บทที่ 93 ความคิดไม่ตรงกัน + บทที่ 94 จะต้องสอบให้ผ่าน
Ink Stone_Romance
หยางชู่มองภรรยาของตนพลางผงกศีรษะ เขารู้ดีว่าคงจะเป็นเรื่องไม่ดีนัก แต่ตอนนี้ยังทำอะไรไม่ได้ หากมีเรื่องอะไรเกิดขึ้น และเป็นการรบกวนเหล่าขุนนางในเมือง คนที่โดนกล่าวโทษคงเป็นพวกเขา
“ชุ่ยเอ๋อร์ ดูนั่นสิ” หยางชู่เอ่ยหลังจากครุ่นคิดอยู่สักพัก
เขาเปิดร้านมาหลายปีแล้ว จนตอนนี้มีร้านค้ามากมายในเมือง ทำให้มีความหลากหลายมากขึ้น
เมื่อหยางชุ่ยมาถึงที่นี่ในตอนแรกนั้น ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี แต่เหตุผลที่พวกเขาจะต้องส่งตัวนางกลับไปก็เพราะว่านางดันไประรานคนที่นางไม่ควรจะไปยุ่ง ส่งผลให้พวกเขาต้องจ่ายเงินที่หามาได้อย่างยากลำบากแทนที่จะได้เก็บออมมันไว้นั่นเอง
ช่วงเวลาที่หยางชุ่ยอยู่ในตัวเมืองนั้น นางก็ดูเป็นปกติดี แต่ใครจะรู้ว่าตอนที่พวกเขากลับไปยังหมู่บ้านไป๋ซานนั้น นางจะมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ทั้งยังปีนข้ามกำแพงเข้าไปในบ้านของชายหนุ่มซ้ำแล้วซ้ำเล่า และในสถานะของหญิงสาวที่ยังไม่แต่งงานเช่นนี้แล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นก็ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่เลยทีเดียว
ต่อให้นางจะแต่งงานแล้ว แต่การกระทำเช่นนั้นก็มีแต่จะทำให้อับอายขายหน้า อีกทั้งก่อนจะลงมือก่อปัญหาต่างๆ เหล่านั้น หยางชุ่ยยังไม่เคยคิดไตร่ตรองถึงความรู้สึกของนาง หรือแม้แต่จะคิดถึงพี่ชายคนรองเลยสักครั้ง
พี่ชายคนรองของนางนั้นร่ำเรียนมาหลายปี ทั้งยังมีชื่อเสียงอันดีงามในสถานศึกษาอีกด้วย หากเขาต้องมาพัวพันกับปัญหาที่หยางชุ่ยเป็นคนสร้าง ความพยายามทั้งหมดที่ทุ่มเทลงไป ก็คงจบสิ้นอย่างแน่นอน
“อย่ากังวลเลย ข้ารู้ว่าจะต้องจัดการเช่นไร” ฮูหยินซุนผงกศีรษะอย่างเข้าใจสถานการณ์
หากกล่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้วนั้น ฮูหยินซุนมิได้ใส่ใจน้องสะใภ้คนนี้นัก เพราะนางไม่มีทักษะวิชาใดๆ หนำซ้ำยังเป็นคนประเภทที่คิดว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของโลกทั้งใบอีกต่างหาก และเมื่อฮูหยินซุนได้เห็นหญิงสาวนามว่าหนิงเมิ่งเหยาเพียงแวบเดียว ก็บอกได้ทันทีว่าหยางชุ่ย และหญิงสาวคนอื่นๆ นั้นไม่อาจเทียบชั้นกับหญิงงามผู้นี้ได้เลย
รูปร่างหน้าตาของหนิงเมิ่งเหยานั้นช่างงดงาม นิสัยใจคอก็ดีเยี่ยม ทั้งยังมีลักษณะท่าทางที่คนมีความรู้พึงกระทำ นอกจากนี้นางยังเป็นคนช่างเรียนรู้อีกต่างหาก แล้วคนโง่เขลาอย่างหยางชุ่ยจะเอาคุณสมบัติข้อใดไปเทียบกับหนิงเมิ่งเหยาได้เล่า
ฮูหยินซุนคิดถึงเรื่องต่างๆ ที่หยางชุ่ยทำเอาไว้ ก็รู้สึกว่าน้องสะใภ้ช่างไร้ยางอายเสียจริง
“อืม ไม่ว่าเจ้าจะคิดทำการใด ก็ตาม ข้าก็เชื่อมั่นในตัวเจ้า” หยางชู่ผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย
ฮูหยินซุนยิ้มรับและพยักหน้าให้ พวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์อันดีตั้งแต่แต่งงานกันมา ถึงแม้จะยังไม่มีลูกด้วยกัน แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร
หลังจากเทศกาลโคมไฟจบลง หนิงเมิ่งเหยายังไม่ได้เริ่มต้นทำงานใดๆ แต่หญิงสาวนั้นได้ไปยังบ้านของหยางเล่อเล่อก่อนเป็นอันดับแรก เพื่อจะบอกแผนของตนให้กับหยางจู้และนางหยางรับรู้
ในตอนแรก นางหยางไม่ยอม แต่หลังจากฟังคำอธิบายของหยางจู้เพิ่มเติม สุดท้ายแล้วนางจึงยอมตกลงอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
“เจ้ายินยอมได้ยังไงกัน เล่อเล่อยังไม่แต่งงานเป็นฝั่งเป็นฝาเลยนะ จะให้นางออกไปอยู่ข้างนอกนั่นได้อย่างไรกัน”
หยางจู้มองผู้เป็นภรรยาอย่างไม่ชอบใจนัก “เจ้าคิดว่าแม่หนูเมิ่งเหยาจะหลอกลวงเล่อเล่อเช่นนั้นหรือ”
นางหยางใคร่ครวญเรื่องนี้ ‘เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะทั้งสองสนิทสนมกันดี จึงเป็นไปไม่ได้เลยที่หนิงเมิ่งเหยาจะหลอกลวงเล่อเล่อได้ลงคอ’
“เป็นไปไม่ได้เลยถูกไหม นั่นหมายความว่าเมิ่งเหยาเพียงอยากจะช่วยเหลือเล่อเล่ออย่างจริงใจเท่านั้นเอง และตอนนี้ลูกสาวของเราก็อายุยังน้อย ให้นางออกไปเผชิญโลกกว้างภายนอกสักสองปีก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้มากขึ้น” หยางจู้ไม่ได้คิดมากกับเรื่องนี้ อีกทั้งลูกสาวของเขาอยู่ที่บ้านแห่งนี้มาตลอด ทำให้ไม่เคยออกไปเห็นโลกภายนอกเลยสักครั้ง
เมื่อเขาฟังสิ่งที่หนิงเมิ่งเหยาเสนอมา จึงคิดว่าหากหยางเล่อเล่อสามารถออกไปเรียนรู้โลกภายนอกได้ ก็คงจะยอดเยี่ยมเลยทีเดียว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น เขาก็มิได้คิดจะใช้ประโยชน์จากหนิงเมิ่งเหยาเพื่อทำให้อนาคตของลูกสาวคนนี้ดีขึ้นแม้แต่น้อย เพราะนั่นมันไม่ได้เป็นประโยชน์กับพวกเขาเลย “เจ้าไม่เป็นกังวลเลยหรือ”
“แน่นอนว่าข้าก็เป็นห่วงเช่นกัน จะไม่ให้เป็นกังวลเลยคงไม่ได้หรอก แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีแม่หนูเมิ่งเหยาคอยช่วยดูแลอยู่ ข้าจึงวางใจได้ในระดับหนึ่ง” หยางจู้พึมพำเบาๆ
หนิงเมิ่งเหยามิใช่คนธรรมดาสามัญ หากพวกเขาติดตามนางไปเรื่อยๆ อาจจะทำให้ตระกูลของเขามีฐานะดีขึ้นเป็นอันดับสามของหมู่บ้านไป๋ซานแห่งนี้ รองจากหนิงเมิ่งเหยาและเฉียวเทียนช่างก็เป็นได้
“ท่านแม่ ข้าว่าท่านพ่อพูดถูกนะ” หยางอี้และนางเฉียวซึ่งยืนฟังบทสนทนาอยู่ข้างๆ เห็นว่านางหยางยังคงไม่มั่นใจกับเรื่องนี้ เขาจึงเอ่ยขึ้นในทันที
นางหยางมองดูเขา ‘ลูกชายของนางมีความคิดเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน’
“ท่านแม่ ก่อนอื่นฟังข้าพูดให้จบก่อนเถิด น้องสาวมีทักษะด้านการเย็บปักถักร้อย เมิ่งเหยาเองก็รู้ดี และสำหรับเรื่องของการย้ายไปอยู่ที่ร้านรับซื้องานผ้าปักนั้น ท่านคิดว่าจะมีสักกี่คนได้รับโอกาสเช่นนี้เชียวหรือ หนำซ้ำ นางยังได้ไปทำงานปักเย็บผ้ากับผู้ดูแลร้านอีกด้วยนะ” นางหยางสังเกตเห็นเพียงความปรารถนาของหยางเล่อเล่อที่จะออกจากบ้าน โดยไม่ได้ตรึกตรองถึงประเด็นนี้มาก่อน
“ท่านแม่ เป็นเรื่องจริงนะ เมิ่งเหยาเคยบอกว่า น้องสาวเป็นคนที่มีพรสวรรค์อย่างยิ่งในละแวกนี้ และงานปักของนางก็โดดเด่นมากอีกด้วย หากน้องสาวคว้าโอกาสที่จะไปในตอนนี้แล้วล่ะก็ เมื่อนางกลับมาในอนาคต ก็คงได้เรียนรู้อะไรมากมายนัก และอาจจะได้เป็นช่างฝีมือของตระกูลอีกด้วย” นางเฉียวเอ่ยอย่างให้กำลังใจ
หากนางเฉียวมีทักษะอันพิเศษโดดเด่นบ้าง นางคงยอมละทิ้งศักดิ์ศรีอย่างไม่อาย เพื่อขอให้หนิงเมิ่งเหยาช่วยเหลือด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ นางเฉียวเคยได้ยินหยางเล่อเล่อบอกว่างานปักผ้าของหนิงเมิ่งเหยาที่ได้ราคาน้อยที่สุดนั้น มีค่าถึงหนึ่งร้อยตำลึง และนั่นก็ไม่ใช่ผลงานชิ้นที่ดีที่สุดของหญิงสาวอีกด้วย มันเป็นเพียงงานปักผ้าธรรมดาทั่วไปเท่านั้นเอง
นางยังได้ยินมาอีกว่า หนิงเมิ่งเหยาขายงานปักผ้าไปแล้วสี่ชิ้น และผลงานอันล่าสุดนั้นขายออกในราคาสามร้อยตำลึง ซึ่งเป็นราคาที่สูงลิ่วเลยทีเดียว
บทที่ 94 จะต้องสอบให้ผ่าน
ราคาของงานปักผ้านั้นสูงถึงสามร้อยตำลึง มิใช่เพียงแค่สามตำลึงเท่านั้น นอกจากนี้หนิงเมิ่งเหยายังใช้เวลาเพียงครึ่งเดือนในการปักเย็บงานหนึ่งชิ้นให้เสร็จสมบูรณ์ เมื่อลองคิดดูแล้ว งานฝีมือชิ้นนี้สามารถทำผลกำไรได้อย่างงามเลยทีเดียว
น้องสะใภ้คนนี้ก็น่าทึ่งไม่แพ้กัน เนื่องจากในช่วงก่อนวันปีใหม่ งานปักปลอกหมอนทั้งหกชุดของนางก็ขายได้ในราคาประมาณห้าสิบถึงหกสิบตำลึง ซึ่งพวกเขาไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าจะได้รับเงินก้อนโตขนาดนั้น
พวกเขาสามารถใช้จ่ายเงินจำนวนห้าสิบถึงหกสิบตำลึงนี้ได้ถึงสิบปีเลยทีเดียว
นางหยางรับฟังคำพูดจากลูกชายและลูกสะใภ้ พลางคิดตาม ก่อนจะตระหนักว่าสิ่งที่พวกเขาเอ่ยนั้นถูกต้อง ทันใดนั้นนางจึงหัวเราะอย่างเขินอาย “ข้ารู้ดีว่าเจ้าพูดถูก แต่เพราะเล่อเล่อไม่เคยออกจากบ้านมาก่อน ข้าจึงเป็นห่วงนางเล็กน้อยน่ะ”
“เจ้ากังวลมากไปเองน่า” หยางจู้มองผู้เป็นภรรยา ก่อนจะลุกขึ้นจากไป
เมื่อหยางเล่อเล่อได้รับอนุญาตจากคนในตระกูล นางจึงออกเดินทางไปพร้อมกับชิงจู๋และหนิงเมิ่งเหยา
หญิงสาวทั้งสามคนเข้าเมืองลั่วเฉิง ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองหลวงกว่า 960 ลี้
พวกนางมายังลานบ้านที่อยู่ในตัวบ้านธรรมดาทั่วไปหลังหนึ่ง โดยลานบ้านแห่งนี้เป็นลานเย็บปักถักร้อย มีหญิงสาวมากมายต่างกำลังทำงานอยู่เต็มไปหมด และคุณภาพงานของพวกนางช่างยอดเยี่ยมเหลือเกิน
หยางเล่อเล่อหยุดอยู่ข้างๆ กลุ่มหญิงสาวที่กำลังเย็บปักถักร้อยและมองดูอย่างใกล้ชิด แต่ไม่รบกวนการทำงานของพวกนาง เด็กสาวรู้สึกคุ้นเคยกับวิธีการปักเข็มเย็บผ้าเหล่านี้ ก่อนจะเงยหน้ามองหนิงเมิ่งเหยาและครุ่นคิด ‘ดูเหมือนว่าหนิงเมิ่งเหยาจะเป็นคนสอนทักษะให้กับหญิงสาวทุกคนที่นี่’
หนิงเมิ่งเหยาและชิงจู๋มองดูหยางเล่อเล่อและรอนางอยู่ตรงด้านข้าง หลังจากที่เด็กสาวกลับมารวมกลุ่มอีกครั้ง ทั้งสามคนจึงเดินไปพร้อมกัน
เมื่อเข้าสู่การทดสอบ ชิงจู๋จึงหันหน้ามามองหยางเล่อเล่ออย่างขึงขัง “แม้ว่าเจ้าจะเป็นเพื่อนกับคุณหนู แต่ก็ยังต้องทำตามกระบวนการอยู่ดีนะ”
“ข้าเข้าใจดี” หยางเล่อเล่อผงกศีรษะ ‘ในเมื่อเหยาเหยาตั้งใจจะช่วยเหลือนาง แล้วนางจะทำให้อีกฝ่ายผิดหวังได้อย่างไรกันเล่า’
ชิงจู๋หยิบผ้าสีขาวธรรมดาทั่วไปขึ้นมาหนึ่งผืน และยื่นให้เด็กสาวพร้อมกับเส้นด้ายไหมจำนวนหนึ่ง “อุปกรณ์เหล่านี้เป็นของเจ้า และข้าอยากจะให้เจ้าสร้างสรรค์งานปักเย็บของตนเองขึ้นมาภายในสามวัน แล้วนำมาให้ข้าดู”
“สามวันรึ” หยางเล่อเล่อตะลึงงัน นางเกรงว่าตนเองจะไม่สามารถทำสำเร็จได้ในเวลาเพียงสามวัน
“ขนาดเท่าใดก็ได้” ชิงจู๋เอ่ยอย่างเย็นชา
หยางเล่อเล่อขบฟันแน่นและตอบกลับ “ตกลง”
ชิงจู๋ผงกศีรษะอย่างพึงพอใจ ก่อนจะจัดหาห้องพักให้เด็กสาว เมื่อทั้งสองเดินจากไป หนิงเมิ่งเหยาจึงหยิบสมุดบัญชีบนโต๊ะมาดูด้วยสีหน้าเยือกเย็น
ตรงกลางของสมุดบัญชีเล่มนี้มีข้อมูลบางอย่างจากเมืองหลวงอยู่ในนั้น
ดูเหมือนว่าก่อนที่หนิงเมิ่งเหยาจะจากมานั้น หลิงหลัวยังตามหานางอย่างไม่เลิกรา แต่ถึงกระนั้น เขากลับเข้าพิธีแต่งงานกับองค์หญิงเซียวจื่อเซวียนจากราชวงศ์เซียว หลังจากหญิงสาวจากมาได้ไม่ถึงสองเดือนด้วยซ้ำไป
หนิงเมิ่งเหยาหน้านิ่วคิ้วขมวดกับเรื่องนี้ ก่อนจะเดินไปตรงเชิงเทียนและเผามันทิ้ง ขณะที่หญิงสาวมองดูกระดาษกำลังถูกเผาไหม้อย่างช้าๆ ดวงตาของนางก็เผยแววเย้ยหยัน
‘แม้ว่าจะมีหญิงงามอยู่ข้างกายเจ้า แต่เจ้าก็ยังคงตามหาข้า หลิงหลัว เจ้าคิดว่าตนเองเป็นใครกันหรือ แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นคนอย่างไรกันแน่’
ในช่วงสามวันนั้น หนิงเมิ่งเหยาดูแล และจัดการงานหลายเรื่อง ส่วนชิงจู๋เองก็คอยรายงานปัญหาและประเด็นต่างๆ เกี่ยวกับร้านรับซื้องานผ้าปักให้นางรับฟัง
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในช่วงเช้าของวันที่สี่ สีหน้าของหยางเล่อเล่อเต็มไปด้วยความอ่อนล้า นางมุ่งหน้าไปห้องเรียน
หนิงเมิ่งเหยามองหน้าเด็กสาวอย่างเป็นห่วงเล็กน้อย แต่เมื่อลองมองดูอีกครั้ง จึงเห็นว่าแววตาของหยางเล่อเล่อนั้นเปล่งประกายอยู่แม้ว่าจะดูเหน็ดเหนื่อยก็ตาม ทำให้หญิงสาวรู้สึกโล่งใจขึ้น
จากนั้นหยางเล่อเล่อจึงยื่นงานปักเย็บซึ่งเป็นปลอกหมอนให้
ชิงจู๋ทรับผลงานชิ้นนั้นและพิจารณาอย่างละเอียด มันเป็นผลงานที่เต็มไปด้วยภาพของต้นไม้ ดอกไม้ และฝูงปักษา แม้ว่าจะเป็นงานปักธรรมดา แต่การเลือกโทนสี และจัดวางตำแหน่งนั้นสวยงามจนน่าชื่นชมอย่างยิ่ง
หยางเล่อเล่อใช้อุปกรณ์ง่ายๆ ในการสร้างสรรค์งานให้ดูดีขึ้นอีกระดับ นอกจากนี้ฝีมือการปักเข็มเย็บผ้าของนางนั้นก็ไม่เลวเลยทีเดียว
“คุณหนู…”
หนิงเมิ่งเหยาหยิบผลงานชิ้นนั้นขึ้นมาดูเช่นกัน หากชิ้นงานอันสมบูรณ์แบบและไร้ที่ติมีคะแนนเต็มร้อย ผลงานปักเย็บชิ้นนี้คงอยู่ที่เจ็ดสิบคะแนนเลยทีเดียว
และนี่เป็นผลคะแนนที่สูงที่สุดที่ทั้งคู่เคยประเมินให้กับคนที่เพิ่งเข้ามาใหม่
หยางเล่อเล่อมองดูหญิงสาวทั้งสองคนอย่างหวาดหวั่น “เหยาเหยา มันออกมาไม่ดีหรือ” เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งขรึมของทั้งคู่ นางจึงกังวลใจว่างานของตนนั้นยังดีไม่พอ
หนิงเมิ่งเหยามองดูหยางเล่อเล่อซึ่งกำลังประหม่าจนเหงื่อตก จึงไม่แกล้งเด็กสาวเล่น และพูดอย่างจริงจังว่า “มันดีทีเดียว แม้ว่าบางส่วนอาจจะดูธรรมดาไปบ้าง แต่โดยรวมแล้วมันออกมาดีเลยทีเดียว”
“จริงรึ หมายความว่าข้าสอบผ่านแล้วหรือ” หยางเล่อเล่อมองพวกนางอย่างกระตือรือร้นยิ่ง สายตาของนางนั้นดูราวกับเป็นแววตาของสุนัขตัวน้อยที่จ้องมองผู้เป็นเจ้าของก็ไม่ปาน
หนิงเมิ่งเหยาสบตากับชิงจู๋ แล้วทั้งสองก็เผยรอยยิ้มออกมา
เมื่อชิงจู๋เห็นว่าหยางเล่อเล่อกังวลใจอย่างยิ่ง นางจึงมองเด็กสาว และตอบกลับอย่างจริงจังว่า “เจ้าสอบผ่าน”