จิ่งเหิงปัวอารมณ์ดีอย่างมากจูงกงอิ้นเดินผ่านไปมาท่ามกลางฝูงชนอย่างร่าเริง
วันนี้มาได้จังหวะพอดิบพอดี ด้วยเป็น ‘เทศกาลนั่งผกา’ ซึ่งเป็นเทศกาลสำคัญของเขตซีเอ้อ เทศกาลนี้มีต้นกำเนิดมาจากตำนานเก่าแก่เรื่องหนึ่งของเขตซีเอ้อ ในรัชสมัยหนึ่งยุคหนึ่งมีมารผกาก่อกรรมทำเข็ญแปลงกายเป็นสตรีผู้มีเสน่ห์ยั่วยวนทำร้ายสรรพชีวิต โชคดีที่มีสตรีมีสกุลนางหนึ่งสละตนนั่งบนดอกไม้ทำลายมารผกากอบกู้สรรพชีวิต นับแต่นั้นจึงถูกราษฎรเขตซีเอ้อเรียกว่าพระนางนั่งผกา วันนี้ของทุกปีราษฎรจะจัดงานรำลึกตลาดดอกไม้ สตรีจะไปเที่ยวเล่นข้างนอกได้ คูเมืองทุกแห่งยังคัดเลือกแม่นางโฉมสะคราญมารับบทบาท ‘พระนางนั่งผกา’ กับ ‘มารผกา’ เดินกรีดกรายไปตามตลาดชวนให้ผู้คนติดตาม
ฉะนั้นเมืองเป่าฟั่นในวันนี้จึงไม่ต้องไปหาตลาดดอกไม้โดยเฉพาะแล้ว มีคนขายดอกไม้กับนวลนางอาภรณ์หอมจอนผมสยายสวมเสื้อดอกเสื้อแดงเต็มถนน ส่วนริมถนนมีชั้นวางดอกไม้และตะกร้าหวายวางเต็มไปหมด ดอกไม้หลากหลายชนิดห้อยแขวนเป็นกลุ่มเป็นช่อ หลายชนิดจิ่งเหิงปัวเรียกชื่อไม่ถูกรู้สึกเพียงว่าสีสดใสแวววาวเต็มสายตาทั้งสีแดงส้มเหลืองเขียวครามม่วงฟ้า ดอกไม้อ่อนช้อยเป็นกลุ่มๆ ทั้งกลางสายลม ในมือขาวบริสุทธิ์ ข้างจอนผมสตรีและในดวงตาหยาดเยิ้มวาวแววทั้งหมด กลางอากาศอบอวลด้วยกลิ่นอายหอมหวานเข้มข้น
จิ่งเหิงปัวรีบเดินทางมาตลอด สิ่งที่เห็นหากไม่ใช่ท้องฟ้าสีครามก็เป็นเพดานรถม้าสีดำ ขณะนี้ถูกสวยสดงดงามและความคึกคักเช่นนี้ชะล้างดวงตาจนรู้สึกเพียงว่าความสบายใจและเป็นธรรมชาติแผ่ออกไปจากในใจถึงปลายนิ้ว
นางเดินผ่านไปมาอย่างรวดเร็วท่ามกลางฝูงชน
“นี่คือดอกอะไร งามจนโดดเด้ง! สีชมพูสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งนัก!”
“ดอกไม้นี้สีสันสี่แบบคล้ายดอกผกากรองไม่น้อย สดใสเสียยิ่งกว่าผกากรองอีก!”
“ดอกไม้รูปทรงระฆังทองคว่ำนี้พิเศษนัก สีสันมากกว่านี้สักหน่อยน่าจะดีนะ”
“ดอกไม้นี้สลับสีทองเหลือบม่วงสดใสนัก…เอิ่มไม่ใช่ล่ะนี่มันนก…” จิ่งเหิงปัวคว้าช่อหนึ่งซึ่งสีสันสดใสเป็นพิเศษออกมาจากกลางพุ่มดอกไม้ มองอยู่เนิ่นนานเพิ่งพบว่านี่คือนกแก้วตัวหนึ่ง อดจะถอนหายใจเบาๆ ไม่ได้ “อาเจ้าหมาโง่ เป็นนกแก้วเหมือนกัน เจ้าอัปลักษณ์กว่ามันเยอะเลย…”
“ฝนดีรู้เวลา ตกลงมายามพืชเขียว นกขนโล้นตัวเดียว ยังกล้าเที่ยวมีปากเสียง” เสียงแหลมตะโกนด่าของเจ้าหมาโง่ฟังแล้วเสียดแทงโสตยวดยิ่งเอ่ยสืบต่อว่า “ชั้นท่องกลอนได้ ไอ้เวรทำได้หรือไม่? ได้หรือไม่?”
เฟยเฟยเดินเตร่ออกมาอย่างเงียบเชียบ ยกกรงเล็บเพียงครั้งคว้าเจ้าหมาโง่ไว้ส่งไปเบื้องหน้านกแก้วสวยงามซึ่งถูกด่าทั้งที่บริสุทธิ์
นกต๊องนั่นยกกรงเล็บให้เจ้าหมาโง่กรงเล็บหนึ่ง ด้านหนึ่งเกี่ยวขนอีกด้านหนึ่งตะโกนเสียงลั่นว่า “นายท่านสงบสุขหมื่นปี! นายท่านสงบสุขหมื่นปี!”
เจ้าหมาโง่ไม่พอใจถูกเกี่ยวขนโกรธจนโจมตีกลับ กรงเล็บข้างหนึ่งเกี่ยวขนบนหัวสามเส้นของนกแก้วจินกัง[1]นั้น นกแก้วจินกังนั้นด้านหนึ่งหลบหลีกร้องน่าสงสารอีกด้านหนึ่งตะโกนว่า “นายท่านสงบสุขหมื่นปีนายท่านสงบสุขหมื่นปี!”
พูดได้แค่ประโยคนี้ประโยคเดียวสินะ
เจ้าหมาโง่ลำพองใจด้วยพบเจอความรู้สึกหยิ่งในศักดิ์ศรีโดยพลัน…เฟยเฟยก็ดีหรือนกเลวตัวนี้ก็ดีล้วนเอ่ยวาจาสู้ท่านหมาไม่ได้!
จิ่งเหิงปัวหัวเราะจนแทบขาดอากาศหายใจ ดีที่ได้กงอิ้นตบหลังช่วยชีวิตนางทันเวลา
กงอิ้นก้มหน้าน้อยๆ ใต้แสงอาทิตย์ ดวงตาดำขลับงามสดใสโชติช่วงด้วยแสงอบอุ่นที่ตัวเขาเองยังไม่เคยรู้ตัว
รอบด้านพลันสงบเงียบ เสียงเอะอะและความคึกคักทุกสิ่งคล้ายเป็นระเบียบเงียบเชียบโดยพลัน
วันนี้ในตลาดมีหญิงสาวมากมาย นับแต่กงอิ้นปรากฏกายในตลาดกลุ่มหญิงสาวก็ปรากฏความเปลี่ยนแปลงแปลกประหลาด ส่วนใหญ่ห้อมล้อมที่ซึ่งกงอิ้นอยู่หลั่งไหลตามหรือหลั่งไหลทวนหรือหลั่งไหลตามไปก่อนแล้วค่อยหลั่งไหลทวนกลับมา มีผู้เดินผ่านข้างกายเขาหลายๆ รอบ มีผู้ยืนงามสง่าอยู่ฝั่งตรงข้าม มีผู้ชาญฉลาดอยู่บ้างเรือนร่างสั่นสะท้าน ดวงหน้าคล้ายมองดอกไม้ทว่าแท้จริงแล้วมองชายหนุ่ม กงอิ้นขยับเขยื้อนก้าวหนึ่งพวกนางจึงเปลี่ยนแผงขายของแผงหนึ่ง
ยามกงอิ้นหยุดตบหลังของจิ่งเหิงปัว สายตาหญิงสาวเกือบทุกนางทอดลงบนมือของเขาและบนหลังของจิ่งเหิงปัว เปี่ยมด้วยความใฝ่หาต่อมือข้างนั้นทว่าเกลียดชังหลังนั้นจนแทบใช้สายตาเผาเป็นรูสักรู
แลมีหญิงสาวหลายนางจ้องมองสายตาของกงอิ้นที่จ้องมองจิ่งเหิงปัวอดจะโมโหมิได้
พวกนางกัดริมฝีปากบีบขยี้ย่ำยีดอกไม้ในมืออย่างไร้สติ ขยี้สีแวววาวสว่างสดใสนั้นจนร่วงโรยทีละกลีบดุจดังดวงใจที่ถูกบดขยี้บีบเกร็งในชั่วยามนี้…
เหล่าพ่อค้าเร่ขายดอกไม้ในตลาดร้องเศร้าโศกระงม
จิ่งเหิงปัวผู้เริ่มทำบรรยากาศเสียไม่ได้รู้ตัวเลยแม้แต่น้อยหยุดไอโขลกอย่างยากลำบาก พอเงยหน้ามองเห็นดอกไม้สีแดงเข้มปลายกลีบสีเงินกลุ่มหนึ่งข้างหน้า ดวงตาประกายวูบคว้ามือของกงอิ้นไว้ในครั้งเดียวชี้ไปทางนั้นพลางกล่าวว่า “ว้าว! ดอกไม้นั่นสวย! ขอบสีเงินสวยจัง! คล้ายดอกฉา[2]สิบแปดบัณฑิต[3]! ไปดูกัน!”
กงอิ้นชะงักเพียงน้อย สายตาค่อยๆ ทอดลงบนมือที่ถูกนางจูงไว้
ชั่วพริบตาหนึ่งแก้มขาวบริสุทธิ์ดุจหยกของเขาคล้ายซึมแทรกสีแดงอ่อน เส้นริมฝีปากเม้มขึ้นมาแนบแน่นเป็นสีแดงอ่อนผืนหนึ่งบางๆ เช่นกัน ทว่านัยน์ตาผุดผาดสีเคลือบบางส่วน ทั่วทั้งร่างงามคมคายคล้ายภูเขาหิมะสูงใหญ่
เหล่าสาวน้อยทั้งตลาดอดจะบดขยี้ดอกไม้ในมือมิได้ เกลียดชังยามมือนั้นอยู่ในมือนางอื่น ยิ่งเกลียดสตรีหน้าไม่อายนางนั้นด้วยขืนใจลากชายชาวบ้าน!
มองเพียงแวบเดียว พ่อรูปงามสูงส่งบริสุทธิ์แต่กำเนิดไม่ยินยอมพร้อมใจเช่นนั้น สีหน้าแข็งทื่อและท่วงท่าชักช้าเช่นนั้นทว่าด้วยเพราะจิตใจดีงามจึงทนจะทำให้สตรีไร้ยางอายนั้นขวยเขินมิได้ ถูกนางลากไปเบื้องหน้าทั้งเยี่ยงนั้น…อา ไฉนจึงไม่สะบัดมือ…ไฉนจึงไม่สะบัดมือ!
กล่าวแล้วการไม่ใส่ใจอะไรเลยย่อมมีข้อดีในตัวมันเอง จิ่งเหิงปัวทำเป็นมองไม่เห็นสายตาไอสังหารที่ลอยล่องเต็มถนน ในสายตาของนางคือเหล่าสตรีน้ำลายไหลให้ความงามของกงอิ้นเป็นปกติธรรมดา ว่าแต่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับนางเหรอ?
“ดอกไม้นี้ขายอย่างไร” จิตใจนางล้วนอยู่บนดอกไม้นี่อาจเรียกได้ว่าความงามแห่งแคว้นกระถางนั้น นั่งยองลงไปถามราคาด้วยท่าทีเปี่ยมความสนใจว่า “เถ้าแก่ หนึ่งกระถางเท่าไร”
“ห้าร้อยอีแปะ” ชายขายดอกไม้ชำเลืองมองเสื้อผ้าการแต่งกายของทั้งสองคนแวบหนึ่งแล้วฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบ
“นึกว่าข้าด้อยปัญญาหรืออย่างไร?” นิ้วของจิ่งเหิงปัวนิ้วหนึ่งจิ้มไปบนหน้าผากของเขากล่าวต่อว่า “ดอกไม้ทุกชนิดในตลาดนี้แพงที่สุดไม่เกินห้าสิบอีแปะ เจ้ากล้าขายห้าร้อยอีแปะ ดอกไม้นี้ใช้เมล็ดทองคำปลูกหรืออย่างไร?”
นิ้วมือนางเรียวบางนัยน์ตาเคลื่อนไหว ดวงตาดอกท้อที่หางตาสั่นไหวลอยล่องคู่นั้นคล้ายจะมีดอกท้อเย้ายวนนับมิถ้วนล่องลอยใต้แสงอาทิตย์
“แม่นาง” ชายขายดอกไม้ถูกการจิ้มเพียงครั้งนี้ของนางจิ้มจนวิญญาณออกไปนอกจะรวาล ยื่นมือไปจับนิ้วมือของนางอย่างชั่วร้าย ยิ้มพลางเอ่ยสืบต่อว่า “แพงแล้วหรือ? ดอกไม้นี้เติบโตเป็นเช่นนี้มิได้ง่ายดายเลย ทุกวันจะต้องวางไว้บนภูเขาที่สูงที่สุดเพื่ออาบจิงชี่[4]แห่งฟ้าดิน ยามค่ำยังต้องเก็บเข้าในเพิงอุ่น…ทว่าดอกไม้งามคู่โฉมสะคราญ ในเมื่อแม่นางชื่นชอบก็สองร้อยห้าสิบอีแปะ! ข้าขายขาดทุนให้!”
นิ้วมือของจิ่งเหิงปัวสะบัดเพียงครั้งหลบหลีกกรงเล็บหมาป่าของเขาอย่างแผ่วเบา เสียงหัวเราะดุจน้ำหลากเป็นระลอกกล่าวว่า “สองร้อยห้าสิบหรือ? สมเป็นสองร้อยห้าสิบ[5]เสียจริง!”
ชายขายดอกไม้นั้นไม่เข้าใจคำหยอกล้อของนางหัวเราะเฮอะเฮอะส่งดอกไม้นั้นออกมาฉวยโอกาสคิดลูบคลำมือของนาง
สองคนคุยไปคุยมาคุยจนคล้ายบรรยากาศคึกคัก หลงลืมน้ำแข็งสลักก้อนหนึ่งข้างกายซึ่งไอเหน็บหนาวยิ่งหนักขึ้นจนสิ้น
“ข้าคล้ายจะมิได้เห็นชอบให้เจ้าซื้อดอกไม้” แว่วเสียงแหบพร่าเย็นยะเยือก จิ่งเหิงปัวผู้วุ่นวายกับการต่อรองราคาจึงนึกถึงมหาเทพนามนี้
ดวงตานางกะพริบวูบคว้ากงอิ้นผลักไปเบื้องหน้าเพียงครั้งแล้วกล่าวว่า “เร็วสิ ช่วยข้าต่อรองราคาเร็วเข้า!”
กงอิ้นมิเอ่ยวาจา “…”
“ต่อรองราคาแล้วช่วยข้าเลือกกระถางหนึ่งที่ดีที่สุด ใบต้องอวบอิ่มมีดอกตูมเยอะยิ่งดี” องค์ราชินีผู้เชี่ยวชาญการพูดเองเออเองตบไหล่มหาเทพอย่างสุขุม กล่าวเสียงเบาข้างหูของเขาว่า “เจ้าคนนี้เจ้าชู้มากวาจาคงมิใช่คนดีเป็นแน่ คงรังแกผู้อ่อนแอแต่กลัวผู้แข็งแรง เจ้าออกโรงเองย่อมกดราคาลงมาได้แน่! ข้าเชื่อมือเจ้า!”
ท่วงท่าสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งของกงอิ้นกระทำได้เพียงครึ่งเดียว หันหน้ามองนาง
“เจ้าก็รู้สึกว่าเขาเจ้าชู้? ไม่ดียิ่งนัก?”
“แน่นอน” จิ่งเหิงปัวพยักหน้าไม่ได้สังเกตถึงความลี้ลับของคำว่า ‘ก็’ นั้น
มหาเทพมิเอ่ยวาจาอีกนั่งยองย่อกายจริงจังเริ่มต้นตัดราคาแลเลือกดอกไม้
เหล่าสตรีผู้ห้อมล้อมอยู่ห่างไกลกลุ่มหนึ่งเปล่งเสียงถอนหายใจเหลือเชื่อ
มองปราดเดียวยังรู้ว่าเป็นบุรุษผู้ยโสโอหังยวดยิ่ง ต่อราคาหรือ? ซื้อดอกไม้หรือ?
จิ่งเหิงปัวมองดูยังรู้สึกว่าคล้ายจะผิดวิสัยไปบ้าง กงอิ้นดุจบุปฝาสูงส่งนั่งยองลงต่อรองราคาย้ายกระถางดอกไม้? ทว่าชีวิตมนุษย์นั้น เดิมทีไม่ว่ารูปแบบไหนล้วนควรลองสักหน่อย ติดดินกันบ้างมีอะไรไม่ดีเหรอ?
สายตานางแฉลบผ่านไปสมาธิถูกดึงดูดด้วยเสียงโหวกเหวกจากไม่ไกลทันที ฟังแล้วนั่นคือเสียงฆ้องเสียงกลองระลอกหนึ่งปะปนด้วยเสียงฮือฮาของเด็กและเหล่าบุรุษ
“ดูพระนางนั่งผกานั่น!”
“ดูมารผกานั่น”
“เอ๋ พระนางนั่งผกา” จิ่งเหิงปัวผู้สืบถามตำนานเทศกาลนั่งผกามาบ้างแล้วดวงตาสว่างวูบทันทีรีบเบียดขึ้นไปเบื้องหน้าหลงลืมกงอิ้นที่ซื้อดอกไม้อยู่ข้างหลัง ยามนี้คลื่นฝูงชนล้วนเริ่มหลั่งไหลไปทิศทางนั้นให้ได้ นางเบียดอยู่เนิ่นนานยังเบียดออกไปไม่ได้กี่ก้าว จิ่งเหิงปัวรำคาญขึ้นมากะพริบกายเพียงครั้งเสียเลย ฟิ้ว
นางหายไป ณ ที่เดิมนั้น
อีกด้านหนึ่ง กงอิ้นผู้ไม่เสพสุขแสงสีทางโลกกำลังพยายามต่อรองราคา
“ห้าร้อยอีแปะ!” ชายขายดอกไม้มองเห็นผู้ซื้อดอกไม้เปลี่ยนเป็นบุรุษซ้ำยังเป็นบุรุษผู้พาให้ผู้คนริษยาจึงท่าทางเปลี่ยนไปยกใหญ่ชั่วขณะแลตะโกนราคาเดิมกลับมา
กงอิ้นชูนิ้วมือนิ้วหนึ่งออกมา
“หนึ่งร้อยหรือ?” ชายขายดอกไม้เบิกตากว้างเอ่ยสืบต่อว่า “มีผู้ใดต่อราคาเช่นเจ้านี้หรือ?”
กงอิ้นส่ายหน้าชูนิ้วมือนิ้วนั้นเอาไว้ นิ้วมืองดงามนักเล็บดุจผนึกน้ำแข็งทว่ามองด้วยสายตาของพ่อค้าเร่ย่อมไม่งดงามแล้ว
“…สิบอีแปะหรือ?” เขาสงสัยจึงถามออกมาอย่างเหลือเชื่อ
ราคาของดอกไม้นี้แม้ว่าเมื่อครู่เขาฉวยโอกาสเอารัดเอาเปรียบทว่าอย่างน้อยที่สุดยังควรค่าห้าสิบอีแปะ สิบอีแปะหรือ? หน้าไม่อายเกินไปแล้วกระมัง?
กงอิ้นยังคงส่ายศีรษะแลยังคงชูนิ้วมือนิ้วนั้นไว้ ทั้งสง่างามสงบเงียบแลเย็นชา
“เจ้า…นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่?” ชายขายดอกไม้ติดอ่าง
“หนึ่งอีแปะ” สุดท้ายมหาเทพจึงปริปากทองคำอย่างเย็นชา แท่งน้ำแข็งแกร่งเย็นเยียบเขวี้ยงผู้อื่นสิ้นชีพ
“เจ้า…” ชายขายดอกไม้เซ่อซ่าไปชั่วครู่ประคองกระถางดอกไม่กระโดดขึ้นมาเอ่ยว่า “เจ้าคงมาก่อกวนสินะ! เสียเวลาเอ่ยวาจามากมายกับเจ้า! เช่นไร จะขืนใจซื้อขืนใจขายหรือ? ข้าจะบอกให้ว่านายท่านผู้นี้มิได้กินหญ้านะ…”
“เป๊าะ”
กงอิ้นดีดนิ้วแผ่วเบาเพียงครั้ง
ปลายนิ้วดีดขึ้นไปในอากาศทว่าคล้ายโจมตีบนวัตถุเสียงดังไพเราะกังวาน แผ่นอกกว้างใหญ่สีออกเขียวของชายขายดอกไม้นั้น แลด้วยตาเป็นสีเขียวแล้วเป็นสีแดงแล้วเป็นสีม่วงแล้วนูนขึ้นมา…
ในดวงตาของชายขายดอกไม้ซัดสาดด้วยระลอกคลื่นทับถมเป็นชั้นนับมิถ้วน กระถางดอกไม้ที่ตระเตรียมใช้เขวี้ยงผู้อื่นในมือร่วงหล่นตรงดิ่ง กงอิ้นฉวยมือรับไว้กลางฝ่ามือเพียงครั้งอย่างง่ายดาย
“พลั่ก” ชายขายดอกไม้ล้มลงบนพื้น สะเทือนเสียจนกระถางดอกไม้บนชั้นวางกระโดดเพียงครั้งอย่างพร้อมเพรียง
กริ๊ง! เหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งดีดไปบนหน้าอกของเขา
ราชครูแซ่กงเอ่ยวาจาไหนวาจานั้น เอ่ยว่าเงินหนึ่งอีแปะก็ให้หนึ่งอีแปะ แม้สลบไปแล้วยังให้ตามเดิม
รอบด้านพลันสงบเงียบไร้สรรพเสียง กงอิ้นคล้ายมิได้รู้สึกแม้เพียงน้อย ยกเท้าขึ้นมาข้ามผ่านร่างชายขายดอกไม้ไปอย่างสุขุม ก้มหน้าพินิจดอกไม้เหล่านั้น สุดท้ายตั้งใจเลือกดอกไม้สีสันงดงามกระถางหนึ่ง ใบไม้สดใหม่ดอกตูมมากมายเป็นพิเศษ เอ่ยวาจาแม้มิได้เงยหน้าเพียงน้อยว่า “กระถางนี้เป็นเช่นไร?”
ไม่มีเสียงตอบรับ กงอิ้นขมวดหัวคิ้วเพียงครั้งยืดกายลุกขึ้น สายตากวาดไปสี่ทิศรวดเร็วแขนเสื้อสะบัดเพียงครั้งโดยพลัน
เงาขาวกะพริบวูบ เขาหายไปแล้ว
เหลือเพียงเหล่าสตรีที่แอบมองเขาเต็มถนนเคลิบเคลิ้มจนดอกไม้ในมือร่วงหล่น หลายนางสงสัยว่าตนอยู่ในความฝัน
…
——
[1] นกแก้วจินกัง หรือนกแก้วมาคอว์ ชื่อวิทยาศาสตร์ Psittacidae
[2] ดอกฉา ดอกแต้ฮั้งฮวย ชื่อวิทยาศาสตร์ Camellia japonica
[3] ดอกสิบแปดบัณฑิต ดอกแต้ฮั้งฮวยชนิดหนึ่ง
[4] จิงชี่ ต้นกำเนิดแห่งสรรพชีวิต
[5] สองร้อยห้าสิบ มาจากคำว่า 二百五 เป็นคำสแลงหมายถึง ไม่เต็มบาทหรือไอ้โง่