แค่ไอ้กระจอกในแก๊งยามาโมโตะ นี่เป็นการตัดสินของแก๊ง ไม่เกี่ยวอะไรกับผม…” ยามาโมโตะ อิจิโร่ตัวสั่นเทา ตอนนี้หัวหน้าแก๊งยามาโมโตะไม่สนใจศักดิ์ศรีอีกแล้ว เขาเอาแต่ร้องขอชีวิต เมื่ออยู่ต่อหน้าราชาหลง เขารับรู้ได้ถึงกลิ่นแห่งความตาย มนุษย์สามารถทำได้ทุกอย่างเมื่อใกล้ตาย เขาต้องรักษาชีวิตตัวเองเอาไว้
เมื่อได้ยินยามาโมโตะ อิจิโร่ร้องขอชีวิต เฉินเป่ยแสยะยิ้มเย้ยหยันออกมา ทั้งชีวิตเขาเจอเลือดเจอศัตรูมานับไม่ถ้วน และผู้ที่แข็งแกร่ง มักจะเป็นผู้ที่ไม่เกรงกลัวความตาย คนที่กลัวตาย ไม่สมควรเป็นคู่ต่อสู้ ยิ่งกว่านั้นมันไม่คู่ควรกับการลงมือของราชาหลง เขากลัวมือของตัวเองจะต้องแปดเปื้อน
“ไสหัวออกไปจากหัวเซี่ย บอกผู้อาวุโสในแก๊งยามาโมโตะของพวกแกด้วย นี่คือที่ต้องห้ามสำหรับโจรอย่างพวกแก ถ้ายังมาก่อความวุ่นวายอีก ไม่ว่าจะต้องตามไปไกลแค่ไหน ฉันก็จะฆ่าแกให้ได้” เสียงของเฉินเป่ยเหมือนเสียงจากนรก มันแฝงไปด้วยความน่ากลัว
ตอนนี้ยามาโมโตะ อิจิโร่ยิ่งสั่นเข้าไปใหญ่ ปัสสาวะอุ่นๆ ไหลออกมาจากเป้าของเขาอย่างช้าๆ
บุคคลอันสูงส่งของแก๊งยามาโมโตะ กลัวจนฉี่ราด
เฉินเป่ยเหวี่ยงตัวของยามาโมโตะ อิจิโร่ออกไปอย่างแรง ตัวของเขากระแทกกับกำแพงจนแตกและยุบลง
เฉินเป่ยไม่อยากสนใจคนขี้ขลาดแบบนี้ เขาเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วออกไปทางหน้าต่าง และหายไปท่ามกลางพายุฝนยามค่ำคืน
…
พายุฝนเทกระหน่ำทั้งคืน จนกระทั่งเช้าตรู่ พายุฝนจึงค่อยๆ สงบลง หลังจากที่พายุอันบ้าคลั่งผ่านไป บนถนนในเมืองแห่งนี้เละเทะไปหมด
ต้นไม้จำนวนมากโดนฟันจนล้มลงมา ป้ายโฆษณาถูกล้มพัดตกอยู่ที่พื้น ถนนเส้นนี้เละเทะเพราะลมพายุ
รถเก๋งขับอยู่บนถนนเพื่อที่จะไปทำงานตอนเช้า เมื่อขับมาถึงกลางถนน รถถึงกับเบรกกะทันหัน คนขับตัวสั่นและโผล่หัวออกไปนอกหน้าต่าง เขาเห็นอะไรกันนะ
ศพเต็มพื้น ยังหลงเหลือคราบเลือดอยู่บนพื้น กลิ่นคาวเลือดลอยคละคลุ้งไปทั่ว มันเป็นภาพที่สยดสยองมาก
จากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องดังกึกก้องอยู่บนถนน ท่ามกลางความเงียบยามเช้าตรู่
หลังจากผ่านไปสิบนาที เสียงไซเรนของรถตำรวจกว่าสิบคันดังขึ้น รถตำรวจจอดอย่างรวดเร็วบนถนนที่เกิดเหตุ
เทปกั้นเขตตำรวจถูกดึงออกมากั้นบริเวณรอบๆ ระยะทางหนึ่งกิโลเมตร เพื่อปิดกั้นสถานที่เกิดเหตุ
โล่ก้วนจองพาเจ้าหน้าที่เดินเข้าไปในสถานที่เกิดเหตุ
เมื่อมองไปยังภาพที่น่าสยดสยอง สีหน้าของโล่ก้วนจองหดหู่เป็นอย่างมาก นี่เป็นอีกคดีหนึ่งของการฆาตกรรมที่ร้ายแรง
สีหน้าของโล่ก้วนจองเคร่งขรึม เขากวาดตามองไปรอบๆ สถานที่เกิดเหตุ หัวของศพแต่ละศพถูกอาวุธอันแหลมคมฟันจนขาด
“ผู้บัญชาการโล่ครับ คนพวกนี้แต่งตัวประหลาดมาก พวกเขาใส่ชุดอำพรางตัวสีดำ หัวที่ถูกตัดจนขาดก็อำพรางใบหน้าด้วยครับ แถมยังมีดาบซามูไรหักอยู่เต็มพื้น” ตำรวจอาชญากรรมคนหนึ่งรายงานด้วยสีหน้าจริงจัง
แววตาของโล่ก้วนจองจ้องเขม็ง การแต่งตัวของคนพวกนี้ เหมือนกับพวกนินจาสังหารในละครทีวี
แต่นั่นมันเป็นฉากในละครทีวี ในชีวิตจริงจะมีนินจาจริงเหรอ
ตอนนี้หัวสมองของโล่ก้วนจองสับสนไปหมด เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองกำลังสัมผัสกับโลกที่ไม่เคยเจอมาก่อน โลกที่แตกต่างกับพวกเขาโดยสิ้นเชิง
“ผู้บัญชาการโล่ครับ ผมตรวจดูบาดแผลทั้งหมด ผมยังไม่เคยเห็นบาดแผลที่ประณีตเช่นนี้ มันเป็นอาวุธที่คมกว่ามีดผ่าตัด!” แพทย์นิติเวชเดินเข้ามาพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
เมื่อได้ยินเช่นนั้น สีหน้าของโล่ก้วนจองยิ่งซีดเผือด เขาไม่มีปัญญาไปทำคดีแบบนี้ คดีที่เขาไม่สามารถคลี่คลายได้!
อย่าบอกนะว่าคนพวกนี้คือนินจานักฆ่า โล่ก้วนจองมองศพที่กองเต็มพื้น จู่ๆ ความคิดอันน่ากลัวก็ผุดขึ้นมาในใจ จากนั้นผู้ชายคนหนึ่งก็ผุดเข้ามาในหัวของเขา ผู้ชายคนนี้มาสร้างความวุ่นวายเมื่อไม่นานมานี้และทิ้งร่องรอยเอาไว้ในใจของเขา!
ชายลึกลับที่เขาแทบจะไม่รู้จัก เขารู้เพียงว่าแม้แต่หัวหน้าก็ยังต้องออกโรงปกป้องผู้ชายคนนั้น เขาเป็นใครกันแน่ หรือเขาจะเป็นฆาตกรในคดีนี้ แต่ไม่นานความสงสัยนี้ก็หายไปจากหัวของเขา เรื่องครั้งก่อน เขารู้ดีกว่าใครว่าทำไมเฉินเป่ยถึงถูกกักขังในคุก
…
ในวันนี้สถานีตำรวจทั้งหมดในเมืองหู้ไห่สั่นคลอนด้วยการฆาตกรรมครั้งใหญ่ในตอนเช้าตรู่ และเฉินเป่ยผู้ที่เกี่ยวข้องกับการสังหารเมื่อคืน นั่งอยู่ในห้องทำงานอย่างสงบและพ่นควันบุหรี่ออกมา เขาเล่นเกม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ห้องทำงานของประธานที่อยู่ข้างๆ
หลีชิงเยียนประธานเทพธิดากำลังนั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ ดวงตาคู่สวยสับสนไปหมด ตอนนี้ใจของเธอไม่สามารถสงบสุขได้
หลังจากเห็นข่าวเมื่อเช้า เธอเพิ่งรู้ว่าเมื่อคืนตัวเองได้ประสบกับเหตุการณ์ที่น่ากลัวเป็นอย่างมาก
เพราะอยู่กับเฉินเป่ย เรื่องแปลกประหลาดและลึกลับเหล่านั้น เปลี่ยนความคิดความเข้าใจตามปกติของหลีชิงเยียนตลอดเวลา เรื่องราวพวกนั้นไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์
เหมือนหลีชิงเยียนจะนึกถึงเรื่องเมื่อคืนได้ เสียงคำรามท่ามกลางพายุฝน เธอได้ยินเสียงคำรามเมื่อคืนอย่างชัดเจน มันเป็นเสียงคำรามของมังกร ที่ทำให้คนตกตะลึง
เธอหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเสียงที่บันทึกเอาไว้ เสียงพายุฝนดังขึ้นอีกครั้ง มันปะปนกับเสียงคำราม
เสียงคำรามเมื่อคืนถูกเธอบันทึกเสียงเอาไว้ในมือถือ
เมื่อได้ยินเสียงคำรามที่บันทึกเอาไว้ ดวงตาคู่สวยของหลีชิงเยียนก็ยิ่งจริงจังขึ้น อาวุธสามารถส่งเสียงคำรามออกมาได้จริงเหรอ เธอไม่สามารถใช้วิทยาศาสตร์อธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นได้เลย
ดังนั้น เธอจึงเปิดคอมพิวเตอร์และค้นหาคำว่าเสียงคำรามของมังกร
เธอค้นหาบนอินเทอร์เน็ต แต่ทว่าไม่มีสิ่งที่เธออยากรู้ หลีชิงเยียนเปิด VPN ค้นหาข่าวในต่างแดน ยังคงไม่มีอะไรปรากฏออกมา เธอขมวดคิ้วขึ้น เธอฟังเสียงที่บันทึกอยู่ในมือถือ รู้สึกถึงหัวใจที่กำลังเต้นแรง เรื่องนี้ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยระบบความรู้ที่เธอมีอยู่
ดังนั้นหลีชิงเยียนจึงติดต่อกับอาจารย์ที่ปรึกษาที่ประเทศอังกฤษ เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เธอสงสัย
ไม่นาน หลีชิงเยียนก็ได้รับอีเมลตอบกลับ : ในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เรียกว่ามังกรจริงๆ สิ่งที่เรียกว่ามังกรเป็นสิ่งมีชีวิตที่มนุษย์สร้างขึ้นในอดีต มันเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้เหมือนตำนาน
เมื่ออ่านสิ่งที่ศาสตราจารย์ตอบกลับมา หลีชิงเยียนยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่ เป็นไปได้ไหมว่าเธอจะได้ยินเสียงหลอนไปเอง แต่เสียงที่บันทึกไว้ในมือถือมันชัดเจนมาก เธอจะฟังผิดได้ยังไง
หลีชิงเยียนคิดอยู่นาน เธอตัดสินใจส่งเสียงที่บันทึกกลับไป
หลังจากนั้น อีกฝ่ายก็ไม่ตอบกลับมาอีกเลย
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วโมง ถึงมีอีเมลตอบกลับมา: ฉันต้องการเวลาเพื่อระบุสาเหตุของเสียงนี้ และทำการวิเคราะห์ …
หลีชิงเยียนอ่านอีเมลที่ตอบกลับมา เธอเหม่อไป เรื่องนี้ทำให้อาจารย์สนใจอย่างนั้นเหรอ
ช่วงเย็นตอนเลิกงาน เฉินเป่ยพาประธานเทพธิดาไปส่งที่บ้าน แต่เขาไม่ได้กลับไปพร้อมกับหลีชิงเยียน แต่เขากลับไปซื้อของขวัญและขับรถไปยังชุมชนแห่งหนึ่งในเมืองหู้ไห่
รถยนต์มายบัคเคลื่อนตัวมาจอดหน้าคฤหาสน์แห่งหนึ่ง เฉินเป่ยหิ้วของขวัญเดินเข้าไปข้างใน เขาเคาะประตู ไม่นาน ประตูก็เปิดออก “ใครน่ะ” เสียงดังขึ้น และมีศีรษะที่มีผมยาวโผล่ออกมา
เมื่อเย่ชวงเห็นเฉินเป่ยก็อึ้งไป
เฉินเป่ยยืนอยู่หน้าประตูและยิ้มให้เธอบางๆ
เย่ชวงหน้าแดงเล็กน้อย เพราะว่าตอนนี้เธออยู่ในชุดนอน
“โครม” เธอปิดประตูลงทันที
เฉินเป่ยอึ้งไปเมื่อถูกปิดประตูใส่
ผ่านไปไม่นาน ประตูก็ถูกเปิดออกอีกครั้ง
คนที่มาเปิดประตูคือพ่อของเย่ชวงที่นั่งอยู่บนรถเข็น
“สวัสดีครับคุณลุง” เฉินเป่ยโค้งตัวเล็กน้อยเพื่อทักทายพ่อของเย่ชวง
ตอนที่พ่อของเย่ชวงเห็นเฉินเป่ย ก็อึ้งไปเล็กน้อยเช่นกัน แต่เขาก็ยังเชิญเฉินเป่ยเข้ามานั่งในบ้าน
“เย่ชวงล่ะครับ” เฉินเป่ยกวาดตามองรอบๆ แต่กลับไม่เจอเย่ชวง
“อยู่ในห้องน่ะ ไม่รู้ว่าทำอะไรอยู่” พ่อของเย่ชวงเอ่ยขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน ประตูห้องของเย่ชวงก็เปิดออก เธอได้เปลี่ยนชุดนอนเป็นชุดลำลองเรียบร้อยแล้ว
“นายเข้ามานี่” เย่ชวงชี้ไปที่เฉินเป่ย แล้วพูดออกมาอย่างหงุดหงิด
เมื่อพ่อของเธอเห็นท่าทีแบบนั้น ก็อดพูดออกมาไม่ได้ “เสี่ยวชวง ทำไมถึงไร้มารยาทกับแขกแบบนี้”
“เขาเป็นผู้ร้าย เขาเป็นผู้ต้องสงสัย!” สีหน้าของเย่ชวงนิ่ง จากนั้นเธอจึงดึงเฉินเป่ยเข้าไปในห้อง แล้วปิดประตูดังโครม
เย่ชวงดึงเฉินเป่ยไปที่ผนังห้อง และมองเขาเหมือนกำลังสอบปากคำและใช้จิ้มไปที่เฉินเป่ย
“นายมาทำไม” เย่ชวงพูดอย่างโมโห
“ก็ออกมาหาเธอไง” เฉินเป่ยยิ้มกว้างและพูดอย่างยียวน
เมื่อได้ยินเช่นนั้น หัวใจที่พยายามเย็นชาหวั่นไหวเล็กน้อย แววตาของเธอวูบไหว
เฉินเป่ยยกมือขึ้นช้าๆ จากนั้นจึงจับมือของเธอ มือของทั้งสองคนประสานกันเบาๆ
ขณะนี้จิตใจของเย่ชวงสับสนไปหมด เธอขัดขืนเล็กน้อย เพื่อที่จะสะบัดมือของเฉินเป่ยออก แต่เฉินเป่ยกลับเหิมเกริมด้วยการโอบเธอไว้
“นายปล่อยฉันนะ!” สีหน้าของเย่ชวงเย็นชาขึ้นมาทันที เธอพูดอย่างไม่พอใจและพยายามดิ้นอย่างแรง
“อย่าขยับสิ ให้ผมกอดแป๊บเดียวได้ไหม” เฉินเป่ยมองเธอด้วยสายตามีเลศนัยแล้วพูดออกมา
ตอนนี้หัวใจของเย่ชวงสับสนเข้าไปอีก เธอไม่ดิ้นและปล่อยให้เฉินเป่ยกอดอย่างเงียบๆ
หลังจากผ่านไปพักใหญ่ เย่ช่วงจึงผละออกจากเขา
“นายมาบ้านฉันมีเรื่องอะไรกันแน่” เธอถามด้วยความสับสน
เฉินเป่ยยิ้มบางๆ แล้วพูดกวนประสาทว่า “คิดถึงเธอไง เลยแวะมาหา”
เมื่อได้ยินคำพูดกวนประสาท สีหน้าของเย่ชวงก็เปลี่ยนไปทันที มันทั้งสับสนและแดงระเรื่อ เธอผลักเฉินเป่ยเต็มแรงและไล่เขาออกไปจากห้อง
เย่ชวงโมโหมาก เธอจะไล่เฉินเป่ยออกไปจากบ้าน แต่สุดท้ายก็ถูกพ่อห้ามเอาไว้
พ่อของเธอชวนเฉินเป่ยอยู่ทานข้าวเย็นด้วยกัน
ตอนที่กำลังทานข้าว มีลูกหมาอ้วนวิ่งเข้ามา นั่งยองๆ ตรงหน้าโต๊ะอาหาร มันกระดิกหางไปมา ราวกับกำลังรออาหาร
เฉินเป่ยเห็นหมาน้อยก็อึ้งไป
“เธอเลี้ยงหมาด้วยเหรอ”
เย่ชวงกลอกตามองบนใส่เฉินเป่ย “ใช่ มีอะไร”
เฉินเป่ยโยนขนมกระดูกหมาให้ผิงอัน และพูดอย่างยียวนว่า “เย่ชวงเธอเลี้ยงมันจนอ้วน เธอก็ทำได้นิ”
เย่ชวงเบิกตาใส่เฉินเป่ย ดูเหมือนว่าเธอกำลังโกรธและไม่พอใจ จู่ๆ คนที่เคยเป็นผู้ต้องสงสัยก็มานั่งทานข้าวในบ้านของเธอ เหตุการณ์ที่เหมือนฉากในละครทำให้เย่ชวงรู้สึกอึดอัดใจ
จนกระทั่งตอนนี้ เย่ชวงคิดตลอดว่า ไอ้หมอนี่ทำเรื่องไม่ดีมามากมาย เธอรู้สึกเสียดายที่ไม่ลงโทษเขาตามกระบวนการยุติธรรม
พ่อของเธอชอบเปิดทีวีดูข่าวตอนทานข้าว วันนี้ก็เช่นกัน
ขณะนั้นเอง ก็มีข่าวที่นำเสนอเกี่ยวกับการแจ้งเบาะแสร้ายแรง
“เรียนผู้ชมทุกท่าน ได้รับแจ้งเบาะแสจากตำรวจเมืองหู้ไห่เพื่อขอความช่วยเหลือ จากการที่เกิดพายุไต้ฝุ่นเมื่อคืนที่ผ่านมา มีการฆาตกรรมข้ามชาติครั้งใหญ่เกิดขึ้นในล็อกหมายเลข 3 ของถนนหวูหมิง วิธีการของฆาตกรนั้นโหดร้ายและอันตรายเป็นอย่างมาก ตำรวจเตือนประชาชนทุกคนอีกครั้งว่าผู้ต้องสงสัยกำลังซ่อนตัวอยู่ในเมืองหู้ไห่ ตำรวจได้ปิดกั้นการจราจรทั้งหมด หากประชาชนทราบเบาะแสของผู้ต้องสงสัยหรือมีเบาะแสของผู้ต้องสงสัย เจ้าหน้าที่ตำรวจจะให้รางวัลแก่ผู้แจ้งเบาะแสเป็นจำนวนเงินหนึ่งล้าน”
เมื่อเห็นประกาศข่าวรางวัลนำจับที่พิมพ์ด้วยตัวอักษรมาตรฐานสีแดง คนบนโต๊ะอาหารต่างพากันเงียบไป
ดวงตาคู่สวยของเย่ชวงจ้องไปที่หน้าจอโทรทัศน์ เธอเคร่งขรึมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
พ่อของเธอหรี่ตาลง แววตาเต็มไปด้วยความลุ่มลึก
เฉินเป่ยดูข่าวด้วยสีหน้ามึนงงจนเหม่อลอย แต่ทว่าในใจของเขากลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น ในที่สุดก็ประกาศคดีนี้ออกมาแล้วสินะ เฉินเป่ยพอจะเดาได้ตั้งนานแล้วว่ามันจะออกมาเป็นเช่นนี้ การสังหารที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันส่งผลกระทบอย่างมาก แค่กำลังของตำรวจในเมืองหู้ไห่ ไม่มีทางคลี่คลายคดีนี้ได้อย่างแน่นอน เหล่าตำรวจอาชญากรรมโดนบีบบังคับ จนต้องใช้วิธีที่ให้ประชาชนแจ้งเบาะแสเพื่อทำการเก็บรวบรวมเบาะแสทั้งหมด แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือ การล่อเสือออกจากถ้ำ ถ้าผู้ต้องสงสัยได้เห็นข่าวนี้ เขาจะต้องตื่นตระหนกและหาวิธีหนีออกจาเมืองหู้ไห่ แต่พวกตำรวจไม่รู้เลยว่าวิธีการสืบสวนทั้งหมดที่ตำรวจอาชญากรรมทำ รวมถึงแผนที่วางเอาไว้ มันอยู่ในมือของเฉินเป่ยหมดแล้ว เฉินเป่ยเดาวิธีการพวกนี้ได้ตั้งนานแล้ว พวกเขาไม่รู้เลยว่ากำลังเผชิญหน้ากับผู้ต้องสงสัยแบบไหน ตอนนี้เฉินเป่ยกำลังนั่งอยู่ในบ้านของเจ้าหน้าที่ตำรวจหญิงของพวกเขา นั่งดูข่าวการนำจับโดยไม่มีท่าทีตื่นตระหนกและกังวลเลยแม้แต่น้อย เขานิ่งราวกับเป็นแค่ผู้ชมเพียงคนหนึ่ง
หลังจากเงียบอยู่นาน เย่ชวงเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เฉินเป่ย
“นายรู้ไหมว่าฆาตกรเป็นใคร” จู่ๆ เย่ชวงก็ถามออกมาอย่างมีเลศนัย