เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบเข้าสู่จวนเป้าหมายแล้ว
นางคงไม่รอให้อวี่ชุนค่อยๆ ตัดสินใจกลับวังรายงาน แล้วรอกงอิ้นตัดสินใจพาคนกลับมาจากตาเฒ่าจ้าวอีกรอบ แม้กงอิ้นจะต้องออกหน้าแน่นอน แต่รอแล้วรอเล่ามากมายขนาดนั้นคงช้าไปไม่ทันการณ์
จวนแบบนี้เข้าไปเพียงนาทีเดียวก็เป็นอันตราย ความบริสุทธิ์ของจื่อหรุ่ยรอไม่ได้
ในเมื่อเสนากองขุนนางมีสถานภาพสุ่มเสี่ยง ไม่อาจล่วงเกินอย่างเปิดเผย เช่นนั้นนางก็ไปแอบลักพาตัวคนออกมา จากนั้นค่อยตอนเขา หรือตอนบุตรชายปัญญาอ่อนคนนั้นของเขาก็พอแล้ว
เรือนร่างกะพริบวูบ นางยืนอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตรโหฐานแห่งหนึ่งแล้ว เบื้องหน้ามีพืชพรรณเขียวชอุ่ม ศาลาอาคาร ระเบียงคดเคี้ยวสายธารรินไหล ศาลาแดงคลื่นเขียว รูปแบบเช่นเดียวกันกับตระกูลใหญ่โตทั้งหลาย
จิ่งเหิงปัวเข้าไปยังลานบ้านแล้วเพิ่งนึกถึงความลึกลับและซับซ้อนของคฤหาสน์สมัยโบราณ ตามหาคนคนหนึ่งในลานบ้านแบบนี้เป็นเรื่องง่ายเสียที่ไหน?
ตำแหน่งที่ตนเองยืนอยู่เหมือนจะเป็นลานด้านหลัง ที่ซึ่งไม่ไกลมีกลิ่นหอมโชยมาเป็นระลอกคล้ายบริเวณนี้มีห้องครัว จิ่งเหิงปัวหลบอยู่หลังต้นไม้ต้นหนึ่ง มองดูเบื้องหน้ามีสาวใช้ที่เดินจับกลุ่มกันผ่านมาบ่อยครั้ง สาวใช้ในจวนนี้เหมือนจะเยอะเป็นพิเศษ นางยืนอยู่ตรงนี้ประมาณเจ็ดนาที มีสาวใช้เดินผ่านไปสิบเจ็ดสิบแปดคนแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นทุกนางผอมบางอิ่มเอิบ รูปโฉมไม่ธรรมดา
จิ่งเหิงปัวแอบด่าว่าเสนากองขุนนางคนนี้เป็นตาเฒ่าหื่นกาม มีสาวใช้งดงามมากมายขนาดนี้ยังอยากลักพาตัวจื่อหรุ่ยไปอีก
สาวใช้หลายนางเดินผ่านเบื้องหน้านาง เสียงหัวเราะราวกระพรวนเงิน
“วันนี้นายท่านอยากเข้าครัวด้วยตนเองขึ้นมา ไม่รู้ว่าเป็นอะไรไป วันพักอาบหายากวันหนึ่ง ไม่พักผ่อนให้เต็มที่ ยังอยากจัดการเรื่องของสตรีเช่นนี้”
“นั่นสิ เขาไม่ได้เข้าครัวด้วยตนเองมาตั้งนานหลายปีแล้วสินะ ก็ไม่รู้ว่าเหตุใดพลันนึกขึ้นมาได้ เอ่ยว่าอยากจะฝึกปรือฝีมือการปรุงอาหารสักหน่อย”
“ก็ไม่รู้ว่าวันนี้ผู้ใดมีวาสนากินจานทดลองของเขา”
“เหล่าพี่หญิงน้องหญิงไม่สู้พวกเรามาเดิมพันกันสักหน่อยดีหรือไม่”
“เหอะๆ ช่างเถิด เหล่าแม่นาง อย่ามัวแต่เอ่ยวาจาอยู่ตรงนี้เลย นายท่านเป็นคนอย่างไรพวกเจ้าก็ไม่รู้หรือ? พวกเจ้านึกว่าจะมีผู้ใดได้กินอาหารที่เขาทำด้วยมือตนเองจริงๆ หรือ ขอเตือนพวกเจ้าสักหน่อย เพ้อฝันให้มันน้อยๆ หน่อย ต่อให้เขายื่นจานมาข้างปากเจ้า ไม่แน่ว่าเจ้าก็ไม่อาจได้กินจริง เชื่อหรือไม่เล่า?”
พอวาจานี้ออกมา ทุกคนต่างงนิ่งเงียบไปชั่วครู่ ต่อมาก็มีผู้แค่นเสียงอย่างโกรธเคือง หลังจากนั้นไม่มีผู้ใดสนใจจะเอ่ยวาจาอีก รีบร้อนเดินจากไป
…
จิ่งเหิงปัวกะพริบออกมาจากหลังต้นไม้ คล้ายครุ่นคิดบางสิ่ง
ใช่แล้ว กินข้าว
กินข้าวเป็นเรื่องสำคัญ จื่อหรุ่ยต้องกินข้าวเหมือนกัน ถ้าเขาอยากใช้กำลัง ไม่แน่ว่ายังต้องวางยาอะไรนั่นสักหน่อย ในนิยายโรแมนติกน้ำเน่าก็เขียนไว้แบบนี้ทั้งนั้น
วันนี้ที่เจ้านายของจวนนี้เข้าครัวด้วยตนเอง ก็เพราะต้องการเอาใจหรือลงมือกับจื่อหรุ่ยหรือเปล่านะ?
ไม่ว่าอย่างไร ห้องครัวก็เป็นสถานที่ดีเยี่ยมแห่งหนึ่ง ถ้วยชามหม้อกระทะมากมาย ฉวยโอกาสบังคับขึ้นมาสักอันก็เอามาเขวี้ยง ทุบตีเจ้านายจวนนี้จนล้มลงได้แล้ว ค่อยให้เขามอบจื่อหรุ่ยออกมาก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ?
จิ่งเหิงปัวจำแนกทิศทางแหล่งที่มาของกลิ่นหอมนั้นจนชัดเจน เรือนร่างพลันกะพริบวูบหายไปแล้ว
พริบตาต่อมานางยืนอยู่หน้าห้องกระเบื้องครามห้องใหญ่สามห้อง ที่นี่คือห้องครัวของจวนแห่งนี้
ในลานบ้านมีคนไม่น้อยกำลังล้างพืชเก็บผักตักน้ำ มองเห็นได้อย่างรำไรว่าในห้องก็มีคนไม่น้อย
ในห้องครัวมีไอร้อนลอยล่อง แทบจะมองไม่เห็นคน จิ่งเหิงปัวกะพริบกายอีกครั้งเข้าไปในห้องครัวเสียแล้ว
ในไอหมอกอบอวลทุกผู้คนต่างกำลังก้มหน้ากระทำเรื่องของตนเอง ไม่มีใครพบว่ามีคนเข้ามาแล้ว
ห้องภายในแว่วเสียงฉับๆๆ คล้ายมีคนกำลังหันผัก ฟังแล้วเห็นได้ว่าฝีมือในการใช้มีดช่ำชอง
จิ่งเหิงปัวเดินเข้าไป มองเห็นห้องภายในห้องครัวมีคนเพียงคนเดียวกำลังหันหลังหั่นต้นหอมให้นาง เขาสวมชุดคลุมยาวเบาบางชุดหนึ่ง รูปร่างสูงใหญ่สง่างาม เอวบางไหล่กว้าง ถลกแขนเสื้อขึ้นผุดเผยแขนที่มีทรวดทรงแจ่มชัดคู่หนึ่ง กระดูกข้อมือประณีตงดงามนิ้วมือเรียวยาวขาวบริสุทธิ์ เงามีดในมือทอดยาวด้วยแสงวิบวับสีขาวผืนหนึ่ง ระดับความหนักเบาสม่ำเสมอ ท่วงท่างดงามทรงพลัง
จิ่งเหิงปัวอดจะพิงขอบประตูจ้องมองเพิ่มสักแวบหนึ่งไม่ได้
ผู้ชายคนนี้รูปร่างดีจังเลย
นึกไม่ถึงว่าท่วงท่าเวลาที่ผู้ชายหั่นผักในห้องครัวจะงดงามขนาดนี้ ซ้ำยัง…เซ็กซี่อีกด้วย
นางเหม่อลอยเล็กน้อย คิดว่าถ้ากงอิ้นยุ่งวุ่นวายอยู่ในห้องครัวจะมีท่าทางแบบไหนกันนะ? จะงดงามเซ็กซี่เสียยิ่งกว่าเขาหรือไม่ หรือว่าจะมีท่าทางเหมือนเทพเซียนพลันร่วงหล่นลงจากฟากฟ้า ใบหน้าทิ่มพื้นดิน?
อืม น่าจะเป็นแบบหลัง
มองดูเงาด้านหลังแข็งแรงงดงามของคนคนนี้ ผมยาวบนแผ่นหลังดำประกายปานสายธารหลั่งริน นางรู้สึกได้ทันทีว่าแผนดั้งเดิมที่คิดจะใช้อ่างทองแดงที่มีเนื้อบดอยู่เต็มอ่างอ่างหนึ่งทุ่มลงบนศีรษะเขาเหมือนจะโหดร้ายเกินไปนิดหน่อย
ถ้าเช่นนั้นใช้น้ำร้อนอ่างนั้นที่อยู่ด้านข้างดีหรือไม่?
เหมือนจะโหดร้ายเกินไปหน่อยเช่นกัน
ถ้าอย่างนั้นหากใช้มีดเล่มนั้นทางโน้นเล่า…ช่างมันเถอะ
ถ้าอย่างนั้นใช้ฝาหม้อฝานั้นทางโน้นอีกดีไหมนะ…สงสัยว่าตนเองจะขยับได้ไหมเท่านั้นล่ะ
ถ้าอย่างนั้นหรือจะใช้หม้อกระถางทางโน้นของทางโน้นอีก…นั่นจะเสียงดังเกินไปหรือเปล่า?
จิ่งเหิงปัวผู้ไม่ใจแข็งพอที่จะทำลายสิ่งงดงามมาตั้งแต่เกิด ลังเลสองจิตสองใจยากจะลงมือ ยังคิดด้วยซ้ำว่าเจ้านายจวนนี้หน้าตาไม่เลวเลย หากชอบจื่อหรุ่ยจริง หลังจากนั้นค่อยขอขมา กล่าวไปกล่าวมา อาจจะได้ช่วยคู่บุพเพสันนิวาสคู่หนึ่งให้สมหวังก็ไม่อาจรู้ได้?
ขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น บุรุษผู้นั้นพลันเอ่ยเสียงแผ่วเบาออกมาว่า “คงพอได้แล้ว” แล้วพึมพำอีกประโยคว่า “ทำไปนางก็ไม่ได้กิน…”
จิ่งเหิงปัวกำลังคิดว่าเหตุใดเสียงนี้ช่างฟังดูคุ้นหูนัก บุรุษผู้นั้นเปิดฝาหม้อออกแล้ว กลิ่นหอมกรุ่นหอบหนึ่งพวยพุ่งเตะจมูก จิ่งเหิงปัวที่เมื่อเช้าทานข้าวมาไม่มาก ก็พลันได้ยินเสียงท้องของตนเองร้อง จ๊อก! ออกมาดังก้อง
ซวยแล้ว!
เรือนร่างของบุรุษหยุดชะงัก หันหน้ากลับมาโดยพลัน
จิ่งเหิงปัวไม่ลังเลอีกต่อไป ใช้ความคิดบังคับน้ำร้อนอ่างหนึ่งที่อยู่ใกล้ตนเองที่สุดขึ้นแล้วคว่ำลง!
ชั่วพริบตาที่อ่างคว่ำลงนั้น นางก็มองเห็นบุรุษผู้นั้นยังไม่ได้หันหน้ากลับมาโดยสมบูรณ์ แขนก็พลันแกว่งไปข้างหลังเพียงครั้ง สายลมรุนแรงหอบหนึ่งพุ่งเข้ามา
โคตรซวย!
ซ่า!
น้ำร้อนอ่างหนึ่งคว่ำกลางศีรษะราดลงบนร่างของนาง
จิ่งเหิงปัวอยากร้องไห้แต่ไม่มีน้ำตา งงเป็นไก่ตาแตก
แม่งเอ้ย! ไอ้หมอนั่นมันจะรู้สึกตัวเร็วเกินไปแล้ว คนยังไม่ทันได้พลิกฝ่ามือลมก็ผลักเข้ามา ผลักอ่างคว่ำลงบนศีรษะนางเสียได้!
ตอนนี้นางดีอกดีใจเหลือเกินว่า โชคดีที่น้ำนี้ไม่ได้ร้อนเหมือนในจินตนาการขนาดนั้น!
น้ำที่เปียกชุ่มทั้งหน้าทั้งร่าง นางร่นถอยไปพลางเร่งรีบพิงไปข้างหนึ่งคว้าของอะไรก็ได้ข้างกายมาปกป้องตนเองไปพลาง ไม่ทันได้มองให้ชัดเจนว่าฝั่งตรงข้ามคือใคร
แต่ได้ยินเสียงเสียงหนึ่ง เอ่ยอย่างชะงักเล็กน้อยว่า “นี่ เจ้ายังตามมากินจริงด้วยหรือ?”
ชะงักไปชั่วครู่ มองดูสภาพของนาง คล้ายจะเข้าใจอะไรได้ขึ้นมา ในเสียงมีความหยอกล้อเพิ่มเข้ามาด้วย เอ่ยขึ้นอีกครั้งว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าซาบซึ้งยิ่งนักที่ข้าเข้าครัวด้วยตนเองเพื่อเจ้า ทว่าคล้ายจะไม่ต้องถึงกับอาบน้ำพรมเครื่องหอมกระมัง?”
พอจิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงนี้ มีดหั่นผักในมือก็เกือบจะร่วงลงใส่เท้า
ไอ้! เวร! เอ้ย!
เป็นเหยียลี่ว์ฉีจริงด้วย
เหตุใดนางถึงวิ่งมาจวนเขาได้เนี่ย?
คราวนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งนึกได้ว่าจวนของเหยียลี่ว์ฉีเหมือนจะอยู่ในตรอกซีเกอเช่นกัน เพียงแต่นางไม่เคยมา จวนตระกูลเหยียลี่ว์น่าจะติดกับจวนของเสนากองขุนนางท่านนั้น
“เหอะๆ ขออภัยด้วยนะ ข้ามาผิดจวนแล้ว สวัสดีอรุณสวัสดิ์ขอโทษลาก่อน” นางเช็ดน้ำบนใบหน้าครั้งหนึ่ง ก่อนจะหันหลังจากไป
แต่คอเสื้อกลับถูกเขาคว้าไว้ดังคาดการณ์
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจอยู่ในใจ ก่อนจะหันหลังกลับมา แบมือออกแล้วกล่าวว่า “เอาเถิด ข้าก็เดินมาตกหลุมพรางร่วงสู่เงื้อมมือเจ้าเองนี่นะ หากจะฆ่าจะแกงจะเฉือนก็เชิญตามสบาย”
“จริงหรือ?” เหยียลี่ว์ฉีคล้ายอารมณ์ดียิ่งนัก น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความสุข เอ่ยขึ้นว่า “ตรงนี้ข้ายังขาดโฉมงามนึ่งไอน้ำจานหนึ่ง นึ่งเจ้ากินดีหรือไม่?”
“เนื้อหนังอ่อนนุ่ม กลิ่นหอมเตะจมูก รสชาติน่าจะไม่เลว” จิ่งเหิงปัวแนะนำว่า “เพิ่มไอ้โง่เหยียลี่ว์เข้าไปหน่อย…โอ้ไม่สิ ซอสซาฉา[1]เหยียลี่ว์คงยิ่งสมบูรณ์พร้อมแล้ว”
“สิ่งใดเรียกว่าซอสซาซาเหยียลี่ว์?”
“ทำจากกล้ามเนื้อเส้นเอ็นของเหยียลี่ว์ฉีสามจิน สับละเอียดผสมกับเต้าเจี้ยวนึ่งสามครั้ง ตากแดดสามครา” แต่ไหนแต่ไรมาเรื่องฝีปากจิ่งเหิงปัวไม่ยอมเสียเปรียบผู้ใด
เหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ข้างหลังกำลังหัวเราะ เสียงทุ้มต่ำราวมีเสียงก้องร่วม ดั่งเสียงไวโอลินที่มีท่วงทำนองเสียงสมบูรณ์พร้อมตัวหนึ่งเสียดสีเวียนวน เขาคล้ายแนบชิดเข้ามายิ่งนัก นางรู้สึกได้ว่าแผ่นอกกว้างของเขาเกือบจะแนบชิดเข้ากับแผ่นหลังของนาง สั่นไหวเล็กน้อย ผิวกายร้อนผ่าว
จิ่งเหิงปัวสูดหายใจเฮือก…อา อย่าหัวเราะแบบนี้ได้หรือไม่ นางแพ้เสียง!
“นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะเกลียดข้าถึงขนาดแทบอยากจะกินเนื้อข้านอนหนังข้าเพียงนี้?” เสียงเขาเจือด้วยเสียงหัวเราะ เอ่ยว่า “เช่นนั้นนั่งลงกินเถิด”
เหยียลี่ว์ฉีอ้อมมาเบื้องหน้านาง ยกน้ำแกงข้นไหหนึ่งมาตรงหน้านาง หอมกรุ่นจนนางวิงเวียนศีรษะ
“น้ำแกงไก่น้ำแกงกระดูกรองพื้น ใส่สุราชุ่ยเยี่ยเลื่องชื่อเข้าไปพอเหมาะ แล้วใส่เนื้อไก่เนื้อเป็ดเนื้อแพะกระเพาะหมูไข่นกพิราบ รวมทั้งวัตถุดิบทะเลขึ้นชื่อจากโพ้นทะเลสิบกว่าชนิดไปด้วย ตุ๋นด้วยไฟอ่อนตั้งแต่เมื่อคืน จนถึงยามนี้ถึงเสร็จสิ้น” รอยยิ้มของเหยียลี่ว์ฉีพาให้คนวิงเวียนศีรษะดั่งอาหารเลิศรสไหนี้ เอ่ยสืบต่อว่า “ข้าไม่ได้ทำมานานหลายปีนักแล้ว บัดนี้ลองทำดูนับว่าไม่เลว มีดคู่ใจยังไม่ขึ้นสนิม” เขาหยิบกระบอกตะเกียบมา บอกใบ้จิ่งเหิงปัวหยิบไปคู่หนึ่ง จากนั้นตนเองฉวยมือเลือกมาคู่หนึ่ง ตักปลิงทะเลชิ้นหนึ่งในไหขึ้นมากินก่อน แสดงความนัยว่าไม่มีพิษ จากนั้นถอยให้จิ่งเหิงปัวด้วยท่วงท่าสง่างาม
จิ่งเหิงปัวควบคุมอาหารกินน้อยมาเป็นเวลานาน แท้จริงแล้วพลังต่อต้านอาหารรสเลิศต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ดูท่าทางเลือกตะเกียบคู่หนึ่งอย่างสนอกสนใจยิ่งนัก
สายตาของเหยียลี่ว์ฉีกวาดผ่านบนร่างจิ่งเหิงปัว รอยยิ้มยิ่งลึกล้ำยิ่งใคร่ครวญ…น้ำร้อนอ่างหนึ่งราดศีรษะ พาให้อาภรณ์ของสตรีห่อหุ้มแนบแน่นบนเรือนร่าง สิ่งที่เรียกว่าความงดงามของทรวดทรงอยู่ในยามนี้นี่เอง ซ้ำสตรีเลินเล่อนางนี้ยังไม่รู้สึกตัว สะบัดอาภรณ์ตามอำเภอใจ สะบัดเพียงครั้งย่อมเป็นรอยคลื่นยั่วยวนรอยหนึ่ง งดงามสบายตาโดยแท้
เพียงเห็นฉากหนึ่งนี้ การเข้าครัวที่เพิ่งฉุกคิดขึ้นมาได้ครานี้ในวันนี้ย่อมมิได้เสียแรงเปล่า
[1] ซอสซาฉา เป็นซอสสีน้ำตาลอ่อน ทำจากกระเทียม หัวหอม ถั่วลิสง เป็นต้น รสชาติค่อนข้างเค็ม เจือหวานเจือเผ็ดเล็กน้อย คล้ายซอสสะเต๊ะ