บทที่ 225 เดินตรงสู่กับดัก
เงินที่ถูกส่งไปยังพื้นที่ประสบภัยถูกคำนวณมาอย่างดี เมื่อไม่มีเงินจำนวนสองสามล้านตำลึงเงินนั้น ประชาชนซึ่งอยู่ในพื้นที่เหล่านั้นจะอยู่รอดได้เช่นไร เซียวชวี่เฟิงไม่อยากแม้แต่จะจินตนาการ
“บ้าเอ๊ย พวกมันกล้าดีอย่างไรจึงทำเช่นนี้” เซียวชวี่เฟิงกำหลักฐานในมือแน่น ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีเข้ม
ทว่าสิ่งที่น่าขันที่สุดในการฉ้อโกงของจวนตระกูลเซียวนั้นไม่ใช่เพราะว่าเซียวอี้หลินเป็นผู้โกง หากแต่เซียวหมิงเหรินผู้เป็นทายาทต่างหากที่กระทำการฉ้อโกงนี้ลับหลังเขา
ทายาทของจวนตระกูลเซียวนั้นคือพี่ชายของเซียวจื่อเซวียน บุคลิกและเส้นทางในการใช้ชีวิตของเขานั้นไม่ได้เลวร้ายอะไรนัก ทว่าภายในใจกลับเป็นคนค่อนข้างละโมบ อย่างไรก็ตาม การกระทำของเขาก็นำปัญหามาให้กับตระกูลเซียวทั้งตระกูล
“เทียนช่าง ข้าจะมอบเรื่องนี้ให้เจ้าจัดการ ข้าจะให้ความร่วมมือกับเจ้าด้วย” เซียวฉีเทียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง
ไม่ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับเซียวอี้หลินหรือไม่ แต่เพราะเจ้าหมอนั่นได้รับการอบรมสั่งสอนมาไม่ดี จึงเป็นเหตุให้เกิดเรื่องนี้ขึ้น
ไม่ใช่ว่าเหตุผลที่เซียวหมิงเหรินสามารถก่อเรื่องเช่นนี้ได้นั้นเป็นเพราะมีเซียวอ๋องคอยหนุนหลังอยู่หรอกหรือ
เฉียวเทียนช่างพยักหน้า แล้วชี้นิ้วไปยังหีบหลายใบซึ่งวางอยู่บริเวณลานบ้าน “ครึ่งหนึ่งเป็นของเจ้า”
“มันไม่ควรเป็นเช่นนี้มิใช่รึ” เซียวชวี่เฟิงเลิกคิ้ว หมอนี่ตั้งใจพูดเช่นนี้หรือ
เฉียวเทียนช่างมองเซียวชวี่เฟิงก่อนจะหันหน้าไปอีกทางโดยไม่พูดอะไร จริงๆ แล้วเขาจะไม่ให้อะไรเลยก็ยังได้
“เจ้าพูดขึ้นมาอีกคำเดียว ข้าจะไม่ให้เงินเจ้าสักแดงเดียว” นี่เป็นเงินที่พวกเขาไปเอามากับมือ เพราะฉะนั้นแม้ว่าเขาจะไม่มอบมันให้สักหีบ พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะบ่นออกมาได้
เซียวชวี่เฟิงมองเฉียวเทียนช่างอย่างจนใจ “เจ้ายังขาดเหลือเรื่องเงินอยู่อีกหรือ” เขามีภรรยาร่ำรวย แล้วเขาจะไม่มีเงินได้อย่างไรเล่า
เฉียวเทียนช่างมองเซียวชวี่เฟิงคล้ายสบประมาท “หรือเจ้าเห็นว่าเงินในคลังเจ้ามันมีมากเกินไปหรือ”
เซียวชวี่เฟิงเกือบจะสำลักคำพูดของเขา ก่อนจะนิ่งเงียบไป
ในฐานะฮ่องเต้ของเมืองแห่งนี้ แน่นอนละว่าเขาต้องอยากให้เงินในท้องพระคลังมีเพิ่มขึ้น
เงินและทองที่อยู่ตรงนี้นั้นมีค่าราวๆ สองถึงสามล้านตำลึง หากสามารถเอามันกลับไปได้เพียงครึ่งเดียว เขาก็ควรจะพอใจแล้ว
“ข้าจะส่งคนมาขนพวกมันอีกที”
“ส่งมาเงียบๆ อย่าทำให้เอิกเกริกนักเล่า ข้ายังต้องเก็บบางส่วนเอาไว้เพื่อให้ใครบางคนมาติดกับอยู่” เฉียวเทียนช่างยิ้มเยาะ
เขาไม่คิดว่าเฉียวเจิ้งหงจะปล่อยพวกมันไปง่ายๆ เช่นนี้ ดังนั้นจะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากข้างกายของคนผู้นั้นมีคนเก่งเรื่องคิดคำนวณเช่นเฉียวหลินอยู่ แต่นั่นก็มีเพียงแค่คนเดียว เขาไม่ต้องกังวลเลยสักนิด
“เจ้าแน่ใจหรือว่าพวกมันจะมา”
“เจ้ารอดูก็แล้วกัน” เฉียวเทียนช่างเอ่ยเบาๆ
เซียวชวี่เฟิงหรี่ตามองเฉียวเทียนช่าง เขาตระหนักได้ว่าตนเริ่มไม่เข้าใจความคิดของบุรุษผู้นี้ขึ้นเรื่อยๆ เสียแล้ว เฉียวเทียนช่างอมพะนำแผนการไว้กับตัวเอง ไม่มีผู้ใดมีคำใบ้แม้แต่น้อยว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ ขนาดน้องชายเขาเองก็ยังไม่เข้าใจเช่นกัน
ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเชื่อว่าเฉียวเทียนช่างจะไม่มีวันทรยศ ป่านนี้เขาก็คงเริ่มสงสัยในตัวเฉียวเทียนช่างไปแล้ว
“เทียนช่าง เจ้า…”
“ชวี่เฟิง ไม่ว่าสิ่งที่ข้าทำนั้นจะเป็นเช่นไร แต่ข้าก็จะไม่มีวันทำร้ายเจ้าหรือเมืองนี้” เฉียวเทียนช่างให้คำมั่นเมื่อเห็นเซียวชวี่เฟิงมองเขาด้วยสายตายากที่จะเข้าใจราวกับต้องการจะถามบางสิ่ง แต่ไม่รู้จะเอ่ยเป็นคำพูดเช่นไร
เซียวชวี่เฟิงถอนหายใจยืดยาว เขามองเฉียวเทียนช่างด้วยสายตาหลากหลาย “ข้าไม่ได้กังวลเรื่องนั้น ข้าเชื่อใจเจ้า แต่ข้าเป็นห่วงตัวเจ้ามากกว่า”
สามีภรรยาคู่นี้มีการกระทำเหมือนกันไม่มีผิดเพี้ยน ก่อนหน้านี้เฉียวเทียนช่างแบกโทสะและความอัดอั้นตันใจเอาไว้ ทว่าบัดนี้เขากลับไม่มีท่าทีเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย ทำราวกับว่าไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น และนั่นทำให้เซียวชวี่เฟิงเป็นกังวล
สาเหตุเพียงอย่างเดียวที่เขาจะเป็นเช่นนี้ได้นั้นเป็นเพราะเขากักเก็บอารมณ์ทุกอย่างของตนเอาไว้ เมื่อมองหนิงเมิ่งเหยา ถ้าหากไม่ใช่เพราะเขารู้ว่านางรู้ความจริงทุกสิ่งแล้ว เซียวชวี่เฟิงคงไม่มีทางเชื่อเลยว่านางหัวเสียขนาดไหนเมื่อเห็นรอยยิ้มไม่แยแสซึ่งปรากฏอยู่บนใบหน้าของนาง
“หนทางนี้ไม่ดีหรือ” เมื่อปราศจากอารมณ์ใด ๆ ก็จะไม่มีสิ่งใดมาทำให้การตัดสินใจของเขาสั่นคลอนได้ในยามที่ลงดาบส่งพวกมันไปลงนรก อย่างไรเสียจิตใจที่ครอบงำไปด้วยความโกรธนั้นคงไม่มีประโยชน์อันใดสำหรับพวกเขาในการลงมือทำสิ่งที่ควรทำให้สำเร็จ
เซียวชวี่เฟิงไม่สามารถปฏิเสธได้ เขาเพียงแค่มองทั้งสองด้วยความเป็นห่วง
ดูเหมือนทั้งสองจะกลายเป็นคนโหดเหี้ยมขึ้นมาเพราะแรงโทสะ ขนาดนิสัยใจคอก็ยังเปลี่ยนแปลงไปด้วย และนั่นดูน่าเป็นห่วงจริงๆ
เซียวฉีเทียนสังเกตหนิงเมิ่งเหยาแล้วก็รู้สึกปวดหัวขึ้นมาเล็กน้อย “เมิ่งเหยา ถ้าหากเจ้าต้องการให้ข้าช่วยเรื่องใดก็บอกมาได้เลย” ดูเหมือนว่านี่เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาสามารถกล่าวกับนางได้ในตอนนี้
หนิงเมิ่งเหยาพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม นางไม่ได้ปฏิเสธความหวังดีของเซียวฉีเทียน แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะใช้กำลังของเขามาจัดการเรื่องนี้เช่นกัน ถ้าหากนางไม่สามารถจัดการเรื่องนี้เองได้ เช่นนั้นแล้วพวกเขาก็ควรล้มเลิกแผนการนี้เสียตั้งแต่เนิ่นๆ
บทที่ 226 ไม่จำเป็นต้องเข้ามายุ่ง
นางจะแก้แค้นด้วยตัวของนางเอง และไม่จำเป็นต้องให้ใครเข้ามายุ่มย่าม
ท้องฟ้าเริ่มมืด เซียวชวี่เฟิงและน้องชายยังไม่กลับไป พวกเขาเร้นกายอยู่ภายใต้ความมืดมิด ไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ แม้แต่ในตอนกลางดึก และนี่ทำให้เซียวชวี่เฟิงสงสัยว่าเฉียวเทียนช่างจะคาดการณ์ผิดหรืออย่างไร บางทีพวกมันอาจจะไม่มาก็เป็นได้
“รอต่อไปเถิด” เฉียวเทียนช่างพูดขึ้นคลายความสงสัยของพวกเขา
เซียวชวี่เฟิงเลิกคิ้วขึ้นและไม่ถามอะไรอีก ในเมื่อเฉียวเทียนช่างบอกแล้วว่าให้รอ ดังนั้นเขาก็จะรอ
พวกเขารออยู่จนผ่านไปประมาณสองเค่อ ในยามที่หลายคนเมื่อยล้าและหลับสนิท พลันเซียวชวี่เฟิงก็ได้ยินเสียงบางอย่าง
เขาปลุกตัวเองจากความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าพวกเขามองหน้ากันพร้อมกับรอยยิ้มเย็นชาซึ่งปรากฏขึ้นที่มุมปาก ดูเหมือนว่าคนที่พวกเขาตั้งตารอจะเดินเข้ามาหาความตายของตนเสียแล้ว
หนิงเมิ่งเหยานั่งอยู่บนหลังคา ซ่อนลมหายใจของตนพลางมองตรงไปข้างหน้า ในไม่ช้า บนใบหน้าก็ปรากฏรอยยิ้มบางๆ ขึ้นมา ตรงกันข้ามกับดวงตาอันเย็นเยียบของนาง
หลังผ่านไปครู่หนึ่ง กลุ่มคนสวมชุดสีดำก็ปรากฏกายขึ้นภายในลานบ้าน หนึ่งในนั้นกระซิบกระซาบบางอย่างกับคนข้างกายว่า “หาตัวหนิงเมิ่งเหยาและเอาตัวออกไปให้เร็วที่สุด”
เฉียวเทียนช่างได้ยินสิ่งที่พวกมันกล่าวอยู่ในความมืด ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาแทบจะในทันที ดูเหมือนจะเป็นอีกครั้งที่เหยาเหยาตกเป็นเป้าหมายของพวกมัน
หนิงเมิ่งเหยายื่นมือไปจับแขนของเฉียวเทียนช่าง นางขยับปากเบาๆ เป็นการปลอบเขาโดยไร้เสียงด้วยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า
ความอบอุ่นที่แขนช่วยลดความโกรธภายในจิตใจของเขาลงได้อย่างยิ่งยวด เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าเหยาเหยาของเขานั้นไม่ใช่คนเดียวกันกับเมื่อก่อนหน้านี้อีกแล้ว นางในตอนนี้นั้นมีวรยุทธ์ที่สามารถเทียบเคียงเขาได้เลยทีเดียว นางสามารถปกป้องตัวเองได้ และจะไม่ทำให้ตัวเองเจ็บตัวแน่นอน
ตอนแรกเซียวชวี่เฟิงกังวลว่าเฉียวเทียนช่างนั้นจะทำให้แผนการล่ม แต่ใครจะรู้ว่าหนิงเมิ่งเหยาจะสามารถทำให้เขาสงบได้ ซึ่งนั่นทำให้พวกเขาคลายกังวลลงได้บ้าง
พวกเขารอให้คนพวกนั้นเข้ามาที่ลานบ้างอย่างเงียบเชียบ ก่อนเฉียวเทียนช่างจะโบกมือ พลันรอบกายของพวกเขาก็สว่างขึ้นด้วยฝีมือของเหลยอันและคนที่เหลือ
เฉียวเทียนช่างและกลุ่มของเขากระโดดลงสู่ลาน เมื่อเห็นกลุ่มคนในชุดสีดำซึ่งอยู่ต่อหน้ามีท่าทีตื่นตระหนก มุมปากของเขาก็ยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน
“มีอะไรให้ข้าช่วยหรือ ถึงได้มาที่นี่กันดึกดื่นปานนี้” เฉียวเทียนช่างถามกลุ่มคนตรงหน้าตน
เมื่อสัมผัสได้ว่าเริ่มมีคนเข้ามาล้อมพวกตนมากขึ้น หัวหน้ากลุ่มก็เข้าใจได้ในทันทีว่าพวกตนถูกจัดฉาก
“ถอนกำลังเดี๋ยวนี้”
เฉียวเทียนช่างยิ้มเยาะ “ถอนกำลังรึ ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่เจ้าคิดจะมาก็มาคิดจะไปก็ไปได้ตามต้องการหรอกนะ ถ้าพวกมันรอดไปได้สักคน เหลยอันและคนที่เหลือเตรียมตัวเก็บของกลับบ้านเก่าได้เลย”
“ขอรับนายท่าน จัดการพวกมันแล้วจับตัวทั้งหมดไว้” เหลยอันหดคอ เขามั่นใจว่าคำว่ากลับบ้านของนายท่านไม่ได้หมายถึงการกลับไปที่ค่ายทหารอย่างแน่นอน
ภายใต้การสั่งการของเหลยอัน คนที่อยู่ภายในลานพลันพุ่งเข้าปะทะกับกลุ่มชายชุดดำในทันที คนที่เป็นผู้นำของกลุ่มนั้นเข้าประมือกับเฉียวเทียนช่าง ก่อนจะส่งสัญญาณให้คนข้างๆ เขา
เขาพยักหน้าให้กับสัญญาณนั้นแล้วหลบการโจมตีของหลินจือโยว ก่อนจะไปปรากฏตัวที่เบื้องหน้าของหนิงเมิ่งเหยาและยกแขนขึ้นรัดคอของนางเอาไว้
“เฉียวเทียนช่าง บอกคนของเจ้าให้หยุดเดี๋ยวนี้ มิฉะนั้น ข้าจะสังหารนางเสีย” หลังจากจับหนิงเมิ่งเหยาได้ เขาผ่อนลมหายใจ แล้วจึงตะโกนไปที่ลาน
เฉียวเทียนช่างหันไปมองหนิงเมิ่งเหยา เมื่อเห็นว่านางเพียงแค่ถูกจับและยังไม่ได้รับบาดเจ็บ เขาก็ยังนิ่งนอนใจได้อยู่
เมื่อหัวหน้าของกลุ่มคนชุดดำเห็นว่าเป้าหมายของตนถูกจับแล้ว เขาก็หัวเราะขึ้นมาอย่างกลั้นไม่อยู่ เยี่ยมยอดนัก
“เฉียวเทียนช่าง ถ้าเจ้าต้องการตัวภรรยาคืน ส่งของพวกนั้นคืนมาเสีย”
“เฉียวหลิน ข้าไม่คิดเลยว่าคนที่มาจะเป็นเจ้า” เฉียวเทียนช่างเอ่ยตอบราวกับไม่เข้าใจสิ่งที่เฉียวหลินพูด
เฉียวหลินไม่ได้มีท่าทีลังเลตอนที่ตัวตนของเขาถูกเปิดโปง เขาดึงหน้ากากสีดำออกจากใบหน้าก่อนเอ่ยขึ้น “นายน้อยสามช่างมีสายตาเฉียบแหลมนัก ตราบใดที่ท่านส่งของพวกนั้นคืนมา จะไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นกับนายหญิงสามขอรับ”
เฉียวเทียนช่างมองเฉียวหลินด้วยรอยยิ้มบาง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยเย้ยหยัน “โอ้ เฉียวหลิน เหตุใดเจ้าไม่ดูก่อนเล่าว่าใครอยู่กับพวกเราในค่ำคืนนี้”
เฉียวหลินรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี เขาเผลอหันหน้าไปมองและเห็นว่าทั้งเซียวชวี่เฟิงและเซียวฉีเทียนยืนอยู่ตรงนั้น ใบหน้าของทั้งสองเป็นสีเข้มด้วยความเดือดดาล
เมื่อครู่พวกเขาเอาแต่จดจ่ออยู่กับการจับตัวหนิงเมิ่งเหยาและไม่ได้สนใจผู้ที่เห็นเหตุการณ์แต่อย่างใด ทว่าเมื่อเห็นเซียวชวี่เฟิงและเซียวฉีเทียนอย่างฉับพลันเช่นนั้น พวกเขาก็รู้แล้วว่าแผนการของตนล่มเสียแล้ว ทั้งสองรู้ทุกสิ่งแล้ว
“ฝ่าบาท…” เฉียวหลินพึมพำ เสียงของเขาเบาเสียจนมีเพียงแค่ตัวเองที่ได้ยิน
“ตระกูลเฉียวช่างน่าประทับใจนัก”