บทที่ 281 ต้นเหตุความเปลี่ยนแปลง
เขารู้ว่าเกิดอะไรขึ้นตรงประตูวังหลวง แม้แต่เซียวอ๋องยังยอมลดตัวขอโทษ แล้วพวกเขาเป็นใครกันพวกเขาทัดเทียมอ๋องเชียวหรือ
เว่ยจื่อซินมองเสนาบดีเว่ยอย่างไม่พอใจ “ท่านหมายความว่าอย่างไร หาว่าข้าพูดจาไร้สาระ นางเป็นหญิงแพศยาหน้าไม่อาย ทำตัวไร้เกียรติต่อหน้าผู้คน”
เว่ยเค่อซินแสยะยิ้มไปทางเว่ยจื่อซิน แล้วกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “พวกเขาเป็นสามีภรรยากัน เจ้าเป็นใครไปยุ่งกับพวกเขา”
“เว่ยเค่อซิน วันนี้เจ้าจะหาเรื่องข้าให้ได้ใช่หรือไม่” เว่ยจื่อซินทำหน้าบึ้งเมื่อเห็นว่าเว่อเค่อซินมองมาที่นางด้วยสายตาไม่ชอบใจ
“หาเรื่องเจ้ารึ ข้าไม่สนใจหรอก ข้าแค่ไม่ต้องการให้ความโง่เขลาของเจ้ามาทำให้ข้าเสียผลประโยชน์เข้า เพราะถ้าใช่ เว่ยจื่อซินอย่าโทษว่าข้าไม่เห็นแกความเป็นพี่น้อง” เว่ยเค่อซินหันไปมองเว่ยจื่อซินทันที สายตานางเย็นชายิ่งนัก จนทำให้เว่ยจื่อซินต้องเสมองทางอื่นด้วยความหวาดกลัวโดยไม่รู้ตัว
ภรรยาของเสนาบดีเว่ยมองเว่ยเค่อซินอย่างไม่สบอารมณ์นัก “เค่อซิน นางเป็นน้องสาวเจ้านะ ทำไมเจ้าทำตัวเช่นนี้”
เมื่อปรายตามองยังฮูหยินเว่ย เว่ยเค่อซินก็หันหน้าหนีและไม่สนใจนาง แต่ในใจนางเย็นชาขึ้นมาในทันใด
แน่นอนว่ามุมปากของนางยกยิ้มเย้ยหยัน เว่ยเค่อซินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วกวาดความผิดหวังในอกทิ้งไปให้หมด ในเมื่อมารดาของนางไม่แยแสนางเลยสักนิด เรื่องของพวกเขาในวันหน้าก็จะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับนางอีก
เสนาบดีเว่ยมองสีหน้าสงบนิ่งของเว่ยเค่อซิน เขาทำหน้านิ่งแล้วหันไปมองฮูหยินเว่ย “พอได้แล้ว เค่อซินก็เป็นลูกสาวของเรา และสิ่งที่นางพูดก็หาได้ผิดตรงไหนไม่” เสนาบดีเว่ยมองฮูหยินเว่ยอย่างไม่พอใจ
ไม่รู้จะเกลี้ยกล่อมบุตรสาวอย่างไร แต่กลับเอาแต่ผลักไสนางออกไป ช่างโง่เง่าหาใดเปรียบ
เมื่อเห็นแววตาเดือดดาลของเสนาบดีเว่ย ฮูหยินเว่ยก็นึกกล่าวโทษเว่ยเค่อซิน ใบหน้านางหงิกงอ
เว่ยเค่อซินชำเลืองไปทางฮูหยินเว่ย สีหน้านางค่อยๆ เปลี่ยนไป จากนั้นนางก็หันศีรษะไปอีกทาง ไม่ว่าจะอย่างไร นางจะไม่ขอข้องเกี่ยวกับหญิงผู้นี้อีก
เว่ยจื่อซินพ่นหัวเราะเยาะด้วยความภูมิใจเมื่อเห็นว่ามารดากำลังโกรธเกลียดเว่ยเค่อซิน
นางได้ยินคนอื่นพูดถึงความสำเร็จของพี่สาวนางมาตั้งแต่เยาว์วัย แต่ตอนนี้พี่สาวของนางถูกมารดาโกรธเคือง ไม่ต้องบอกเลยว่าตัวนางจะมีความสุขแค่ไหน
“สมน้ำหน้าเจ้าแล้ว” เว่ยจื่อซินพึมพำ
แม้เสียงนางจะแผ่วเบา แต่เว่ยเค่อซินก็ได้ยิน นางเงยหน้าขึ้นมองยังเว่ยจื่อซิน ใจที่เย็นชาไปแล้วยิ่งเย็นยะเยือกกว่าเดิม
“ข้าสมควรโดนแล้ว ข้าจะรอตอนที่เจ้าไม่สมควรได้อะไรสักอย่าง” เว่ยเค่อซินกระซิบเสียงต่ำ เสนาบดีเว่ยอดขมวดคิ้วเมื่อได้ยินที่นางพูดเช่นนั้นมิได้
สองพี่น้องกลายเป็นศัตรูกันไปเสียแล้ว
หนิงเมิ่งเหยามองตระกูลนั้นจากระยะไม่ไกลนัก พอเห็นสีหน้าพวกเขาดูไม่ดีเท่าไร มุมปากนางก็ยกขึ้นเล็กน้อย
น่าสนใจจริง ยังไม่ทันมีอะไรเกิดขึ้น ตระกูลนั้นก็ทะเลาะกันเองแล้ว
ดูจากสีหน้าพวกเขา จะเป็นอะไรอื่นไปได้นอกจากทะเลาะกัน โดยเฉพาะสีหน้าของเว่ยเค่อซินที่บิดเบี้ยวยิ่งฟ้องว่ามีอะไรผิดปกติ
“เจ้าดูอะไรอยู่รึ” เฉียวเทียนช่างที่กำลังคุยกับหนิงเมิ่งเหยาถามด้วยความสงสัย เขาเห็นว่านางไม่ตอบ แล้วเอาแต่ยิ้มขณะมองไปทางอื่น
หนิงเมิ่งเหยาหันกลับมาหาคนข้างกาย
“ไม่มีอะไร เพียงแค่เห็นอะไรแปลกๆ เท่านั้น”
เขามองตามไปยังทิศทางที่หนิงเมิ่งเหยามองอยู่เมื่อครู่ แล้วเห็นตระกูลของเสนาบดีเว่ยต่างมีสีหน้าบิดเบี้ยวน่าเกลียด เขาก็เข้าใจในทันที
“บุตรสาวทั้งสองของตระกูลเว่ย คนโตเป็นหญิงมีพรสวรรค์ประจำเมืองหลวง มากประสบการณ์ มากผลงาน คนเล็กแย่กว่านางหน่อย นางนิสัยเกเรเอาแต่ใจยากจะควบคุม และข่มเหงข้ารับใช้อยู่เสมอ สองพี่น้องคู่นี้ไม่เข้ากันเอาเสียเลย” เฉียวเทียนช่างกล่าว เขาไม่แสดงสีหน้าใดๆ พอเห็นตระกูลเสนาบดีเว่ย ดั่งว่าพวกเขาไม่สลักสำคัญในสายตาชายหนุ่ม
หนิงเมิ่งเหยาเข้าใจ นางผงกศีรษะ
ไม่น่าแปลกเลยที่สองพี่น้องไม่สนิทสนมกัน
คนหนึ่งได้รับคำชม ในขณะที่อีกคนโดนตราหน้า หากพวกนางเข้ากันได้ดีก็คงจะแปลก
ถ้ามีปัญหาแม้เพียงเล็กน้อยดั่งเช่นที่เกิดกับเว่ยจื่อซินก่อนงานเลี้ยง คงจะกลายเป็นตัวเร่งที่ทำลายความสัมพันธ์ของสองพี่น้องคู่นั้นลง
บทที่ 282 ทำหน้าแบบเดียวกัน
คราได้ฟังเฉียวเทียนช่างอธิบาย หนิงเมิ่งเหยาก็เลิกสนใจตระกูลนั้น นางไม่จำเป็นต้องระแวงเว่ยจื่อซินเพราะอีกฝ่ายช่างโง่เขลานัก ไม่มีความจำเป็นให้นางต้องลงมือเอง
นางหันไปกระซิบกระซาบพูดคุยกับเฉียวเทียนช่างต่อ
ไม่นานนักก็มีเสียงกระซิบให้ได้ยินในอุทยานหลวง
“เหยาเอ๋อร์…”
เสียงนั้นทำเฉียวเทียนช่างหรี่ตาเล็กน้อย เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังต้นเสียง
บริเวณนั้นคือจุดที่หลิงหลัวและเซียวจื่อเซวียนยืนอยู่ สายตาหลิงหลัวดูเหม่อลอยขณะมองยังหนิงเมิ่งเหยา
เซียวจื่อเซวียนเริ่มควบคุมตัวเองได้หลังจากเกิดเรื่องขึ้นกับบุตรของนาง ทุกวันนางยุ่งอยู่กับการดูแลบุตร โดยไม่ได้สนใจสิ่งต่างๆ ทว่าในวันนี้ หลิงหลัวทำตัวเช่นนี้ต่อหน้าคนจำนวนมาก สำหรับนางแล้วถือเป็นการตบหน้ากันอย่างไม่ต้องสงสัย
นางมองยังหลิงหลัวมุมปากปรากฎแววเยาะเย้ย แล้วมุ่งหน้าไปยังที่นั่งของคนในจวนตระกูลเซียวโดยไม่ทักทายหลิงอ๋อง
หลิงอ๋องขมวดคิ้วอย่างอดมิได้เมื่อเห็นท่าทีหยาบคายของเซียวจื่อเซวียน
“หลัวเอ๋อร์ ดูเสียว่านางเป็นหญิงนิสัยอย่างไร นางกล้าปฏิบัติกับเราเช่นนี้” หลิงอ๋องไม่ได้ใส่ใจนัก แต่ไม่ได้หมายความว่าภรรยาของเขาจะยอมเพิกเฉย การเดินออกไปของเซียวจื่อเซวียนสร้างความไม่พอใจอย่างใหญ่หลวง
หลิงหลังมองยังมารดาของตน แม้เขาจะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า แต่ในอกแล้วเขาหงุดหงิดรำคาญใจนัก
ตั้งแต่บุตรชายของเขาเป็นไข้สูง และสมองได้รับความเสียหาย มารดาของเขาก็เอาแต่ตำหนิเซียวจื่อเซวียน คอยพูดว่านางดูแลเด็กไม่เป็น จึงทำให้หลานชายต้องมีสภาพเช่นนี้
นางมักจะพูดเรื่องนี้ให้ทุกคนที่นางเห็นฟัง แต่เซียวจื่อเซวียนไม่ใช่คนที่จะทนทุกข์เงียบๆ เซียวจื่อเซวียนปฏิเสธคำกล่าวหา แล้วร่ายทุกอย่างที่นางทำ
ในท้ายที่สุด ทั้งสองต่างอับอายจนไม่อาจถอยหลังได้ แล้วจวนตระกูลหลิงก็กลายเป็นเสมือนสนามรบ ทำให้หลิงหลัวและบิดาของเขาไม่อยากกลับบ้านกันเท่าไร
“ท่านแม่ ท่านช่วยมองสถานที่แล้วสงบใจลงบ้างไม่ได้เลยหรือ” หลิงหลัวรู้สึกหงุดหงิดใจยามมองนาง
หลิงอ๋องเองก็มองหญิงข้างกายตนด้วยสายตาไม่ชอบใจ “พอได้แล้ว ดูเอาเถอะว่าเจ้าดูเป็นเช่นไร เหมือนหญิงปากจัดตามตลาดไม่มีผิด ขายขี้หน้าอะไรเช่นนี้”
คำพูดของเขาทำให้ฮูหยินสำลัก ไม่อาจจะโต้ตอบกลับ นางมองหลิงอ๋องด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ
เขาหมายความว่าอย่างไรกัน เขากล้าหาว่านางทำขายขี้หน้าจริงๆ หรือ “ท่านหมายความว่าอย่างไร”
“พอได้แล้ว”
หลิงหลัวขมวดคิ้วนิ่วหน้า และในตอนที่หลิงฮูหยินกำลังจะเอะอะ เขาก็หันศีรษะไปกล่าว“ท่านแม่ ท่านอยากให้ผู้แทนจากเมืองอื่นเยาะเย้ยจวนตระกูลหลิงหรือ ถ้าไม่ท่านก็ช่วยเงียบด้วยเถอะ” เขาเอือมระอากับหญิงนางนี้แล้วจริงๆ
ฮูหยินอ้าปากค้าง แต่สุดท้ายนางก็ยอบหุบปาก สีหน้านางดูไม่ค่อยดีนัก
หลังจากเซียวจื่อเซวียนไปหาหลี่หลินเอ๋อร์ ความเศร้าในดวงตานางก็พรั่งพรูออกมาทันทีที่นางฟ้องมารดาทุกอย่าง
หลี่หลินเอ๋อร์เดือดดาลเมื่อได้ยินสิ่งที่บุตรสาวต้องเจอในจวนตระกูลหลิง นางมองยังเซียวอ๋องแล้วกระซิบอย่างโกรธเคือง “ท่านปกป้องลูกสาวและหลานของเรายังไม่ได้ แล้วท่านทำอะไรได้บ้าง”
สีหน้าเซียวอี้หลินบิดเบี้ยวน่าเกลียดมาแต่แรกแล้ว บัดนี้ยิ่งดูน่าเกลียดขึ้นไปอีก
ในช่วงนี้ เขาใช้เวลายามว่างไปกับการตรวจสอบเรื่องของหนิงเมิ่งเหยา และยังสืบเกี่ยวกับเหตุการณ์บางอย่างที่เกิดขึ้นในวังเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน และเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับหลี่หลินเอ่อร์ แต่เขายังไม่มีหลักฐาน
เมื่อเซียวจื่อเซวียนเห็นสีหน้าของเซียวอี้หลิน นางก็รู้ว่าทุกอย่างเริ่มย่ำแย่ “ท่านแม่ หยุดพูดถึงเรื่องนี้เถิด ท่านพ่อคอยปกป้องข้าอยู่เสมอ”
“เจ้ายังจะเข้าข้างเขาอีก” หลี่หลินเอ๋อร์ยิ่งโกรธ
“ข้าพูดความจริง ทั้งหมดนี้เป็นความผิดนางแพศยาหนิงเมิ่งเหยา ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ข้าไม่มีทางลงเอยเช่นนี้หรอก ทั้งหมดเป็นความผิดของนาง” เซียวจื่อเซวียนมีแต่ความเกลียดชังเมื่อนางคิดถึงอาการหมกมุ่นที่หลิงหลัวมีต่อหนิงเมิ่งเหยา
และไม่ใช่เพียงนางคนเดียว ตอนหลี่หลินเอ่อร์ได้ยินชื่อหนิงเมิ่งเหยา สีหน้านางก็บิดเบี้ยว ที่นางต้องโดนถูกขังไว้ในเรือนเล็ก ไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ ทั้งหมดก็เพราะนางผู้หญิงคนนั้น ในจังหวะนั้นเอง เซียวจื่อเซวียนและมารดาของนางมีสีหน้าคล้ายกันอย่างน่าเหลือเชื่อ