บทที่ 255 ชีวิตแสนสุข
รอยยิ้มหยอกล้อของเซียวชวี่เฟิงแปรเปลี่ยนเป็นความเยือกเย็นในทันที “เจ้ารู้ข่าวมาจากที่ไหนกัน ได้รับการยืนยันแล้วหรือ”
สายสืบของเขาแจ้งข่าวเพียงว่าหนานกงเช่อมาถึงเมืองเซียวแล้ว แต่ไม่มีใครพบเห็นเขา และไม่มีข่าวอื่นๆ อีกเลย
เขากังวลมาโดยตลอดว่ารัชทายาทแห่งเมืองหลิงมาที่นี่อย่างลับๆ น่าจะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่ ดูเหมือนว่าความกังวลของเขานั้นจะถูกต้อง “เหยาเหยาช่วยตรวจสอบน่ะ”
เมื่อฮ่องเต้ได้ยินว่าหนิงเมิ่งเหยาเป็นผู้สืบข่าว ความคลางแคลงใจทั้งหมดก็หายเป็นปลิดทิ้ง เนื่องจากเขารู้ถึงความสามารถของหญิงสาวอย่างชัดเจน
“เมิ่งเหยารู้ข่าวอะไรเพิ่มเติมอีกหรือไม่” เซียวฉีเทียนเข้ามาร่วมวงสนทนากับเฉียวเทียนช่างด้วยแววตาคาดหวัง
ชายหนุ่มผงกศีรษะ “ข้ามาวังหลวงก็เพราะเหตุนี้ นอกจากคนของเหยาเหยาจะรู้ว่าหนานกงเช่อมาถึงเมืองหลวงแล้ว ก็ยังได้ข้อมูลมาอีกว่าเขาพักอยู่ในร้านของฉีเทียน”
ทุกคนต่างรู้ว่าเซียวฉีเทียนเปิดโรงเตี๊ยม กิจการก็รุ่งเรืองดี จึงไม่แปลกใจว่าเหตุใดหนานกงเช่อจึงเลือกพักที่นั่น
เหตุผลแรก คือที่นั่นเป็นโรงเตี๊ยมที่ดีที่สุดในเมืองหลวง และหากชายหนุ่มผู้มั่งคั่งเลือกพักที่อื่นก็คงจะน่าสงสัย เหตุผลต่อมานั้นก็คือสถานที่ที่อันตรายที่สุด คือที่ที่ปลอดภัยที่สุดนั่นเอง หากเป็นเขา ก็คงจะทำเช่นเดียวกัน
“ทำไมเจ้าบ้าฉีเทียนถึงไม่รู้เรื่องนี้นะ” ‘หากไม่ใช่เพราะหนิงเมิ่งเหยาแล้ว พวกเขาจะต้องหลงกลไปอีกนานเท่าไหร่กัน’
เฉียวเทียนช่างเองก็ไม่อาจจะทำอะไรได้เช่นกัน “เรื่องนี้ตำหนิฉีเทียนไม่ได้หรอก หนานกงเช่อคงวางแผนมาอย่างดีแล้ว นอกจากนี้ เขายังมีลูกน้องมากมายอยู่เคียงข้าง จึงทำตัวกลมกลืนกับผู้มีฐานะคนอื่นๆ ที่นั่นได้อย่างแนบเนียนทีเดียว
เดิมทีนั้น เซียวชวี่เฟิงเข้าใจในประเด็นนี้ แต่ข้อมูลที่ได้รับนี้ทำให้เขารู้สึกพูดไม่ออกขึ้นมา พวกเขาปลอมตัวไปมากขนาดนั้นแล้ว นางรู้ได้อย่างไร
“ข้าอยากรู้ว่านางรู้เรื่องนี้ได้เช่นไรกัน” เซียวชวี่เฟิงมองเฉียวเทียนช่าง พลางเอ่ยอย่างแปลกใจ
ชายหนุ่มมองไปทางอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว โดยไม่สังเกตแววตาสงสัยนั้น “องค์หญิงแห่งเมืองหลิงนามว่าหนานกงเยว่ก็มาถึงที่นี่ด้วยเช่นกัน นอกจากนี้ หนานกงเช่อยังแอบนัดพบกับหลิงอ๋องเมื่อไม่กี่วันก่อนอีกด้วย”
ฝ่ามือของเซียวชวี่เฟิงแข็งเกร็งในทันที เขาขมวดคิ้ว “เจ้าคิดว่าพวกนั้นคุยกันเรื่องอะไร”
“เมืองหลิงอาจต้องการสร้างสัมพันธไมตรีผ่านการแต่งงาน ส่วนเรื่องที่หนานกงเช่อและหลิงอ๋องเจรจากันนั้น ข้าเกรงว่าเหยาเหยาจะต้องใช้เวลาสืบข้อมูลอีกสักระยะ” เรื่องราวต่างๆ ช่างตึงเครียด จนทำให้ชายหนุ่มหน้านิ่วคิ้วขมวด
“ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้ แต่ก็ต้องรบกวนเมิ่งเหยาด้วยเช่นกัน” เซียวชวี่เฟิงคิ้วขมวดขณะมองเฉียวเทียนช่าง
“ไม่ว่าจะยังไง เราจะต้องเตรียมตัวกันให้พร้อม แม้ว่ามันอาจจะสายเกินไป แต่ก็ดีกว่าไม่เตรียมการใดๆ เลย”
เซียวชวี่เฟิงพยักหน้า และเข้าใจถึงเหตุผลข้อนี้ดี หากหนิงเมิ่งเหยาไม่ช่วยไว้ ตอนนี้พวกเขาก็ยังคงมืดแปดด้าน และหากเป็นเช่นนั้น กว่าพวกเขาจะรู้เรื่องนี้ ก็คงจะสายเกินไปแล้ว
“ข้าจะส่งให้หมายเลขศูนย์จับตาดูหนานกงเช่อไว้” ‘ให้ใครสักคนคอยสอดส่องเขาไว้ดีกว่า’
เฉียวเทียนช่างเลิกคิ้วขึ้น ราวกับรู้สึกโล่งใจขึ้นเมื่อรู้ว่าผู้ที่ถูกส่งตัวไปคือหมายเลขศูนย์
“ในเมื่อท่านวางแผนเตรียมการไว้แล้ว ข้าก็ขอตัวกลับก่อน” เฉียวเทียนช่างมาที่นี่เพื่อแจ้งข่าวให้เซียวชวี่เฟิงทราบ และตอนนี้ภารกิจก็เสร็จสิ้นแล้ว เขาจึงไม่มีอะไรจะพูดต่ออีก
เซียวชวี่เฟิงกรอกตาใส่ ก่อนโบกมือ “ข้าว่าแล้วเชียว ว่าเจ้าดูรู้สึกฝืนใจที่ต้องอยู่ห่างจากเมิ่งเหยาแม้เพียงแค่ครู่เดียวก็ตาม”
“ท่านอิจฉาหรือ”
เซียวชวี่เฟิงสำลัก ‘อิจฉารึ จะต้องอิจฉาทำไมกันเล่า’
เมื่อชายหนุ่มเห็นท่าทีเช่นนั้นของฮ่องเต้ ก็เดินทางกลับจวนของตนเองอย่างอารมณ์ดี แต่เมื่อมาถึง เขากลับพบว่าหนิงเมิ่งเหยาออกไปข้างนอก
ท่านยายฉินบอกว่าหญิงสาวไปทานอาหารที่ร้านอาหารของเซียวฉีเทียน และฝากบอกว่า หากเขากลับมาก็ให้ไปหานางที่นั่น
เมื่อรู้ว่าหญิงสาวอยู่ที่ใด ชายหนุ่มจึงหมุนตัวและออกจากจวนของตนเองไปทันที
ขณะนั้นเอง หนิงเมิ่งเหยาก็กำลังถูกชายร่างอ้วนขวางไว้ และมองนางด้วยท่าทีหื่นกาม
“ถอยไปนะ” หนิงเมิ่งเหยามองชายอ้วนงี่เง่าตรงหน้าอย่างเย็นชา
“แม่นาง เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร หากเจ้าติดตามข้า รับประกันได้เลยว่าเจ้าจะมีชีวิตที่สุขสบายอย่างแน่นอน” ชายร่างอ้วนผู้นั้นมองใบหน้าอันงดงามของหญิงสาวจนน้ำลายไหล เขาไม่เคยพบเห็นหญิงสาวผู้ใดที่มีกริยาท่าทางเช่นนี้มาก่อน
บทที่ 256 ยุ่งจริงเชียว
ชีวิตอันสุขสบายหรือ ชิงเสวี่ยและคนอื่นๆ ด้านหลังหนิงเมิ่งเหยาต่างหัวเราะอย่างเหยียดหยาม “งี่เง่า”
ผู้คนรอบข้างต่างผงกศีรษะอย่างเห็นด้วย คนผู้นี้ช่างโง่เง่าเสียจริงเชียว
ก่อนหน้านี้ หนิงเมิ่งเหยามักออกมาข้างนอกกับเฉียวเทียนช่างอยู่บ่อยครั้ง ผู้คนที่รู้จักชายหนุ่มต่างรู้ดีว่าหญิงสาวผู้นี้คือภรรยาของแม่ทัพใหญ่ นางผู้นี้มีฐานะมั่งคั่งและเงินทองมากมาย ทำไมจะต้องมองหาชีวิตที่ดีกับชายอื่นด้วยเล่า ชายอ้วนผู้นี้คงจะไม่ใช่คนจากเมืองหลวงเป็นแน่ มิเช่นนั้นคงจะไม่พูดจาโง่เขลาเช่นนี้เป็นแน่
แม้ว่าเสื้อผ้าของหนิงเมิ่งเหยาจะดูเรียบง่าย แต่วัสดุและอัญมณีที่ใช้ถักทอนั้นล้วนแต่ทำจากวัตถุดิบชั้นเยี่ยม แล้วนางจะมาสนใจเขาทำไมกันเล่า
“หุบปาก” ชายผู้นั้นตะคอกพลางมองชิงเสวี่ยอย่างแค้นเคือง
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจอย่างมาก ก่อนจะจ้องมองชายร่างหมูอ้วนตรงหน้าอย่างหมดความอดทน แต่ก่อนที่นางจะทำการใด จู่ๆ ก็มีเสียงพูดอันสุขุมดังขึ้นมาจากด้านข้าง
“จูเหว่ย ใครอนุญาตให้เจ้ามาสร้างปัญหาที่นี่” แม้ว่าน้ำเสียงจะสุขุม แต่ก็เต็มไปด้วยความดุดัน
ชายเจ้าของเสียงนั้นสวมเสื้อคลุมสีม่วงเดินออกมาจากฝูงชน ก่อนจะเดินมาหาหนิงเมิ่งเหยา พร้อมกล่าวคำขอโทษ “ข้าขออภัยด้วยที่ดูแลลูกน้องของตัวเองไม่ดี”
หญิงสาวมองคนผู้นั้น ก่อนพึมพำอย่างเย้ยหยัน “ยุ่งจริงเชียว”
ชายผู้นั้นตกตะลึง เนื่องจากไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะพูดจาเช่นนี้
“เจ้า…”
“ชิงเสวี่ย จัดการเขาเลย” หนิงเมิ่งเหยาเอ่ยอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“เจ้าค่ะ คุณหนู” พวกนางอยากทำแบบนั้นมาตั้งนานแล้ว
ทั้งชิงเสวี่ยและชิงซวงไปอยู่ข้างๆ จูเหว่ยในเวลาเดียวกัน ก่อนจะฟาดแขนลงบนไหล่ของเขาอย่างแรง ผู้คนรอบข้างต่างได้ยินเสียงกระดูกหัก พร้อมกับเสียงกรีดร้องอย่างน่าเวทนา
ชิงซวงหยิบเข็มเงินสองสามเข็มจิ้มตรงอวัยวะส่วนล่างของจูเหว่ย
“นี่สำหรับสายตาอันน่าขยะแขยงของเจ้าที่กล้ามองคุณหนูของพวกเราเช่นนั้น เจ้าคงไม่อยากจะเก็บสิ่งนี้ไว้แล้วสินะ” ชิงซวงเอ่ยอย่างเยือกเย็น
เมื่อเหล่าชายชาตรีรอบข้างได้ยินคำพูดของนางก็รีบหนีบขาแน่นและถอยกรูด พวกเขาต่างอึ้งไปตามๆ กัน ‘ไม่ควรไปหาเรื่องภรรยาของแม่ทัพใหญ่จริงๆ ’
หนิงเมิ่งเหยามองใบหน้าอันซีดเผือดของจูเหว่ยขณะที่เขาล้มลงกับพื้น ก่อนจะเดินเข้าไปหาและก้มหน้ามองด้วยท่าทีอันสง่างาม “มีคนที่เจ้าไม่ควรไปยั่วยุอยู่มากมายนัก อย่าคิดจะใช้สถานะของตนเองทำเรื่องต่ำทรามเช่นนี้อีก เพราะบางทีเจ้าอาจจะกำลังหาเรื่องผิดคนอยู่ก็เป็นได้ ไปกันเถอะ”
“เจ้าทำเกินไปหรือเปล่า” เมื่อชายในชุดคลุมม่วงเห็นว่าพวกนางกำลังจะจากไป ก็เข้าไปยืนขวางทางและเอ่ยขึ้น
หนิงเมิ่งเหยามองหน้า “เกินไปเช่นนั้นหรือ คนจากต่างเมืองผู้นี้มาในเมืองเซียวของข้าและทำตัวต่ำทราม ก็สมควรได้รับการลงโทษแล้ว อีกอย่าง หนังหน้าของท่านมันหนาทนมากเลยหรือไร จึงไม่คิดว่านี่คือเรื่องที่เกินจะรับได้น่ะ”
ชายผู้นั้นรู้สึกไม่ดีนัก หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ ‘หญิงสาวตรงหน้าผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย’
“ชิงเสวี่ย ในเมื่อคุณชายผู้นี้บอกว่าเราทำเกินไป ถ้าเช่นนั้นก็ปล่อยให้เป็นไปตามนั้นเถิด ดึงลิ้นของเขาออกมา เพื่อไม่ให้พูดจาไร้สาระเช่นนั้นได้อีก” หนิงเมิ่งเหยาลดสายตาลงก่อนออกคำสั่ง
“เจ้าค่ะ คุณหนู”
“โปรดอย่าทำข้าเลย ข้ายอมรับผิดแล้ว” จูเหว่ยรีบปิดปากของตนและอ้อนวอนขอความเมตตาในทันที
“จูเหว่ย ผู้เป็นบุตรชายเพียงคนเดียวของอัครมหาเสนาบดีนามว่าจูหวน เป็นคนหื่นกาม และพรากความบริสุทธิ์จากบรรดาลูกสาวตระกูลผู้ยากไร้ในเมืองหลิงจำนวนมาก แต่เขาก็รอดพ้นคดีต่างๆ และไม่ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตัวเองก่อมาเสมอ เพราะมีท่านพ่อเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี เจ้าทำตัวชั่วช้าในเมืองหลิงได้ แล้วคิดจะมาสร้างปัญหาในเมืองเซียวของข้าเช่นนี้อีกหรือ เจ้าคิดจะรังแกประชาชนเมืองเซียวของข้าง่ายๆ หรือ” หนิงเมิ่งเหยามองจูเหว่ย ชายหนุ่มในชุดผ้าคลุมมีท่าทีเปลี่ยนไปหลังจากฟังคำพูดของหญิงสาว เขาหรี่ตามองนางอย่างน่ากลัว
ผู้คนรอบข้างต่างโกรธเคืองทันทีที่รับรู้ถึงพฤติกรรมลักษณะนิสัยของชายผู้นั้น รวมถึงเมื่อได้รู้ว่าเขาเป็นลูกชายของอัครมหาเสนาบดีแห่งเมืองหลิง ทั้งนี้ ช่วงสองวันที่ผ่านมา ผู้คนต่างเห็นเขาคุกคามหญิงสาวจำนวนมาก แต่ครั้งนี้เขากลับเล่นผิดคนเสียแล้ว
“แม่นางต้องไม่ปล่อยคนผู้นี้ให้ลอยนวลนะ ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เขารังแกเด็กสาวมากมายนัก” มีใครบางคนเอ่ยขึ้นจากมุมห้อง
“จริงด้วยแม่นาง”
“แม่นาง ข้าขอเรียกร้องความยุติธรรมให้แก่ตระกูลของพวกเราด้วยเถิด” ชายชราผู้หนึ่งคุกเข่าตรงหน้าหนิงเมิ่งเหยา จนหญิงสาวต้องเคลื่อนตัวไปห้ามเขาเอาไว้
นางเอื้อมมือไปช่วยประคองชายชราผู้นั้น “ท่านผู้เฒ่าทำอะไรน่ะ คิดจะทำให้ข้าอายุสั้นลงหรือไร”