บทที่ 271 ของชั้นดีมีทุกหนแห่ง
หลังออกมาจากร้าน หนิงเมิ่งเหยาก็ไม่คิดจะหาซื้อของต่อ นางคิดเพียงจะขอให้ชิงจู๋เย็บเสื้อผ้าให้นางใหม่สองชุด
“คุณหนู ไปดูร้านข้างหน้ากันเถอะเจ้าค่ะ ตรงนั้นมีคนอยู่กันเยอะเลย” ชิงเสวี่ยกวาดมองไปรอบด้านแล้วเห็นร้านที่มีคนแน่นขนัด
หนิงเมิ่งเหยามองตามทางที่ชิงเสวี่ยชี้ ร้านนั้นอยู่ไม่ไกลนัก นางจึงพาคนของนางไปตรงนั้น
เมื่อเข้าไป ชุดสีฟ้าเหมือนผิวทะเลสาบดึงดูดสายตาหนิงเมิ่งเหยา เป็นชุดสั้นคาดผ้าคาดเอว ชั้นในเป็นสีฟ้าอ่อน แขนเสื้อด้านนอกเป็นสีฟ้าทะเลสาบ และตรงกระโปรงปักลายดอกไม้ด้วยด้ายสีฟ้าใส มีผีเสื้อปักด้ายสีเดียวกับดอกไม้อยู่ด้วย
“ชุดนั้นราคาเท่าไร” หนิงเมิ่งเหยาเดินไปหาชุดนั้นแล้วหันไปถามคนขาย
“คุณหนู ชุดนั้นเป็นผลงานชิ้นเอกของร้านเรา ชุดไม่ใช่ชิ้นเดียวแต่เป็นสองชิ้น” เจ้าของร้านเดินมาอธิบายให้หนิงเมิ่งเหยาฟัง
ในบรรดาคนที่มาดูเสื้อผ้าในร้าน บรรดาอิสตรีมักสนใจชุดนั้น แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครนำชุดนั้นกลับไปด้วยสักราย
“สองชิ้นรึ” หนิงเมิ่งเหยาตกใจ มองยังเจ้าของร้าน ในดวงตานางมีแววประหลาดใจ
“ถูกต้องแล้ว อีกชิ้นหนึ่งเป็นเสื้อคลุมยาวสำหรับบุรุษ แล้วยังเป็นสีเดียวกับชุดนี้อีกด้วย” รอยยิ้มบนหน้าเจ้าของร้านไม่เปลี่ยนแม้แต่น้อย
หนิงเมิ่งเหยาขมวดคิ้ว หมายความว่านี่เป็นชุดคู่เช่นนั้นหรือ หนิงเมิ่งเหยายิ้มเมื่อหวนนึกถึงเฉียวเทียนช่าง “ข้าอยากได้ทั้งสองชิ้น”
“ข้ามีคำถามต้องถามคุณหนูก่อน” หญิงเจ้าของร้านไม่ตกใจกับความต้องการของนาง และเพียงมองมายังหนิงเมิ่งเหยา
“เชิญท่านถามได้เลย”
“คุณหนูคิดเช่นไรเรื่องบุรุษหนึ่งคนมีภรรยาและสนมหลายคน” ถ้อยคำจากเจ้าของร้านฟังดูติดจะยั่วยุ แต่ก็ให้อภัยได้ ใครเล่าจะอยากอยู่เพียงกับคู่เดิมของตนไปตลอดชีวิต
หนิงเมิ่งเหยายิ้มแล้วเอ่ยอย่างแผ่วเบา “การมีมากภรรยาและสนมเป็นเพียงข้ออ้างในการสนองความต้องการของพวกเขา ถ้าพวกเขารักใครสักคนจากใจจริง เหตุใดเล่าจะอยากทำให้คนที่พวกเขารักเจ็บช้ำ คนสองคนครองรักกันเป็นเรื่องที่เหมาะสมแล้ว สามคนออกจะมากเกินไป” ความสัมพันธ์ที่นางตามหาคืออยู่ครองคู่กับคนรักของนางไปชั่วชีวิต
สตรีรอบด้านได้ยินบทสนทนาในตอนนั้น ตอนฟังคำของหญิงสาว พวกนางรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง แต่พอลองตริตรองดู ใครเล่าจะตัดสินได้
หากจะกล่าวให้ชัดเจนขึ้น พวกนางเองต่างรู้สึกไม่อาจทำอะไรกับเรื่องนี้ได้ มีใครบ้างบอกภรรยาของพวกเขาว่าเมื่ออยู่กับนางแล้ว ตนจะไม่รับอนุเพิ่มเข้ามาอีก
ก็เป็นเพียงข้ออ้างที่เหล่าบุรุษใช้เพราะความเห็นแก่ตัว
เจ้าของร้านพึมพำถ้อยคำของหนิงเมิ่งเหยาอย่างแผ่วเบา คนสองคนครองรักกันเป็นเรื่องเหมาะสมแล้ว สามคนออกจะมากไป ไม่ใช่ความจริงหรือ
“คุณหนู เสื้อผ้าสองชิ้นนี้เป็นของท่าน ในราคา 9,999 ตำลึงเงิน” เจ้าของร้านเปิดปากบอกโดยตรง
ผู้คนในร้านตกอกตกใจเมื่อได้ยินราคา เงินหมื่นตำลึงกลับซื้อเสื้อผ้าได้เพียงสองชิ้น นี่เป็นการปล้นกันกลางวันแสกๆ ชัดๆ
ทว่าหนิงเมิ่งเหยากลับหัวเราะ “คุ้มค่าแล้ว ชิงเสวี่ย”
ชิงเสวี่ยนำเอาตั๋วเงินจำนวนพันตำลึงออกมาสิบใบแล้วส่งให้เจ้าของร้าน เจ้าของร้านส่งหนึ่งตำลึงเงินคืนให้นาง
เมื่อทั้งสองรับชุดมาแล้วกำลังจะออกไป มีหญิงแต่งกายในชุดแดงเข้มมาขวางทางหนิงเมิ่งเหยา “ส่งชุดนั้นมาให้ข้า”
นางหลงใหลชุดนั้นตั้งแต่เข้ามาในร้าน แต่ไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าของร้านจะมีคำถามอันแยบยล ทำให้นางซื้อชุดไม่สำเร็จ บัดนี้มีหญิงจากไหนไม่รู้มาซื้อชุดไปได้ ช่างน่าอับอายนัก
หนิงเมิ่งเหยาปรายตามองสตรีตรงหน้าด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มทว่าไร้รอยยิ้ม “เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นเจ้าของร้านนี้หรือ”
“กล้าดีอย่างไร เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นใคร” สตรีในชุดแดงคำรามอย่างเกรี้ยวกราดเมื่อได้ยินถ้อยคำล้อเลียนของหนิงเมิ่งเหยา
“คุณหนูท่านนี้นั้น นางเป็นบุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายขวา นางมีนิสัยดื้อรั้น ขอให้ท่านระวังตัวด้วย” เจ้าของร้านพูดขึ้นมา
หนิงเมิ่งเหยาผงกศีรษะให้เจ้าของร้านแล้วหันไปมองบุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายขวา “ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าเสนาบดีฝ่ายขวามีบุตรสาวนิสัยเช่นนี้ ท่าทางบิดามารดาของนางจะจนปัญญาสั่งสอน ปล่อยให้นางมาปล้นชาวบ้านตามท้องถนน” หนิงเมิ่งเหยาเพียงสาธยายสิ่งที่เกิดขึ้น แต่บรรดาคนที่ได้ยินเข้ากลับอดหัวเราะมิได้
เว่ยจื่อซินถลึงตาเกรี้ยวกราดมองหนิงเมิ่งเหยา “เจ้าหุบปากเสีย!”
“บุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายขวานี่ช่างวางตัวใหญ่คับฟ้าเสียเหลือเกิน นางคิดว่าเสนาบดีฝ่ายขวาปกครองเมืองหลวงหรือ” แววตาหนิงเมิ่งเหยาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเย็นชา นางดูเหมือนจะจำได้ว่าเฉียวเทียนช่างเคยเอ่ยถึง พระมเหสีของเซียวชวี่เฟิงน่าจะเป็นบุตรสาวของเสนาบดีฝ่ายขวา แต่ดูเหมือนว่าหญิงนางนี้ก็ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ
บทที่ 272 เย้ย
เว่ยจื่อซินทำเสียงฮึดฮัด “อีกไม่นานพี่ใหญ่ของข้าจะเป็นฮองเฮา เจ้ากล้าทำให้ข้าโมโห ข้าจะให้พี่ใหญ่ตัดหัวเจ้า”
“แน่ละว่าเจ้าเป็นตระกูลมากอำนาจ” หนิงเมิ่งเหยาล้อเลียน นางอยากถามเซียวชวี่เฟิงเหลือเกินว่าเขาคิดเช่นไรกับเรื่องนี้
มีน้องสาวเช่นนี้ แล้วพี่สาวจะเป็นคนดีสักเพียงใดเชียว
“จวนเสนาบดีฝ่ายขวาโอหังปานนี้ตั้งแต่เมื่อไร ไยข้าไม่เคยได้รู้มาก่อน” มีเสียงเย็นชาดังมาจากตรงประตู
เสียงคุ้นหูกระตุกปากหนิงเมิ่งเหยา “เซียวฉีเทียน เจ้ามาทำอะไรที่นี่กันเล่า”
“ข้ากำลังช่วยท่านพี่จัดการอะไรบางอย่าง แล้วกำลังจะกลับ เผอิญเห็นเจ้าตอนเดินผ่าน ข้าเลยแวะมาดูเสียหน่อย ทำไมเทียนช่างไม่อยู่กับเจ้า]jt” เซียวฉีเทียนขมวดคิ้วพลางถาม เขาเดินมายืนข้างหนิงเมิ่งเหยา
“เขากำลังยุ่งยิ่งนัก แล้วข้าออกมาเดินข้างนอกเองไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่แต่อย่างใด แต่ไม่ว่าข้าจะไปที่ใด ก็เป็นต้องเจอเข้ากับคนนิสัยดีอยู่เรื่อย ข้าไม่ได้ตรวจดูชะตาก่อนออกจากบ้านจริงๆ” หนิงเมิ่งเหยากางมือออกและพูดอย่างช่วยไม่ได้
เซียวฉีเทียนถลึงตาเย็นยะเยือกใส่เว่ยจื่อซิน “เว่ยจื่อซิน เจ้านั้นช่างน่าประทับใจเสียจริง ขนาดข้ายังตัดหัวใครไม่ได้เลย แล้วเจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน เจ้าจะวางตัวอยู่เหนือข้าหรือ”
เดิมเขาไม่เห็นด้วยอยู่แล้วที่เสด็จพี่จะแต่งงานกับคนของตระกูลเว่ย ยิ่งมาเจอกับสถานการณ์นี้เขาก็ยิ่งหงุดหงิด
“ฉี…องค์ชายฉี…หม่อมฉัน…หม่อมฉัน…นั่นไม่ใช่…หม่อมฉันเปล่า” เว่ยจื่อซินอึ้งไปถนัดตาเมื่อเห็นเซียวฉีเทียน ไม่อาจเข้าใจได้ว่าทำไมหญิงท่าทางธรรมดาตรงหน้าจึงรู้จักกับเซียวฉีเทียนผู้นิ่งเฉย ไม่เพียงรู้จักกันแต่ยังเหมือนทั้งสองจะมีสัมพันธ์อันดีต่อกันอีกด้วย
เซียวฉีเทียนทำเสียงฮึ่มออกมาแล้วเมินนาง เขาหันไปทางหนิงเมิ่งเหยา “เมิ่งเหยา ไปกันเถอะ เทียนช่างน่าจะกลับไปรอเจ้าที่บ้านแล้ว”
ทันทีที่ได้ยินว่าเฉียวเทียนช่างกลับมาแล้ว หนิงเมิ่งเหยาก็ไม่มัวอ้อยอิ่ง นางมองข้ามเว่ยจื่อซินแล้วไปกับเซียวฉีเทียน
ระหว่างทางกลับ หนิงเมิ่งเหยาเห็นเซียวฉีเทียนนิ่วหน้า นางไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ จึงรู้สึกสงสัย “เจ้าคิดอะไรอยู่รึ”
“ข้าอยากเกลี้ยกล่อมให้เสด็จพี่อย่าแต่งงานกับหญิงจากตระกูลเว่ย” เซียวฉีเทียนขมวดคิ้วอย่างไม่ชอบใจ
“เจ้าไปพูดกับท่านได้แน่ มีน้องสาวเช่นนี้ ข้านึกเกรงนักว่าแล้วคนพี่จะเป็นเช่นไร ถ้านางขึ้นเป็นฮองเฮา อนาคตของเขาคงน่าสนใจไม่หยอก” หนิงเมิ่งเหยาหยอกเย้าด้วยรอยยิ้มบาง
เซียวฉีเทียนกลอกตาใส่หนิงเมิ่งเหยา จากนั้นก็นวดหน้าผากตัวเอง “อย่าสนุกบนทุกข์ผู้อื่นสิ เจ้านี่”
“ข้าทำแบบนั้นหรือ” หนิงเมิ่งเหยาแสร้งถามอย่างไร้เดียงสา
เซียวฉีเทียนตรงดิ่งกลับไปยังวังหลวงหลังจากส่งนางกลับจวนแม่ทัพ
“ท่านพี่ ท่านไม่แต่งงานกับหญิงจากจวนเสนาบดีฝ่ายขวาจะเป็นการดีที่สุด นางจะเป็นพระสนมก็ได้ แต่ห้ามให้นางขึ้นเป็นฮองเฮาเด็ดขาด” นี่เป็นครั้งแรกที่เซียวฉีเทียนทำหน้าเคร่งขรึมเช่นนี้แล้วพูดเรื่องนี้กับเซียวชวี่เฟิง
เซียวชวี่เฟิงเลิกคิ้ว “ทำไมจึงต้องทำเช่นนั้นเล่า”
เขาอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นบนถนนด้วยสีหน้าสงบ เซียวชวี่เฟิงหรี่ตา “ดูท่าทางตระกูลเว่ยจะเหลิงไปกันใหญ่แล้ว”
“เช่นนั้นข้าจะทำอย่างที่เจ้าบอก ระหว่างที่เลือกพระสนมในเทศกาลไหว้พระจันทร์ข้าค่อยเลือกฮองเฮาคนอื่น” เซียวชวี่เฟิงเข้าใจน้องชายตัวเองดี การที่อีกฝ่ายมาพูดเช่นนี้เป็นการพิสูจน์ว่าคนของตระกูลเว่ยทำให้เขานึกรังเกียจเป็นที่สุด
เซียวฉีเทียนผงกศีรษะ “ข้าว่าท่านพี่ขอให้หนิงเมิ่งเหยาช่วยมองหาก็ดี นางตัดสินไม่พลาดหรอก” สำหรับคนที่หาข้ารับใช้ได้มากมายขนาดนั้น นางไม่มีทางเป็นคนธรรมดาแน่นอน
เซียวชวี่เฟิงครุ่นคิดแล้วรู้สึกว่าเซียวฉีเทียนพูดจามีเหตุผล “ตกลง ช่วยพี่คนนี้ของเจ้าที ไปบอกหนิงเมิ่งเหยาให้ช่วยสอดส่องเมื่อถึงเวลา ข้ามีเรื่องทางนี้ที่ต้องจัดการปลีกตัวไปไม่ได้เลย” เซียวชวี่เฟิงมองยังกองม้วนฎีกาตั้งใหญ่บนโต๊ะอย่างหมดหนทาง
เซียวฉีเทียนรับทราบ “อืม วางใจเถอะ ท่านพี่ ข้ารู้ว่าต้องทำอะไร แต่อย่าโหมเกินไปเล่า ให้คนระดับล่างจัดการเสียบ้างถ้าพวกเขาทำได้ พวกเขาไม่ได้อยู่แค่เพื่อกินโดยไม่ต้องทำอะไรเลย ทำไมท่านถึงมาทำงานทุกอย่างคนเดียว” เซียวฉีเทียนรู้สึกไม่พอใจเรื่องนี้มานานแล้ว
เซียวชวี่เฟิงมองยังเซียวฉีเทียน ดวงตาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม เขารู้สึกสบายใจที่เซียวฉีเทียนเป็นห่วงเป็นใยเขา “พี่ของเจ้ารู้ว่าต้องแบ่งเบาภาระอย่างไร เจ้าไม่ต้องกังวลไป”