“เจ้าไม่รู้หรือว่าของสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายของเขา?!”
จิ่งเหิงปัวจ้องมองม้วนผ้าสีเหลืองม้วนนั้น ในแววตาดั่งเกิดเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นเช่นกัน
นาง! ไม่! รู้! เลย!
นางไม่รู้จริงๆ!
นางหยิบของสิ่งนี้มาในตอนแรกที่นางกับยงเสวี่ยเข้าไปในวังใต้ดิน ซ้ำยังใช้ความสามารถของนางด้วย นางสังหรณ์ว่าของสิ่งนี้สำคัญ เพราะอย่างนั้นจึงไม่ได้ให้ยงเสวี่ยดู ตนเองซ่อนเอาไว้เอง แต่เนื้อหานั้นนางอ่านไม่ออก ทั้งม้วนเป็นประโยคแปลกประหลาด นางเข้าใจเพียงประโยคเดียวเท่านั้น
“ผู้มิได้บัญชาจากสวรรค์ เปิดอ่านพลันสิ้นชีพชีวาวาย ประสบหายนะสามภพชาติ!”
แม้ว่าถ้อยคำงดงามคมคาย แต่นางก็เดาเข้าใจได้เพราะว่าเคยอ่านนิยายประเภทปล้นสุสานมาก่อน ความหมายของประโยคนี้เทียบเท่ากับ ‘ผู้ใดกล้าบุกรุกสุสานข้าผู้นั้นจงไร้ผู้สืบสกุล’ คำสาปนี้โหดร้ายยิ่งกว่าคำสาปนั้นเสียอีก นับรวมลูกหลานสามชั่วอายุคนไปด้วย
ตอนนั้นนางอ่านแล้วเพียงแค่หัวเราะ ตั้งใจจะมอบให้กับกงอิ้น แม้เรื่องราวเร่งด่วนแต่นางกลับลังเลขึ้นมา คิดว่าอย่างไรเสียกงอิ้นก็เป็นคนโบราณ เขาน่าจะมีปฏิกิริยากับคำสาปประเภทนี้ ในหนังสือกล่าวว่าผู้ฝึกวรยุทธ์มีอุปสรรคในใจไม่ได้มิใช่เหรอ? ถ้ามีอุปสรรคในใจภายหลังอาจจะกลายเป็นปีศาจอะไรประมาณนั้น
ถ้ามีคำสาป เช่นนั้นให้นางรับคนเดียวก็พอแล้ว อย่างไรเสียนางก็อ่านอักษรในม้วนผ้าไหมนี้แล้ว ไม่เหมือนพวกแผนที่สมบัติลับอะไร นางจึงวางทิ้งไว้ฝั่งหนึ่ง
นางเพิ่งรู้ว่ามันมีความเกี่ยวข้องกับกงอิ้นในตอนนี้เช่นกัน
“จนถึงยามนี้ยังไม่เชื่ออีกหรือ?” เสียงโศกเศร้าของจิ้งอวิ๋นเอ่ยขึ้นว่า “นางหลอกใช้ข้าเพื่อบรรลุเป้าหมายชั่วร้าย ใกล้ชิดเจ้าด้วยเพราะแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมและราชบัลลังก์ราชินี! มีม้วนผ้าไหมแล้ว นางสามารถทำให้เจ้าหมดอำนาจได้อย่างง่ายดาย พอเจ้าสิ้นชีพ ข้าเองสูญเสียความทรงจำ ต้าฮวงแห่งนี้ย่อมตกเป็นของนางจริงแล้ว! กงอิ้น…กงอิ้น!” นางก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง กางแขนสองข้าง เอ่ยว่า “หากนางรักเจ้าจริง นางจะอธิบายถึงการแอบครอบครองนี้อย่างไร!”
“ข้าอ่านไม่ออก! ข้าไม่รู้ว่าของสิ่งนี้สำคัญขนาดนั้น!” จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นในฉับพลัน
ขณะที่นางคัดค้านอย่างดุเดือด หัวใจของนางคล้ายจมดิ่งลงไปในน้ำลึกเช่นกัน
ความรักไม่กลัวอุปสรรค กลัวเพียงการปิดบัง
การอธิบายเช่นนี้ยังคงไม่มีประโยชน์ใด คนรักกันควรแบ่งปันทุกสิ่งร่วมกัน ในเมื่ออ่านไม่ออกก็ควรนำไปถามกงอิ้นทันทีถึงจะถูกต้อง
ในปากของนางเต็มไปด้วยรสชาติขมฝาด คลุกเคล้าด้วยรสคาวเจือจาง…สิ้นชีพไร้ซึ่งหลักฐาน ตอนนั้นประโยคนี้ถูกเขียนไว้บนกล่องใส่แผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหม พอนางหยิบม้วนผ้าไหมออกมา กล่องพลันกลายเป็นธุลีด้วยตนเอง
ฝั่งตรงข้าม แววตาที่สงบเงียบมาโดยตลอดของกงอิ้นพลันเหน็บหนาวและเย็นชาขึ้นมา
ดุจดั่งไม้กฤษณาในกระถางกำยานทองแดงนั้น มอดไหม้หมดสิ้นภายในคืนเดียวแล้วสลายกลายเป็นธุลีทีละเล็กทีละน้อย
“โอ้ ความคิดช่างลึกซึ้งยิ่งนัก เสนาหญิงแคว้นเซียงเช่นข้านี้กระดากอายเหลือเกิน” เสียงหัวเราะของเฟยหลัวทำลายความเงียบสงบของตำหนักใหญ่ เอ่ยว่า “ผู้หนึ่งเอ่ยว่าโฉมงามล่อลวงใจคนประพฤติมิชอบ อีกผู้หนึ่งเอ่ยเต็มปากเต็มคำว่ารักใคร่จริงใจเสียเปรียบยิ่งนัก ตามความเห็นข้าแล้ว นางจริงใจหรือไม่ ทดสอบสักหน่อยย่อมรู้แล้วมิใช่หรือ?”
สายตาของจิ้งอวิ๋นสุกสกาวเวียนวน เอ่ยรับโดยพลันว่า “…เสนาหญิงคิดว่าทดสอบอย่างไรถึงจะเหมาะสมเล่า”
“การหลอกลวงทุกสิ่งย่อมด้วยเพราะอยากมีชีวิตที่ดีขึ้น” เฟยหลัวยิ้มแย้มแพรวพราว เอ่ยว่า “หากคนผู้หนึ่งไม่กลัวแม้แต่ความตาย เช่นนั้นย่อมไม่อาจเอ่ยว่านางหลอกลวงแล้ว”
นางแบฝ่ามือออก ฝ่ามือพลันปรากฏยาอีกเม็ดหนึ่ง และไม่รู้ว่านางตระเตรียมไว้มากมายเพียงใด
“ใช่แล้ว” จิ้งอวิ๋นเอ่ยว่า “ที่เอ่ยกันว่าใช้ความตายเพื่อพิสูจน์ความจริงใจ เป็นเช่นนี้เอง”
“ราชครู” นางหันไปทางกงอิ้น เอ่ยว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าถูกสตรีนางนี้ครอบงำจิตใจแล้ว แม้ข้านำหลักฐานออกมามากกว่านี้ เจ้าคงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ทว่าเจ้าควรมอบโอกาสพิสูจน์ครั้งหนึ่งให้แก่ทุกคนอย่างยุติธรรม เพราะอย่างนั้นเหตุใดเจ้าถึงไม่ให้นางพิสูจน์ความจริงใจและความบริสุทธิ์ของนางสักหน่อยเล่า? หรือว่า…” นางหัวเราะแผ่วเบา ริมฝีปากบางเน้นเสียงกระซิบว่า “ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็ยังคงอาลัยอาวรณ์ ยินยอมทอดทิ้งอำนาจและตำแหน่งโดยไม่เสียดาย ตั้งใจจะร่วมเป็นร่วมตายกับนางปีศาจที่ตั้งใจล้มล้างรากฐานต้าฮวงนางนี้เล่า?”
“เอ่ยกันแล้ว” เซวียนหยวนจิ้งพลันเอ่ยว่า “ในเมื่อองค์ราชินีหมิงเฉิงเสด็จกลับมาแล้ว ภายหลังพวกเราย่อมนับว่ามีผู้เป็นเสาหลักแล้ว”
จ้าวซื่อจื๋อพลันเอ่ยว่า “ราชินีหมิงเฉิงทรงเฉลียวฉลาดยิ่งนัก ทรงพระทัยกว้างเปี่ยมเมตตา แต่ไหนแต่ไรมาทรงเป็นเจ้านายที่บรรดาขุนนางของต้าฮวงเราเคารพบูชา บัดนี้ราชินีเสด็จกลับมาแล้ว ควรยินดีต้อนรับพระองค์เสด็จกลับสู่ราชบัลลังก์ อำนาจแคว้นจะได้ไม่ถูกคนชั่วช้าควบคุม ละเมิดทำนองคลองธรรม กระทำเรื่องราวทำลายแว่นแคว้นเช่นนี้”
เขาเอ่ยพลางมองกงอิ้นด้วยหางตา
อาภรณ์สีขาวของกงอิ้นพลิ้วสยาย เขาคล้ายไม่ได้ยินวาจากึ่งบอกเป็นนัยกึ่งคุกคามของคนเหล่านี้ เอื้อมมือออกไปโดยพลัน กระทำสัญญาณมืออย่างเชื่องช้าครั้งหนึ่ง
สัญญาณมือซับซ้อนยิ่งนักคล้ายเป็นภาษาใดภาษาหนึ่ง ดวงตาของจิ้งอวิ๋นสว่างวูบ พลันยกมือขึ้นทำสัญญาณมือครั้งหนึ่งเช่นกัน
พอนางทำสัญญาณมือ มือที่ยกขึ้นของกงอิ้นพลันห้อยลงในพริบตาดั่งถูกโจมตี
จากนั้นเขาหันมาทางจิ่งเหิงปัว
ในใจของจิ่งเหิงปัวกระตุกวูบ ลางสังหรณ์บอกนางว่าระหว่างสัญญาณมือไม่กี่ครั้งเมื่อครู่นั่นเอง กงอิ้นได้กระทำการยืนยันฐานะของจิ้งอวิ๋นเรียบร้อยแล้ว
หากจิ้งอวิ๋นได้รับการยืนยันว่าเป็นราชินีหมิงเฉิง นั่นแทบจะเท่ากับว่าข้อกล่าวหาทุกข้อที่นางได้รับถูกพิสูจน์หมดแล้ว
ดวงตามืดมิดของกงอิ้นจ้องมองนางอย่างเงียบเชียบ จิ่งเหิงปัวพบอย่างสิ้นหวังว่าดวงตาที่ส่องแสงสว่างไสวดุจหิมะน้ำแข็งแต่ก่อนของเขานั้น ยามนี้นิ่งเงียบดุจทะเลสาบ หิมะพันหมื่นปีโปรยปรายขาวโพลน
นางมองเห็นสีหน้าและอารมณ์ของเขาในขณะนี้ไม่ชัดเจน นั่นคือไพรหิมะมัวสลัวผืนหนึ่ง ที่ซึ่งดวงเนตรพาดผ่านล้วนเป็นความว่างเปล่า
“เหิงปัว” เขาเอ่ยปากขึ้นในที่สุด เสียงแผ่วเบาทว่าชัดเจนเอ่ยขึ้นว่า “พิสูจน์เพื่อข้า”
ในใจของจิ่งเหิงปัวราวกับพังทลายดัง ครืน!
ชั่วพริบตานี้ เบื้องหน้าของนางพลันกลายเป็นความมืดมิด ในสมองกลายเป็นความสับสนอลหม่าน นางนึกว่าตนเองหลับตาลงแล้ว นางอยากตะโกน อยากเสียสติ อยากผลักคนกลุ่มนี้ไปยังพื้นหิมะที่เย็นยะเยือกข้างนอกให้หมด ให้พวกเขาได้สัมผัสความรู้สึกในตอนนี้ของนาง
ทว่าความมืดมิดเป็นเพียงครู่นั้น พริบตาต่อมายังคงเป็นตำหนักยิ่งใหญ่เกรียงไกร รายล้อมด้วยศัตรู คนที่นางใส่ใจมากที่สุดท่ามกลางฝูงชนกำลังมองดูนางอย่างไม่ยอมร่นถอย
ภายในสายตาเย็นยะเยือกของเขาคล้ายมีความโศกเศร้าปะปนอยู่เช่นกัน หรือว่านั่นเป็นความผิดหวัง? นางก็จำแนกได้ไม่ชัดเจน
สายตาเช่นนี้ก็ไม่ปล่อยให้นางได้หลอกตนเองว่าเมื่อครู่ได้ยินเสียงหลอนด้วยซ้ำ
“กงอิ้น…” นางค้ำยันโต๊ะเครื่องแป้ง พยายามให้ตนเองยืนตัวตรง นางได้ยินเสียงของตนเองดังก้องในอากาศเหนือตำหนักใหญ่อย่างว่างเปล่าว่า “…แท้จริงแล้ว กระทำมากเพียงใด ครุ่นคิดมากเพียงใด เป็นข้าเองที่…คิดเข้าข้างตนเองฝ่ายเดียว”
“ไม่” เขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ข้าเอง”
เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวโน้มลงไปข้างล่างดั่งถูกชกเข้าตรงท้องครั้งหนึ่ง
พอก้มหน้าลงพลันมองเห็นใบหน้าขาวซีดของชุ่ยเจี่ย
นางนอนนิ่งเงียบ นึกว่าตนเองใช้ความตายปกป้องนางให้ปลอดภัยได้แล้ว แต่นางหารู้ไม่ว่าการเสียสละทุกสิ่งแลดูไร้ค่า เมื่ออยู่ต่อหน้าสถานการณ์ที่ตระเตรียมมาเนิ่นนานแล้ว
“ข้าปล่อยให้เจ้าตายเปล่าไม่ได้…” สองมือของนางค้ำยันบนม้านั่ง กระซิบกระซาบแผ่วเบา ยกแขนเสื้อเช็ดปากอย่างเชื่องช้า
จากนั้นนางก็สูดหายใจเฮือกหนึ่ง เงยหน้าขึ้นมาแล้วค่อยๆ ยืนตัวตรง
“ได้” นางกล่าว
ทั่วตำหนักเงียบสงัด
“ทว่าข้ามีเงื่อนไขข้อหนึ่ง” นางกล่าวว่า “หากข้าใช้ความตายเพื่อยืนยันความจริงใจ ยืนยันความบริสุทธิ์ของข้าแล้ว คนข้างกายข้านั้น รวมทั้งชุ่ยเจี่ยที่สิ้นชีพไปแล้ว อย่าได้สอบสวนพวกนาง ปล่อยพวกนางเป็นอิสระได้หรือไม่”
ไม่มีผู้ใดเอ่ยตอบ ผ่านไปครู่ใหญ่เซวียนหยวนจิ้งมองดูรอบด้าน และเอ่ยว่า “ได้”
องครักษ์ที่ขวางจื่อหรุ่ยไว้ถอยออกไป จื่อหรุ่ยพุ่งเข้ามา ร้องว่า “ฝ่าบาท!”
สตรีอ่อนวัยน้ำตาท่วมหน้า ซบลงตรงหัวไหล่นาง กระซิบว่า “พระองค์เสด็จหนีไป! หนีไปเพคะ!”
จิ่งเหิงปัวสูดหายใจเฮือกหนึ่ง…หนีไปไม่ได้แล้ว
ตั้งแต่กงอิ้นเข้ามา บรรยากาศรอบกายนางเกิดการเปลี่ยนแปลงไป ข้างหน้าคล้ายมีกำแพงผืนหนึ่งเพิ่มเข้ามา เดินเหินยากลำบาก นางรู้สึกล่วงหน้าว่าแม้หายตัวไปในตอนนี้คงออกไปจากตำหนักบรรทมแห่งนี้ไม่ได้อย่างแน่นอน
ความรู้สึกแบบนี้ นางเคยรู้สึกตอนพบเจอเขาครั้งแรก ด้วยเพราะเหตุนี้ทำให้นางคว้าโอกาสหลบหนีสามครั้งนั้นไว้ไม่ได้ หลังจากนั้นก็ไม่เคยเกิดความรู้สึกแบบนี้อีก
วันนี้รู้สึกขึ้นมาอีกครั้ง
หรือท่ามกลางความเงียบสงัดย่อมมีการขานรับ ขานรับจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุดช่วงหนึ่งนี้
จิ่งเหิงปัวเหลียวมองรอบด้านแต่มองไม่เห็นเงาร่างของยงเสวี่ย นางไม่อยากจะสืบเสาะว่านางถูกฆ่าตายหรือทรยศ เรื่องนั้นไม่สำคัญอีกแล้ว
ฝั่งตรงข้าม เหล่าขุนนางแยกย้ายเปิดเส้นทางสายหนึ่ง ทุกคนกำลังมองดูกงอิ้น
มองบุคคลอันดับหนึ่งแห่งต้าฮวงผู้นี้ว่าจะจัดการสตรีที่ทรยศเขาต่อหน้าทุกคนนางนี้อย่างไร มองว่าเขาจะเย็นชาไร้ซึ่งความรู้สึกอีกครั้งด้วยเพราะความผิดหวังหลังจากหวั่นไหว พิสูจน์ความเด็ดเดี่ยวแน่วแน่และไอสังหารของตนเองต่อโลกหล้าอีกครั้งด้วยการลงมือโหดเ**้ยมจริงหรือไม่
เฟยหลัวชูยาเม็ดที่เปล่งแสงสีดำไว้ หัวเราะแผ่วเบาครั้งหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าว่า…เจ้ายังต้องกินยาเม็ดนี้อยู่ดี”
กงอิ้นพลันสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งม้วนยาเม็ดไว้กลางอากาศ เอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ข้าจัดการเรื่องของนางเอง”
ยาเม็ดชะงักอยู่กลางอากาศชั่วครู่ จากนั้นเหินไปทางจิ่งเหิงปัวปานฟ้าแลบ ในเวลาเดียวกันลมหอบหนึ่งผลักเข้ามาอย่างรุนแรงเพียงครั้ง คอหอยของจิ่งเหิงปัวถูกบีบรัดจนต้องอ้าปากออกอย่างควบคุมไม่ได้
ยาเม็ดเหินเข้าสู่ปากนางดังฟิ้ว
นอกจากกงอิ้นที่หันศีรษะมองหิมะนอกตำหนักในครู่หนึ่งนี้แล้ว ทุกผู้คนต่างจ้องมองนางด้วยแววตาเปล่งประกาย กลัวว่านางจะคายออกมาโดยพลัน จากนั้นลงมือหลบหนี
แต่นางไม่ได้กระทำเช่นนั้น
นางกลืนลงไปแล้ว ทุกคนมองเห็นลำคอของนางขยับครั้งหนึ่ง
“ข้ากินแล้ว” เมื่ออ้าปากอีกครั้ง น้ำเสียงของจิ่งเหิงปัวเงียบสงบ กล่าวว่า “ยามนี้ ได้แล้วใช่หรือไม่?”
การออกเสียงของนางชัดเจน ทุกคนวางใจแล้ว…ไม่ได้ซ่อนยาพิษไว้ใต้โคนลิ้น
เพียงแต่นางไม่แสดงอาการโดยพลัน ทุกคนเริ่มไม่วางใจขึ้นมาอีกครั้ง ทว่าบนใบหน้าของเฟยหลัวเปล่งประกายด้วยรอยยิ้ม เอ่ยว่า “ฝ่าบาท ยานี้พวกหม่อมฉันตั้งอกตั้งใจตระเตรียมเพื่อพระองค์ มันจะทำให้ทั่วพระวรกายของพระองค์ค่อยๆ แข็งทื่อ อวัยวะภายในเน่าเปื่อยจนสวรรคต ใช้เวลาสามวันสามคืน หลังจากผ่านไปสามวันแล้ว พระองค์จะทรงกลายเป็นซากศพทว่าพระพักตร์ดั่งยามมีพระชนม์ชีพ สิ่งนี้นับเป็นของขวัญชิ้นหนึ่งที่หม่อมฉันถวายแด่พระองค์ เก็บรักษาความงามของพระองค์ไว้ชั่วนิรันดร์กาล หม่อมฉันคิดว่าพระองค์ต้องทรงชื่นชอบยิ่งนักเป็นแน่”
จิ่งเหิงปัวจ้องมองนางเขม็ง เอ่ยว่า “หากภายภาคหน้าเจ้าสิ้นชีพ ข้าย่อมมอบความตายที่งดงามเฉกเช่นยามมีชีวิตอยู่ให้เจ้าเช่นกัน”