“เจ้าจะทำอะไร” แซ่จิ่งผู้ปากแข็งใจขลาด ถามขึ้นอย่างตื่นตระหนก
“เจ้าโจมตีข้า แต่ข้าไม่คิดจะโจมตีเจ้า” กงอิ้นเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้าที่ข้างหูของนางว่า “ข้ากลับอยากเห็นว่า ความงามแห่งสตรีที่เจ้าภาคภูมิใจเป็นหนักหนา จะยืนหยัดได้เกินหนึ่งนาทียามที่อยู่เบื้องหน้าเสือดาวหรือไม่?”
หยุดไปชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะเอ่ยราวกำลังคิดตรึกตรองว่า “แม้ข้าจะไม่เข้าใจว่าหนึ่งนาทีคือสิ่งใด แต่คิดว่าคงเป็นวิธีคำนวณชั่วยาม พินิจจากสีหน้าชั่วร้ายของเจ้าแล้วเดาว่าคงไม่ได้เนิ่นนานนัก เจ้าน่าจะทำได้”
“ไอ้เวรเอ๊ย!” จิ่งเหิงปัวหงายมือคว้าแขนเสื้อของเขาไว้แน่นเพียงครั้ง แล้วกล่าวว่า “เรื่องชั่วร้ายเลวทรามเช่นนี้เจ้ายังทำได้ลงคออีกหรือ? กรี๊ดด เจ้ายกไปถึงข้างบนจริงด้วย…อ๊าย ข้าผิดไปแล้ว…อ๊ายย ช่วยด้วย! อ๊าๆ ไอ้เลว ถ้านายยังไม่ปล่อยมืออีกถึงตายฉันก็จะลากนายไปด้วย…”
เสียงกรีดร้องดึงดูดสัตว์ป่าได้ชะงัด ลิงฝูงใหญ่มาพร้อมเสียงกู่ร้อง ลิงฝูงใหญ่ก็ผ่านไปพร้อมเสียงกู่ร้อง ทิ้งรอยเท้านับไม่ถ้วนไว้บนร่างสองคน
กงอิ้นกวักมือครั้งหนึ่งโดยพลัน ร่างของเหล่าลิงที่เหยียบตาข่ายหวังรอพลิกตัวขึ้นต้นไม้คล้ายถูกตรึงไว้ ได้แต่สูดหายใจอยู่เหนือตาข่ายเคลื่อนไหวไม่ได้
จิ่งเหิงปัวหยุดดิ้นรนแล้วกะพริบตามองดู
ลมยิ่งส่งกลิ่นเหม็นมากขึ้นเรื่อยๆ เสียงคำรามใกล้ข้างหู ตามมาด้วยเสียงดังกร๊อบของกิ่งไม้ใบไม้ที่ถูกเสือดาววิ่งตะบึงเข้ามาใกล้อย่างต่อเนื่อง ลิงที่ถูกขังไว้บนตาข่ายยิ่งออกอาการตื่นตระหนก ร้องเจี๊ยกๆ จั๊กๆ กลายเป็นกลุ่มก้อนเดียว
กงอิ้นปล่อยมือออกโดยพลัน จิ่งเหิงปัวร่วงไปด้านล่างเล็กน้อย จากนั้นกงอิ้นก็คว้าแขนของจิ่งเหิงปัวเอาไว้แล้วหิ้วนางไปด้านบน
ชั่วพริบตานั้น จิ่งเหิงปัวขึ้นครั้งหนึ่งหล่นครั้งหนึ่ง ในดวงตามึนงงเป็นขดยากันยุง
แต่เหล่าลิงคล้ายได้รับจุดมุ่งหมาย กรงเล็บที่กางออกคว้าเชือกตาข่ายไว้แล้วหิ้วขึ้นด้านบนโดยพร้อมเพรียงกัน
ลิงสิบกว่าตัวหิ้วตาข่ายขึ้นมาขยับขึ้นบนต้นไม้อย่างรวดเร็วฉับพลัน สองคนถูกม้วนขึ้นไปอย่างรวดเร็ว จิ่งเหิงปัวมองดูพื้นดินที่ยิ่งห่างตนเองไกลไปเรื่อยๆ รู้สึกดีใจและแปลกใจจนหัวเราะก๊ากๆ ออกมา สุดท้ายก็ยอมกล่าวชื่นชมกงอิ้นประโยคหนึ่งว่า “โอ้โห! ความคิดเจ้านี่สุดยอดไปเลย!”
ความคิดประหลาดเลิศล้ำจริงแท้ ใช้ประโยชน์จากสัญชาตญาณธรรมชาติของเหล่าลิงที่ชอบเลียนแบบ เพียงแค่ท่วงท่าเดียวทำให้เหล่าลิงหิ้วถุงตาข่ายขึ้นมาด้วยตัวเอง พาตนขึ้นต้นไม้ได้อย่างสบายๆ
ที่เบื้องล่างมีเสียงร้องคำรามแหบแห้งหยาบทุ้มเสียงหนึ่ง ทั่วทั้งป่าไม้คล้ายสะเทือนดังซู่ๆ อานุภาพทรงพลังของสัตว์ร้ายสะท้านจนใบไม้ปลิวว่อนทั่วภูเขา ความมืดยามราตรีคล้ายทอเศษแสงสีขาวหินอ่อนยามรุ่งอรุณ
พอจิ่งเหิงปัวก้มหน้าลงก็มองเห็นสันหลังมันวาวของเสือดาวที่โผล่ออกมาจากกลางพุ่มไม้เตี้ยๆ ด้านล่าง สีสันเหลืองดำลายพร้อยเป็นวงดุจดวงตาเ**้ยมโหดหลายคู่ ดูแวววาวบีบเค้นใจมนุษย์ในยามราตรี เสือดาวพุ่งไปใต้ต้นไม้ทว่ากลับหาเหยื่อในห้วงคำนึงไม่เจอ กรงเล็บแหลมครูดพื้น ร่างถอยไปด้านหลัง หางชี้ขึ้นมาดุจแส้เหล็ก ส่งเสียงคำรามเดือดดาลออกมาเนิ่นนาน
ต้นไม้เก่าแก่คล้ายกับกำลังสั่นสะท้าน จิ่งเหิงปัวเตือนสติกงอิ้นอย่างอกสั่นขวัญแขวนว่า “ที่รัก อย่าได้มือไม้อ่อนเชียวนะ อย่าได้คลายมือปล่อยข้าลงไปนะ ถ้าหากเจ้าปล่อยมือลิงก็ร่วง พวกเราก็คงร่วงไปในปากเสือดาวพอดี…”
ปลายเสียงยังไม่ทันสิ้น มือของกงอิ้นก็คลายออกโดยพลัน
ดวงตาของเหล่าลิงเป็นประกายวูบไหว กรงเล็บคลายออกโดยพร้อมเพรียง
ฟิ้ว!
คำเตือนสติของจิ่งเหิงปัว ตามมาด้วยเสียงกรีดร้องที่ถูกลมอุดไว้ในคอหอย
เพิ่งได้ขึ้นสวรรค์ก็พลันตกนรก พอนางก้มหน้าลงก็มองเห็นเสือดาวด้านล่างที่กำลังเงยหน้าขึ้นมาพอดี ลึกไปในแววตาคล้ายมีความดีใจระคนแปลกใจ จากนั้นก็อ้าปากกว้างดั่งแอ่งโลหิต รอคอยเหยื่อร่วงลงปากเสือดาวเองโดยมิต้องทำสิ่งใด ฟันแหลมคมสีขาวราวหิมะมันวาวขาวซีดใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งสามารถมองเห็นเศษเนื้อสีแดงฉานกลุ่มหนึ่งที่ติดอยู่บนฟันหน้าด้านซ้ายซี่หนึ่งนั้น…
ในชั่วพริบตาหนึ่งนี้ ในสมองของจิ่งเหิงปัวยังคงด่าทอบรรพบุรุษทั้งแปดชั่วโคตรของกงอิ้นอย่างกระจ่างแจ้ง
หิ้วขึ้นต้นไม้ก็เพื่อห้อยนางลงมา ตอนนี้เขาก็ห้อยนางไว้เบื้องหน้า สอดรับกับปากกว้างของเสือดาว หลังจากรอให้เสือดาวขย้ำนางดังกร๊อบคำหนึ่ง เขาก็ย่อมหลบหนีเอาชีวิตรอดได้ นี่มันแผนการชั่วร้ายสุดๆ!
ชาติหน้าถ้านางไม่เฉือนเนื้อถลกหนังเขามาต้มผัดแกงทอด นางสาบานเลยว่าจะไม่ขอเป็นคน!
“โฮกก” เสียงคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดิน ลมหายใจเหม็นคาวในปากของเสือดาวเหม็นจนจิ่งเหิงปัวแทบจะเป็นลม โชคดีที่เสือดาวตัวนั้นไม่คิดที่จะปีนขึ้นต้นไม้อีก สายตาแวววาวรอคอยอาหารรสเลิศร่วงจากฟ้าของตนเองอยู่ที่เดิม
สองจั้ง…หนึ่งจั้ง…สามเมตร…สองเมตร…หนึ่งเมตร…
จิ่งเหิงปัวรู้สึกได้ว่านิ้วมือของตนเองเกือบจะสัมผัสถึงฟันแหลมคมของเสือดาวแล้ว!
นางเกลียดตนเองว่าทำไมยังไม่เป็นลมไปอีก?
ซึ่บ!
เสียงหนึ่งซึ่งแผ่วเบายวดยิ่งประดุจอสรพิษแลบลิ้นดังขึ้น
ทันใดนั้น จิ่งเหิงปัวมองเห็นแสงสว่างสายหนึ่งอย่างอัศจรรย์ แสงนั้นดุจดั่งลิ้นสีขาวของอสรพิษที่ทะลุผ่านมาจากด้านหลังร่างของนาง แฉลบผ่านเฉียดใบหน้าของนางไปศูนย์จุดศูนย์หนึ่งเซนติเมตร กะพริบเพียงครั้งแล้วจมหายเข้าไปในดวงตาข้างซ้ายของเสือดาว
พริบตาต่อมานางถูกเลือดแดงฉานพุ่งทะลักเปรอะเปื้อนไปทั้งใบหน้า
แล้วถูกเสียงคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดินของเสือดาวสะเทือนเลือนลั่นจนหูแทบหนวก
ชั่วพริบตาสุดท้ายนางร่วงหล่นลงมา ทั้งร่างกระแทกบนศีรษะของเสือดาว ชนเสือดาวนั้นจนกระเด็น ชั่วพริบตาที่หงายท้องนั้น นางมองเห็นวัตถุเรียวบางท่อนหนึ่งปักแน่วแน่กลางคอหอยของเสือดาวอย่างพอดี แล้วทะลุผ่านออกมาใต้ขากรรไกรของเสือดาว น้ำพุโลหิตเบาบางสายหนึ่งทะลักล้นไม่หยุดหย่อน ดุจสายธาราแห่งแม่น้ำฮวงโหย้อมลำธารน้อยข้างเคียงจนเป็นสีแดงฉาน
‘กระบี่’ เล่มหนึ่งนั้นพุ่งเข้าไปในดวงตาข้างซ้ายของเสือดาว ทะลุผ่านลำคอของมันแล้วทะลุออกมาถึงใต้คาง…
ชั่วพริบตานั้นนางสะสางท่วงท่า ไม่รู้สึกแล้วว่ากลิ่นคาวเลือดของเสือดาวเหม็นสาบ แต่ค่อยๆ ตื่นเต้นดีใจขึ้นมา
นี่ปลอดภัยแล้วเหรอ?
เดิมทีกงอิ้นไม่ได้คิดหนีตั้งแต่แรกเริ่ม เขาใช้ประโยชน์จากลิงหิ้วนางขึ้นไปแล้วห้อยนางกระแทกลงมา เพื่อหลบอยู่ด้านหลังกายนาง หยิบยืมแรงปะทะร้ายกาจนี้สังหารเสือดาวให้สิ้นชีพในครั้งเดียวเหรอ?
ไม่อย่างนั้นกระบี่เรียวบางเป็นอย่างมากนั้นกับการผูกมัดที่ตาข่ายนี้ก็ยากจะสังหารเสือดาวให้สิ้นชีพในครั้งเดียวอย่างแท้จริงยิ่งนัก เสือดาวบาดเจ็บแต่ไม่ตายยิ่งทวีความดุร้าย เช่นนั้นพวกเขาคงจะต้องตายอย่างแน่นอน
ในชั่วขณะนั้น ยามที่เผชิญหน้ากับภัยอันตราย เขาคิดได้อย่างไรกัน?
จิ่งเหิงปัวเกิดความเลื่อมใสขึ้นมาบ้าง ขณะกำลังคิดจะคลานขึ้นในตาข่าย หลบเลี่ยงเลือดสกปรกของเสือดาว ก็พลันได้ยินเสียง “ระวัง!” แขนทั้งสองข้างยื่นเข้ามาโอบนางไว้แล้วกลิ้งหลุนๆ
“โฮก!” เสียงคำรามดังเดือดดาลและสิ้นหวังเสียงหนึ่งสะเทือนจนใบไม้บนพื้นลอยล่อง กรงเล็บแสงยะเยือกวูบวาบคู่หนึ่งตะปบครูดไปบนพื้นข้างกายจิ่งเหิงปัวอย่างรุนแรงจนเกิดเสียงดังเพี้ยะ ห่างจากข้างเอวนางเพียงครึ่งนิ้ว
กล่าวอีกแบบหนึ่งก็คือ ถ้าไม่ใช่เพราะกงอิ้นโอบจิ่งเหิงปัวไว้แล้วกลิ้งออกมาได้ทันเวลา ตอนนี้จิ่งเหิงปัวก็คงอกฉีกท้องเละไปแล้ว
จิ่งเหิงปัวเบิกตากว้างอย่างงุนงง มองเห็นเสือดาวนั้นถอนกรงเล็บสองข้างออกมาอย่างเดือดดาล ยกดินโคลนแข็งแรงที่ใหญ่ราวศีรษะขึ้นมาด้วย…
“รีบกลิ้งเร็วเข้า!” จิ่งเหิงปัวกรีดร้องออกมาเสียงหนึ่ง ใช้แรงโผกอดกงอิ้นเอาไว้ ไม่กล่าวอะไรอีก กลิ้ง!
กลิ้งผ่านรากต้นไม้ กลิ้งผ่านดินโคลน กลิ้งลงเนินเตี้ย กลิ้งผ่านลำธารตื้น กลิ้งสะบั้นดอกไม้ใบหญ้ากิ่งก้านใบไม้นับไม่ถ้วน ความร่วมมือของสองคนไม่เคยกลมเกลียวแน่นแฟ้นขนาดนี้มาก่อน ในสายตาของสองคนลอยวนด้วยแสงของโลหิตสีแดงฉานกับหนังสัตว์สีเหลืองดำ เสือดาวเดือดดาลใกล้ตายตัวนั้นตามมาโจมตีอย่างไม่พอใจ สะบัดโลหิตกระโจนข้ามพุ่มต้นไม้แต่ละพุ่ม ดุจลูกธนูลูกหนึ่งหลังพ้นสายธนูด้วยรุนแรง ทว่าต่อมากลับไร้เรี่ยวแรง ก่อนจะเกือบพุ่งล้มเบื้องหน้ามนุษย์ร้ายกาจสองตัวนั้นที่มัดอยู่กับวัตถุประหลาด พลันเปล่งเสียงสิ้นหวังดุจแตรยาวเสียงหนึ่งออกมา
พลั่ก! เสือดาวล้มลงรุนแรงจากกลางอากาศ ดินเลนสะเทือนจนสูงขึ้นไปครึ่งอากาศแล้วร่วงหล่นลงมา สีเหลืองอ๋อยปะปนทั่วใบหน้าของคนทั้งสอง
“ถุยๆๆ” จิ่งเหิงปัวทั้งหอบหายใจทั้งถุยดินออกมาไม่หยุด ปากก็พลันถูกมือคู่หนึ่งคีบไว้กะทันหัน
“เจ้าถุยมาถึงหน้าข้าแล้ว” มหาเทพเอ่ยขึ้นอย่างเย็นชา
จิ่งเหิงปัวพูดไม่ได้จึงกระดกปากขึ้นมา ตอนนี้นางอารมณ์ดีมากจนอยาก ‘แผนใหญ่ลุล่วงมาจุ๊บสักที’ กับเขา
กงอิ้นปล่อยปากของนางออกโดยพลัน แล้วใช้ฝ่ามืออุดเอาไว้ สะบั้นความเป็นไปได้เรื่องรักใคร่ของนางอย่างเด็ดเดี่ยวแน่วแน่
ฝ่ามืออุดจมูกของจิ่งเหิงปัวไว้ ทำให้นางหายใจไม่สะดวก เช่นนั้นจึงใช้ปลายลิ้นวาดวงกลมวงหนึ่งที่กลางฝ่ามือเขา
กงอิ้นคลายมือออกโดยพลันดุจต้องสายฟ้า แต่จิ่งเหิงปัวกลับมีสีหน้าเสียหายใหญ่หลวง จ้องเขาเขม็งแล้วกล่าวว่า “จบกัน ข้าก็ลืมไปว่าเจ้าเหมือนจะไม่ได้ล้างมือมาหลายวันแล้ว อีกทั้งหลังจากปลดเบาก็ไม่ได้ล้างมือ…”
“ข้ามิได้!” ที่กงอิ้นเอ่ยมาไม่รู้ว่าไม่ได้ปลดเบาหรือว่าไม่ได้ล้างมือ
“ข้าดมหน่อย?” จิ่งเหิงปัวยื่นจมูกมา
“อย่าได้ใช้ผิวกายอันสกปรกของเจ้ามาสัมผัสแตะตัวข้า” มหาเทพเริ่มปากร้ายอีกครั้ง
“อ้อ?” จิ่งเหิงปัวชำเลืองสายตามองเขาแวบหนึ่ง พลางกล่าวว่า “เช่นนั้นเหตุใดเจ้ายังจะสัมผัสผิวกายสกปรกของข้าอย่างแนบแน่นด้วยความเสียดายไม่ยอมห่างเล่า?”
กงอิ้นก้มหน้ามองตามสายตาของนางไป จึงพบว่ายามนี้ตนเองยังทับร่างของนางไว้อย่างแนบแน่น จึงรีบเร่งพลิกกายลงมาเพียงครั้ง ไม่ได้เอ่ยวาจาอีก
จิ่งเหิงปัวประสบชัยชนะครั้งแรก จึงรู้สึกปลอดโปร่งสบายอารมณ์ หัวเราะดัง “ฮ่า! ฮ่า! ฮ่า!” ออกมาสามครั้ง
เมื่อหัวเราะเสร็จก็ได้ยินเสียง “ผึงๆๆ” สามครั้ง จิ่งเหิงปัวตกอกตกใจยิ่งนัก เกือบนึกว่าตนเองโชคดีเกินไปจนเผลอปล่อยลมในท้องออกมา
จากนั้นนางจึงมองเห็นกงอิ้นที่ยืนขึ้นมาอย่างเอื่อยเฉื่อยเชื่องช้า และสง่างามยวดยิ่ง มือปัดบนแขนเสื้อ เชือกออกสีคล้ำเส้นหนึ่งร่วงลงไป
จิ่งเหิงปัวชะงักไปชั่วครู่จึงนึกขึ้นได้ว่า เชือกตาข่ายนี้ก็เปียกเลือดของเสือดาวจนชุ่มโชกแล้ว…มันขาดแล้วหรือ?
อ่าฮ่า ในที่สุดก็ขาดแล้วหรือ?
ในที่สุดนางก็เป็นอิสระแล้ว? ในที่สุดก็ไม่ต้องถูกมัดอยู่ด้วยกันกับเจ้าคนนี้ทั้งเวลากลางวันกลางคืน ไม่ต้องถูกเขากลั่นแกล้งแล้วหรือ?
สิ่งที่หลงเหลือจากความดีอกดีใจนั้น ไม่รู้ว่าเหตุใดยังมีความหดหู่ปะปนอยู่เล็กน้อย โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงเรื่องสุดท้าย…
นางคลานยืดขึ้นมา เชือกตาข่ายถูกเลือดปริมาณมากซึมแทรกจนค่อยๆ ฉีกขาดดังที่คาดไว้ ตอนนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งเข้าใจว่าก่อนหน้านี้กงอิ้นเสี่ยงภัยทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าโจมตีสังหารเสือดาว เดิมทีไม่เพียงเพื่อรักษาตนให้หนีรอด แต่เพื่อปลดแก้การผูกมัด หวังกระทำเพียงครั้งเดียวสบายไปตลอด
ที่เรียกว่ายอดมนุษย์คงเป็นแบบนี้สินะ ทุกการกระทำก้าวหนึ่งต้องคิดถึงหลายก้าวต่อมา กระทำเรื่องหนึ่งไม่เพียงเพื่อจุดประสงค์เดียวแต่แรกเริ่ม?
มองดูเชือกที่ถูกเลือดซึมจนออกสีคล้ำ พอลองคิดว่าเดิมทีตาข่ายนี้สร้างมาเพื่อให้เลือดของนางและกงอิ้นย้อมเชือกจนแดงเช่นนี้ นางก็อดที่จะสั่นสะเทือนสะท้านหนาวเหน็บไม่ได้
ชั่วพริบตาเดียวก็แตกหน่อความคิดที่จะหลบหนีอีกครั้ง
ไม่มีอะไร คนพวกนี้น่ากลัวเกินไป จิตใจลึกล้ำสู้รบเดือดพล่าน นางเล่นด้วยไม่ไหว
ดัชนีทองคำทะลุมิติมาเพื่อจิ้มหินเป็นทอง ไม่ได้ให้คนอื่นมาตัดเล่น
แน่นอนว่าตอนนี้ไม่อาจพูดจาแบบนี้ได้ นางยังหวังพึ่งพากงอิ้นเพื่อออกไปจากป่าดงพงไพรแห่งนี้
กงอิ้นเดินไปไม่ไกลจากข้างซากเสือดาว ดึงวัตถุเรียวยาวท่อนหนึ่งออกมาจากคอหอยของเสือดาว ยังไม่รู้ว่าเขาลูบไปลูบมาอย่างไร วัตถุนั้นจึงหายไปจากมือภายในพริบตา จิ่งเหิงปัวมึนงงเบิกตากว้างยังไม่รู้สึกตัวว่านั่นคืออะไรและเก็บไว้ที่ไหน
คิดๆ ดูแล้วบุคคลแบบนี้มักมีวัตถุรักษาชีวิตบางอย่างติดกาย ทั้งไข่มุกก็ดี วัตถุเรียวบางน้อยๆ นี่ก็ด้วย ที่ว่ากันว่าตำแหน่งสูงส่ง อำนาจล้นเหลือ อันตรายล้นหลาม จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าไม่น่าสนุกเลยสักนิดเดียว
พอเงยหน้าขึ้นมองดูป่าไม้เขียวชอุ่ม นางก็กลัดกลุ้มเล็กน้อย ภูเขาลึกรกร้างไร้ผู้คนนี้จะเดินออกไปได้อย่างไรกัน? พื้นที่เขานี้กว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ หนึ่งถึงสองคนหลงเข้าไปดุจเข็มจมในมหาสมุทร แล้วลูกน้องเหล่านั้นของกงอิ้นจะหาพวกเขาเจอได้อย่างไร?
“ไปเถิด” กงอิ้นหันหน้ากลับมามองนาง
“ไปที่ใด”