บทที่ 229 ทำให้พวกมันกลัวจนเสียสติ
เสียงกรีดร้องนั้นแว่วดังอย่างไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุด ปลุกเอาผู้เป็นนายของตนให้ตื่นจากนิทราขึ้นมาทีละคน
เฉียวเจิ้งหงถ่างตารอเฉียวหลินอยู่ทั้งคืน ทว่าเขาก็ไม่ได้กลับมา ในตอนแรกนั้นเขาค่อนข้างเป็นกังวล แต่ผู้ใดจะคาดคิดเล่าว่าจะมีเสียงกรีดร้องระงมดังก้องมาจากด้านนอกเช่นนี้ สีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนไปในทันที
“เจ้าทำเสียงเอะอะมะเทิ่งอะไรกัน” เฉียวเจิ้งหงถามอย่างหงุดหงิด เขาผลักประตูเปิดและก้าวออกมาด้วยความเดือดดาล ก่อนจะมองไปที่ข้ารับใช้ซึ่งยังคงกรี๊ดไม่หยุดอยู่เช่นนั้น ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ
“กรี๊ด…” เมื่อเฉียวเจิ้งหงอ้าปากจะถามนาง เสียงกรีดร้องแหลมสูงเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นอีกครั้ง เขาได้แต่ขมวดคิ้วเข้าหากันเมื่อได้ยินเสียงนั้น
นี่มันเป็นเสียงของแม่เขาเองไม่ใช่หรือ เหตุใดนางจึงร่วมกรี๊ดกับคนอื่นเขาตั้งแต่เช้าตรู่ขนาดนี้กันเล่า
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” เฉียวเจิ้งหงมองข้ารับใช้อันดับสองรองจากเฉียวหลินผู้ซึ่งกำลังเร่งฝีเท้าเข้ามาหาเขา
ใบหน้าของข้ารับใช้ผู้นั้นซีดเผือด ร่างกายสั่นเล็กน้อย “นายท่าน ข้างนอกขอรับ… ข้าว่าท่านต้องมาเห็นด้วยตาตนเองขอรับ”
ด้านนอกนั้นโกลาหลจนเกินควบคุม
เฉียวเจิ้งหงมองหัวหน้าคนรับใช้แล้วก้าวออกไปในทันที เขาอยากรู้นักเชียวว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ก่อนที่เขาจะเดินออกไป เฉียวเจิ้งหงได้กลิ่นเหล็กฉุนกึกจนเตะจมูก กลิ่นนั้นทำให้เขารู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี
เขาเร่งฝีเท้าขึ้น และเมื่อมาถึงสถานที่เกิดเหตุ ดวงตาทั้งสองของเขาก็เบิกโพลงจนกระทั่งมองเห็นเส้นเลือดที่อยู่ภายใน
ตรงลานว่างนั้นมีไหดินเผาขนาดไม่ใหญ่นักตั้งอยู่ และภายในนั้นก็มีร่างของใครบางคนอยู่ด้านใน คนผู้นั้นไม่ใช่ใครอื่น หากแต่เป็นหัวหน้าคนรับใช้ของเขา เฉียวหลินนั่นเอง
เฉียวเจิ้งหงสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็ว “มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“นายท่าน… พวกเขา… รู้…เรื่องแล้วขอรับ” เมื่อเฉียวเจิ้งหงพุ่งเข้าไปด้วยความร้อนใจ คนที่อยู่ในไหก็เอ่ยปากพูดขึ้นด้วยเสียงครวญครางอันแหบแห้งและฟังแทบไม่ได้ศัพท์
ทุกคนล้วนคิดว่าเขาตายแล้ว ทว่าเขากลับยังพูดได้และมีชีวิตอยู่ภายในไหลูกนั้น
ผู้ที่ประสาทไม่แข็งพอถึงกับเป็นลมล้มตึงด้วยความตกใจ
ผู้ที่พอมีความกล้าอยู่นั้นล้วนตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวอยู่ข้างๆ และไม่กล้าแม้แต่จะขยับตัว
เฉียวเจิ้งหงเป็นผู้ที่อยู่ใกล้กับเฉียวหลินที่สุด เขาได้กลิ่นฉุนบางอย่างลอยขึ้นมา เมื่อก้มหน้าลงมองจึงเห็นว่าในไหมีน้ำผสมพริกสดใส่อยู่ภายใน
“ไอ้บ้าเอ๊ย พวกมันกล้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร” แขนขาทั้งสี่ข้างของเฉียวหลินถูกตัดออก แล้วเอาตัวแช่ไว้ในน้ำผสมพริก เขาจะต้องรู้สึกเจ็บปวดถึงเพียงใดกันนี่
เฉียวหลินไม่ได้สนใจเรื่องนั้นแม้เพียงเสี้ยว เพราะประสาทสัมผัสของเขาล้วนชาจนไร้ความรู้สึกจากความเจ็บปวดที่ได้เผชิญ “นายท่านขอรับ… หาทางหนี…ฝ่าบาท…ทรงทราบ..เรื่องทุกอย่างแล้ว”
เฉียวเจิ้งหงไม่ทันได้ยินสิ่งที่เขาพูดเมื่อก่อนหน้านี้ แต่ตอนนี้เมื่อเขาได้ยินอย่างชัดเจนว่าฝ่าบาททรงทราบเรื่องทั้งหมดแล้วนั้น ร่างทั้งร่างก็พลันแข็งทื่อเป็นน้ำแข็ง
“เก็บกวาดที่นี่เสีย” เฉียวเจิ้งหงออกคำสั่งพลางมองซากศพมากมายซึ่งอยู่ภายในลาน
เหล่าข้ารับใช้ต่างมองหน้ากันและกัน แม้จะมีบางส่วนที่ไม่กล้า แต่อย่างไรเสียพวกเขาก็ต้องลงมือทำความสะอาดกันอย่างไม่มีทางเลือก
ข้ารับใช้ขี้กลัวผู้หนึ่งเดินเข้าไปหาหนึ่งในศพซึ่งกระจัดกระจายอยู่ จู่ๆ เปลือกตาของร่างนั้นก็เปิดขึ้นโดยฉับพลัน ดูราวกับว่ามันกำลังจ้องมองนางอยู่ทั้งที่ไร้ชีวิต
“กรี๊ด…” เสียงกรีดร้องแหลมสูงดังขึ้นอีกครั้งก่อนนางจะสลบไป
ทว่านางก็ไม่ได้สลบไปนานเท่าใดนัก เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางก็เริ่มมีอาการฟั่นเฟือน ทั้งคำพูดคำจาก็ยังเลอะเทอะไม่รู้ความ
เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นภายในบ้านกัน ถึงกับทำให้ข้ารับใช้ตกใจจนกลายเป็นบ้าได้
เฉียวเจิ้งหงเดินออกไป เขาเห็นร่างไร้วิญญาณร่างหนึ่งลืมตาอยู่ มันจ้องมาที่เขาด้วยดวงตากลวงโบ๋ที่ไร้ลูกตาอยู่ในนั้น
ลูกตาทั้งสองข้างถูกควักออกไป เหลือทิ้งไว้เพียงรูสองรู เมื่อได้เห็นกับตาตัวเอง จึงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภาพที่เห็นช่างน่าสยดสยองยิ่งนัก
“เจ้ายืนนิ่งเฉยอยู่ทำไม รีบจัดการเก็บกวาดเข้าสิ” เฉียวเจิ้งหงนิ่วหน้า ดูเหมือนว่าเฉียวเทียนช่างนั้นจะโหดเหี้ยมมากจนถึงขั้นกล้าใช้วิธีนี้มาจัดการกับเขาจริงๆ
หลังจากเซียวฉีเทียนได้ฟังสิ่งที่ผู้ส่งสาส์นมารายงาน เขาก็เกือบตกเก้าอี้
“เจ้าว่าอะไรนะ เฉียวหลินยังมีชีวิตอยู่ทั้ง ฃๆ ที่ถูกทำให้อยู่ในสภาพนั้นรึ แถมนอกจากเขาแล้ว ข้ารับใช้ผู้หนึ่งก็ตกใจกลัวจนเสียสติอีกด้วยหรือ” เซียวฉีเทียนรู้สึกว่าตนต้องได้ยินอะไรผิดแน่ๆ
เฉียวหลินถูกตัดแขนขาทั้งสี่ข้างออกจนหมด แล้วโดนบีบอัดจนเหมือนมนุษย์สุกร นอกจากปากของเขา ใบหูและดวงตาทั้งสองข้างก็ถูกเอาออกเช่นกัน แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือการที่เขาโดนยัดลงในไหซึ่งเต็มไปด้วยน้ำผสมพริกและเกลือ
ผู้ใดเล่าจะรู้ว่าเขาต้องรู้สึกเจ็บปวดขนาดไหน เมื่อคิดเช่นนั้นขึ้นมา เซียวฉีเทียนก็สงสัยว่าการกระทำนี้มันออกจะโหดร้ายทารุณเกินไปหรือเปล่า
บทที่ 230 นี่แค่จุดเริ่มต้น
แม้ว่าการกระทำของเขานั้นจะดูไร้ความเมตตา แต่เฉียวเทียนช่างคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นมันไม่เลวเลยทีเดียว
เขาสงสัยนักว่าเฉียวเจิ้งหงจะทำเช่นไรต่อไป
การปล่อยให้เฉียวหลินยังเหลือลิ้นอยู่นั้น ไม่ใช่เพราะว่าต้องการให้เฉียวเจิ้งหงรู้ข่าวหรอกหรือ เขาใคร่อยากรู้เสียจริงว่าเฉียวเจิ้งหงจะพยายามหาทางหนีไปในวินาทีนั้นเลยหรือเปล่า
“ส่งคนไปจับตาดูเฉียวเจิ้งหง แล้วมาแจ้งข้าทันทีหากมีความคืบหน้า”
“ขอรับ นานท่าน”
หลังจากเขากลับออกไป เซียวฉีเทียนจึงลุกขึ้นยืน แต่ก็ทิ้งตัวลงนั่งอีกครั้ง เขาใช้นิ้วเขี่ยงานผ้าปักไปเรื่อยพลางคิดในใจว่า ดูเหมือนจะมีการแสดงสนุก ๆ ให้ดูในเร็ววันนี้แล้วกระมัง
ในขณะเดียวกัน หนิงเมิ่งเหยาจ้องมองจดหมายที่เพิ่งมาถึง ก่อนจะเผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา
“เทียนช่าง เจ้าลงมือได้เลย”
“ได้”
หลังจากได้รับจดหมายจากอวี้เฟิง หนิงเมิ่งเหยาหันไปสั่งชิงเซวียนชุดใหญ่ บัดนี้ทุกคนเริ่มงานยุ่งขึ้นแล้ว
ภายในระยะเวลาสั้นๆ เพียงสามวัน เฉียวเทียนช่างได้รู้ซึ้งถึงความยิ่งใหญ่ของทงเป่าไจ ภายในเวลาแค่สามวัน ร้านรวงของตระกูลเฉียวก็ปิดตัวลง ทั้งยังกำลังจะถูกขายทอดตลาดในไม่ช้า
ส่วนร้านซึ่งเป็นของจวนตระกูลหลิงและจวนตระกูลเซียวนั้น ธุรกิจของพวกเขายังคงสามารถดำเนินต่อไปได้ด้วยดี ดูเหมือนว่าพวกเขาจะได้รับผลกระทบจากสิ่งที่เกิดขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หลิงหลัวอยู่ภายในห้องหนังสือของตนพลางขมวดคิ้วใส่หมิงฟาง “มันเกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่ เหตุใดทงเป่าไจจึงเข้ามายุ่งกับพวกเรา”
“ข้าน้อยไม่ทราบขอรับ แต่ทงเป่าไจเริ่มกดดันพวกเราตั้งแต่เมื่อสามวันที่ผ่านมา ทางจวนตระกูลเซียวและจวนตระกูลเฉียวเองก็เหมือนจะได้รับผลกระทบเช่นเดียวกันขอรับ สองในสามของร้านค้าจากจวนตระกูลเซียวกำลังเผชิญกับสถานการณ์ต้องปิดตัวลง และใครก็ตามที่ยื่นมือเข้าช่วย ทงเป่าไจก็จะจัดการพวกเขาไปด้วยขอรับ” หมิงฟางเองก็ยังไม่แน่ใจนักว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
ทงเป่าไจกับจวนตระกูลหลิงนั้นไม่เคยมีความสัมพันธ์ใดๆ ร่วมกันในเชิงธุรกิจมาก่อน ทางพวกเขาเองก็ไม่คิดจะเป็นฝ่ายเริ่มยั่วยุยักษ์ใหญ่เช่นนั้นเป็นแน่ แต่บัดนี้อีกฝ่ายกลับเล่นงานจวนตระกูลหลิงเสียอย่างนั้น นับว่าเป็นเรื่องเหนือความคาดหมายนัก
“ออกไปสืบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่” หลิงหลัวยังคงพอมีหนทางในการทำธุรกิจต่อได้โดยไม่ต้องโดนผลกระทบรุนแรงจากเหตุการณ์นี้อยู่ แต่วิธีพวกนั้นมันจะใช้ได้นานเพียงใดกันเชียว เมื่อเวลาผ่านไป อย่างไรพวกเขาก็ต้องลงเอยด้วยการไปเผชิญหน้ากับมันตรงๆ อยู่ดี ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่อยากร่วมงานกับทงเป่าไจ แต่หลิงหลัวก็รู้ว่าภายในนั้นยังมีคนมากความสามารถอยู่หลายคน บางทีที่นั่นอาจจะมีอัจฉริยะทางด้านการค้าอยู่ด้วยก็ได้
การเป็นปฏิปักษ์กับทงเป่าไจนั้นมีแต่จะนำไปสู่เส้นทางแห่งการล้มละลาย และด้วยเหตุนั้น เขาจึงไม่เคยคิดที่จะไปยั่วโมโหพวกเขาเลยสักครั้ง
เซียวอี้หลินก็คิดเช่นเดียวกัน
เซียวอี้หลินนั้นกลัวว่าเฉียวเทียนช่างจะมาแก้แค้น ทว่ารอเท่าใดการแก้แค้นนั้นก็ยังมาไม่ถึงเสียที แต่สิ่งที่มาแทนนั้นคือการกดดันจากทงเป่าไจ
สามวันที่แล้ว ทงเป่าไจเริ่มกดดันธุรกิจของจวนตระกูลเซียว แต่ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงให้กระทบพวกเขามากนัก ราวกับว่าทางนั้นแค่กำลังเล่นเกมกับพวกเขาอยู่ ไม่ต่างอะไรจากแมวซึ่งกำลังไล่จับหนู
“เซียวเฉิง ไปสืบสาเหตุที่ทงเป่าไจเล่นงานพวกเราเสีย”
“ขอรับ นายท่าน”
เมื่อทั้งสองตระกูลต่างพยายามสุดความสามารถเพื่อสืบหาสาเหตุของปัญหาในครั้งนี้ เซียวฉีเทียนเป็นผู้แรกที่ทราบเรื่อง
ต้อนตระกูลเฉียวให้จนมุมภายในสามวันโดยไม่ต้องเปลืองแรงอะไรมากมายงั้นหรือ ถ้าหากพวกเขาเล่นงานเต็มกำลัง จะเกิดอะไรขึ้นกันล่ะนี่
เซียวฉีเทียนไม่คิดว่าจู่ๆ หนิงเมิ่งเหยาจะกลายเป็นคนใจอ่อนขึ้นมา แต่เขากลับคิดเสียอีกว่าหนิงเมิ่งเหยาคงอยากจะเห็นความพยายามเฮือกสุดท้ายของทั้งสามตระกูลมากกว่า
บัดนี้ จวนตระกูลหลิงและจวนตระกูลเซียวต่างก็เริ่มการสืบหาต้นตอของเรื่องนี้แล้ว เขาสงสัยยิ่งนักว่าสีหน้าของคนพวกนั้นจะเป็นเช่นไรเมื่อรู้ว่าใครเป็นผู้บงการเรื่องนี้อยู่เบื้องหลัง
โดยเฉพาะจวนตระกูลหลิง นั่นคงจะเป็นหายนะอันเหนือความคาดหมายสำหรับพวกเขาอย่างแน่นอน และนี่มันก็เป็นแค่จุดเริ่มต้นเพียงเท่านั้น
เมื่ออวี้เฟิงและมู่เฉินได้ข่าวว่ามีคนจากจวนตระกูลหลิงกำลังตามหาตัวพวกเขา ดวงตาของทั้งสองก็เต็มไปด้วยความเย็นชา ถ้าหากพวกมันกล้าที่จะรังแกเสี่ยวเหยาเอ๋อร์ของพวกเขา พวกมันก็เหมือนรนหาที่ตาย
หากหนิงเมิ่งเหยาไม่ได้บอกว่านางอยากจัดการทุกขั้นตอนด้วยตัวเอง ป่านนี้ทั้งสามตระกูลคงถูกขยี้จนราบเป็นหน้ากลองไปในชั่วอึดใจ ด้วยการดีดนิ้วเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
“มู่เฉิน เหตุใดพวกเราจึงไม่ไปหาเสี่ยวเหยาเอ๋อร์กันล่ะ” อวี้เฟิงพิงเก้าอี้แล้วหันไปมองมู่เฉินซึ่งอยู่ข้างกายเขาเล็กน้อย
หลานชายของพวกเขาต้องมาจากไปเพียงเพราะตระกูลสามตระกูลนั้น ความเดือดดาลภายในหัวใจของพวกเขานั้นยากเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยออกมาเป็นคำพูดได้ และพวกเขาก็ยังรู้สึกไม่พอใจเฉียวเทียนช่างเล็กๆ อีกด้วย เจ้าหมอนั่นบอกว่าจะปกป้องเสี่ยวเหยาเอ๋อร์ให้ดีมิใช่หรือ ในเมื่อเรื่องมันกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว หากได้เจอกันครั้งหน้า พวกเขาก็นึกอยากสั่งสอนบทเรียนให้เจ้าหมอนั่นสักบทสองบท เขาจะได้รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเสี่ยวเหยาเอ๋อร์ต้องเจ็บตัว
มู่เฉินมองอวี้เฟิง “ไม่ใช่ตอนนี้”
“โอ๊ย เสี่ยวเหยาเอ๋อร์ก็เหลือเกินจริงๆ” อวี้เฟิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่ามู่เฉินหมายความว่าเช่นใด นี่มันยังไม่ใช่เวลาที่พวกเขาจะไปหานางได้
คงจะน่าเบื่อยิ่งนักถ้าหากพวกเขาปล่อยให้ชาวบ้านรู้ว่าตัวตนจริงๆ ของหนิงเมิ่งเหยาเป็นใครเร็วเกินไป นางยิ่งมีนิสัยเสียชอบมองผู้อื่นตกอยู่ในอาการหวาดกลัวพลางค่อยๆ เหยียบย่ำลงบนความสิ้นหวังของพวกเขาอยู่ด้วย