ตอนที่104 นิสัยขี้เล่น
ยกมือขึ้น พิมพ์ลดาตบหลังสะปันเบาๆ ปลอบโยนเธอ
โดยไม่ส่งเสียง
“ ฮือๆ…” สะปันซบไหล่พิมพ์ลดา ร้องไห้จนตัวโยน เธอ ถามอย่างน้อยใจยิ่งว่า “ พิมพ์ลดา ที่จริงแล้วเธอก็รู้เรื่อง ของทินพลตั้งนานแล้วใช่มั้ย? ”
ตอนที่สะปันหยิบเสื้อผ้าของทินพลไปซักในตอน เช้า เห็นรอยมาร์คบนเสื้อผ้าของเขา แต่ก่อนทินพลก็มี ปฏิสัมพันธ์ แต่ก็ไม่เคยมีรอยมาร์คแบบนี้
ที่จริงแล้วในตอนแรกที่สะปันหยิบเสื้อผ้าไปถามเขา การบ่นว่าที่มีมากขึ้นก็คือต้องการจะถามเขาว่าตอนที่มี ปฏิสัมพันธ์ ทำไมถึงใกล้ชิดกับโฮสต์สาวที่ร้านคาราโอเกะ แห่งนั้นมากขนาดนี้
ทินพลถามเธอกลับประโยคหนึ่ง “ พิมพ์ลดาบอกเธอ หรือ? ” จึงทำให้สะปันมั่นใจว่าทินพลคบหญิงสาวนอกบ้าน
แต่หลังจากนั้น ทินพลก็รู้ตัวว่าเหมือนตัวเองจะคิดไป ไกลแล้ว แต่เขาอยากห้ามปรามไว้อีกครั้ง แต่ก็ไม่ทันแล้ว
หนูนายังไม่ตื่น สะปันก็คว้ากุญแจรถวิ่งออกจากประตู บ้านไป
สมัยเรียนมัธยมปลายสะปันกับทินพลก็รู้จักกันแล้ว หลังจากที่ได้รับจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัยเอระหว่างช่วง วันหยุดฤดูร้อนในปีนั้นที่จบการศึกษาระดับชั้นมัธยมปลาย จึงตัดสินใจคบหากัน ความรักของพวกเขา ถึงตอนนี้ได้ ดำเนินมาถึงปีที่แปดแล้ว
สะปันคิดมาตลอดว่าตัวเองมีครอบครัวแสนสุข มีสามี ที่รักและเป็นห่วงเธอคนหนึ่ง มีลูกสาวที่น่ารักน่าเข้าใกล้ คนหนึ่ง เธอก็เป็นอีกฝ่ายที่สาวๆรุ่นราวคราวเดียวอิจฉามา ตลอด ก็เหมือนที่อรัญญามักจะพูดตอนที่อบรมสั่งสอนพิมพ์ ลดาว่า ” สะปันเป็นเพราะคว้าผู้ชายอย่างทินพลมาได้จึงมี ความสุขแบบนี้ หนูน่ะ มักจะไม่รู้วิธีคว้าผู้ชายดีๆไว้อยู่เรื่อย จึงครองโสดมาตลอดแบบนี้ได้ ”
คิกๆ แต่ดูตอนนี้สิ เธอ…สะปันยังเป็นเพราะคว้าผู้ชายดีๆ แบบนี้อย่างทินพลไว้ได้จึงมีความสุขหรือ?
เธอนึกว่าความรักของเธอกับทินพลเอาชนะทุกสิ่งได้ เธอนึกว่าพวกเขาจะครองรักกันตราบจนชั่วฟ้าดินสลาย เธอ นึกว่าพวกเขาจะใช้ชีวิตร่วมกันได้ยาวนานยิ่ง
แต่เสื้อเชิ้ตตัวหนึ่ง รอยมาร์คลิปสติกสีแดงรอยหนึ่ง ‘พิมพ์ลดาบอกคุณหรือ?’ประโยคหนึ่ง ทำให้ฝันวันรักแปดปี ที่ผ่านมาของเธอ ก็พังทลายลงแบบนี้แล้ว เหมือนแยกกัน แล้วส่วนหนึ่ง จะเก็บก็เก็บขึ้นมาไม่ได้แล้ว
ตอนที่ได้ยินคำพูดของสะปัน พิมพ์ลดาพลันตกใจ ไม่รู้ จะตอบอย่างไรดี
สะปัน ฉัน…”
ถอยออกจากอ้อมอกของพิมพ์ลดา สะปันยกมือขึ้น ใช้ หลังมือเช็ดน้ำตาบนใบหน้าในพริบตาเดียว ในที่สุดข้างริม ฝีปากดึง มขมขื่นเส้นหนึ่งออกมา “ พิมพ์ลดา ” เธอร้องไห้ นานเกินไปแล้ว เสียงขึ้นจมูกอย่างหนัก “ ฉันรู้ว่า เธอไม่ อยากให้ฉันเสียใจ ดังนั้นจึงไม่บอกฉัน ใช่มั้ย? ”
“สะปัน ” เห็นสะปันเป็นแบบนี้แล้ว พิมพ์ลดาก็ไม่สบายใจ พิมพ์ลดารู้จักกับสะปันมาสิบเอ็ดปีแล้ว ตั้งแต่ม.สี่ก็เป็น เพื่อนร่วมชั้น นั่งเรียนข้างกัน ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา สะปันใน ความประทับใจของเธอก็เป็นผู้หญิงหน้าตาสะสวยคนหนึ่งที่ มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้าเสมอ พวงแก้มสองข้างก็มีลักยิ้ม น่ารัก
ครั้งแรกที่พิมพ์ลดาเห็นสะปันร้องไห้ คือตอนที่จบ การศึกษาชั้นมัธยมปลาย เธอพูดว่ากลัวตัวเองสอบเข้า มหาวิทยาลัยเอไม่ได้ ไม่มีทางมีความสัมพันธ์แน่นเฟ้นไม่ ห่างไกลกันเหมือนในวันวานได้อีกแล้ว เธอยังพูดว่ากลัวจะ เสียเพื่อนผู้หญิงคนสนิทคนหนึ่งไป
ครั้งที่สองที่พิมพ์ลดาเห็นสะปันร้องไห้ คือวันนั้นที่ เธอแต่งงานกับทินพล ตอนที่เจ้าสาวได้ฟังเจ้าบ่าวอ่านคำ สาบานต่อหน้าผู้คน เธอก็หลั่งน้ำตาแล้ว
ครั้งที่สามที่พิมพ์ลดาเห็นสะปันร้องไห้ คือตอนที่เธอ คลอดหนูนาออกมา ตอนนั้น ทินพลไม่อยู่ข้างกาย เพราะ เธออยากให้หนูนามีสุขภาพดียิ่งขึ้น มุ่งมั่นอย่างแข็งกร้าวว่าจะคลอดธรรมชาติ
แต่วันนี้ ก็เป็นครั้งที่สี่ที่พิมพ์ลดาเห็นสะปันร้องไห้ ก็เป็น ตอนที่เธอพบว่าหนผลทําตัวออกนอกลู่นอกทาง เห็นสะ ป้นแบบเป็นน้ แม้กระทั่งพิมพ์ลดาก็ไม่รู้ตัวเองควรใช้คำพูด อย่างไรดีจึงจะปลอบเธอได้
พิมพ์ลดารู้จักความเจ็บปวดประเภทนั้นที่อยู่ในใจสะปัน เพราะแต่ก่อน เธอก็เคยรู้สึกมาก่อน
ในลานจอดรถของโรงพยาบาล จิรฐารีบเปิดประตูรถ เข้าไปหามือถือในรถ หยิบมือถือที่ถูกตัวเองลืมไว้ในรถเมื่อ ตอนสายออกมา พอเขากดเปิดหน้าจอ เห็นเบอร์ที่ไม่ได้รับ ไม่กี่สายที่ปรากฏอยู่ในนั้น และเอสเอ็มเอสที่ไม่ได้อ่านสอง ฉบับ ในใจพลันแน่นตึงขึ้นมา รู้ดีว่าแย่แล้ว
เอนหลังพิงพนัก จิรฐาหลับตา ยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว
ช่วงสายของวันนี้ สําหรับเขาแล้ว ลำบากเกินไปแล้ว
ตอนที่เขาได้ยินจากอิงนราว่าจันวิภาตื่นขึ้นแล้ว เขารู้สึก ตกใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังดีใจมากกว่า แต่ตอนที่เขามาถึง โรงพยาบาล เห็นผู้หญิงที่นั่งร้องไห้อยู่บนเตียงคนนั้น ถาม คนข้างๆมาตลอดว่า “ พี่จิรฐาอยู่ที่ไหน? ทำไมฉันถึงเดินไม่ ได้? ทำไมพี่จิรฐาถึงไม่มาเยี่ยมฉันเลย? ”
หน้าอกของเขาเหมือนมีอะไรมาทำให้แน่นตึงจนเป็น กังวล ความรู้สึกประเภทนั้น ไม่ใช่ความเจ็บปวด แต่เป็นความโศกเศร้า เป็นความไม่สบายใจที่เศร้าซึม
ตั้งแต่หลังจากสิบปีก่อนที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เขาก็ตั้งตารอ วันที่จันวิภาจะตื่นขึ้นมากะทันหัน แต่ที่เขาคิดไม่ถึงคือ เธอ นอนนิทรามาเกือบสิบปีแล้ว ตื่นมากลับยังคงจดจําความ ผูกพันที่เธอมีต่อเขา เขาไม่อยากทำร้ายจันวิภาอีกแล้ว แต่ เขาก็ไม่มีทางฝืนความรู้สึกตัวเองได้ขนาดนี้แล้ว
จิรฐาลืมหยิบมือถือลงไป ช่วงสายของวันนี้เขาล้วนถูก คนกอดแขนจนไม่มีทางขยับไปไหนได้ แม้กระทั่งเขาไม่รู้ว่า เวลาผ่านไปนานขนาดนี้แล้ว เขาก็ไม่รู้ว่าที่แท้พิมพ์ลดารอ เขาอยู่ที่My Wedมาตลอด รอให้เขาปรากฏตัว
เธอพูดว่าเธอมาหาสะปัน “ มีอะไรเกิดขึ้นกับสะปันแล้ว หรือ? ” จิรฐาครุ่นคิด เบิกตาทั้งสองข้างขึ้น หยิบมือถือขึ้น มาค้นหาเบอร์โทรศัพท์ของพิมพ์ลดา กดโทร.ออก
ตอนที่จิรฐาโทร.มา พิมพ์ลดกำลังถือกระดาษแผ่นหนึ่ง เช็ดน้ำตาให้สะปัน เหมือนจะคิดได้ว่าคนที่จะโทร.หาตัวเอง ในเวลานี้ได้ไม่ใช่ทินพลก็ต้องเป็นจิรฐา พิมพ์ลดาจงใจไม่ สนใจมือถือที่แผดเสียงริงโทนอยู่ในกระเป๋า เพียงเช็ดคราบ น้ำตาบนใบหน้าให้สะปันอย่างเงียบๆ
หากคนที่โทร.มาเป็นทินพล พิมพ์ลดารู้ว่าตอนนี้สะปัน ต้องไม่อยากให้เขารู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ถ้าคนที่โทร.มาเป็นจิร ฐา เวลานี้พิมพ์ลดาก็ไม่อยากจะคุยกับเขา
เธอก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่เธอติดใจที่จิรฐาโกหกเธอในตอนสาย เธอยังติดใจที่เขาทิ้งเธอไว้ที่My Wedคนเดียว ไม่ สนใจก็ไม่ถาม ไม่รับโทรศัพท์ ก็ไม่โทร.หาเธอเลยสักครั้ง
“ พิมพ์ลดา ฉันรบกวนเวลาถ่ายรูปแต่งงานของเธอกับ ท่านจิรฐาหรือเปล่า? ” มองพิมพ์ลดาที่อยู่ตรงหน้า อยู่ดีๆสะ ปันก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อไม่กี่วันก่อนพิมพ์ลดาเคยพูดกับตัวเอง ว่า วันนี้ต้องถ่ายรูปแต่งงานกับจิรฐา เวลานั้น สะปันยังยิ้ม แล้วพูดว่า “สาวใหญ่ไร้คู่อย่างเธอตอนนี้หาสามีได้สมดั่งใจ ก็ต้องตั้งใจเก็บไว้เป็นที่ระลึกเสียหน่อย
ได้ฟังคำพูดของสะปัน การเคลื่อนไหวที่มือของพิมพ์ ลดาก็หยุดชะงัก เธอเก็บมือกลับมา นำผ้าเช็ดปากเปียกชุ่ม ผืนนั้นโยนลงในถังขยะ แสร้งทำเป็นตอบกลับอย่างไม่สนใจ เลยสักนิด “ อย่าห่วงเลย วันนี้พวกเราไม่ได้ไปถ่าย ”
ยัยเด็กโง่คนนี้ ขณะที่ใจดวงหนึ่งของตัวเองก็ยังไม่เป็น กังวลอยู่ กลับยังมาเป็นห่วงรูปถ่ายแต่งงานของเธอ มีเพื่อน ผู้หญิงคนสนิทแบบนี้ พิมพ์ลดารู้สึกว่าชั่วชีวิตนี้ อย่างน้อย ตัวเองก็ไม่ขาดมิตรภาพส่วนนี้แล้ว
สะปันก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ที่ดังมาจากในกระเป๋าของ พิมพ์ลดามาตลอด กดมือน้อยๆที่ยังอยากจะเช็ดน้ำตาให้ ตัวเองข้างนั้นไว้ บอกเป็นนัยกับพิมพ์ลดาว่า ” รับโทรศัพท์ เถอะ ฉันไม่เป็นไร
สะปันว่าแล้ว ยังพยายามทำให้ตัวเองหัวเราะ
เธอมักจะเป็นแบบนี้อยู่เสมอ แม้ว่าในใจจะเจ็บอีกครั้งแต่เธอก็จะระบายกับพิมพ์ลดาเพียงคนเดียว ระบายเสร็จ แล้ว เธอก็หัวเราะ สะปันมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่า ” ถ้าทำ สีหน้ามทุกข์ไปตลอด ก็จะเก็บซ่อนเรื่องราวไม่มิดไป ตลอด ถ้ามีรอยยิ้มบนใบหน้า สักวันก็จะพบบทสรุปที่ดี”
แม้ว่าสะปันจะบอกเป็นนัยให้ตัวเองรับโทรศัพท์ พิมพ์ สดายังคงไม่สนใจ เพียงพูดกับเธอว่า “สุขภาพของเธอ ไม่มีปัญหาร้ายแรง หมอบอกว่านอนโรงพยาบาลเพื่อตรวจ เช็คอีกสักคืนก็จะออกจากโรงพยาบาลได้แล้ว งั้น…. ” ว่า แล้ว พิมพ์ลดาเว้นช่วงจึงพูดถึงประเด็นสำคัญ ” หลังจาก ออกจากโรงพยาบาล เธออยากไปอยู่กับพ่อแม่ของฉันก่อน มั้ย อย่างไรเสียตั้งแต่หลังจากที่ฉันย้ายออกไป ห้องเดิม ของฉันก็ว่างมาตลอด คนแก่สองคนอย่างพวกท่านก็ต้อง ดีใจที่เธอย้ายเข้าไปอย่างแน่นอน มีพ่อแม่ฉันคอยเฝ้าดูเธอ ดูแลเธอ ฉันก็จะเป็นห่วงน้อยลง “
พิมพ์ลดารู้ว่า ด้วยนิสัยของสะปัน อย่างน้อยถ้าให้กลับ บ้านของเธอกับทนพลในตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้อย่างแน่นอน ตอนนี้เธอก็ยังจะไม่บอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ของเธอเอง เดิมที พวกท่านก็ไม่ค่อยชอบทินพลเท่าไรนัก แม้ว่าผ่านไปสี่ปีแล้ว ก็ยังไม่ชอบ ดังนั้นหลายปีมานี้ สะปันก็เล่าเรื่องของตัวเอง กับทนผลให้คนในครอบครัวฟังน้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้นหาก พูดให้คนในครอบครัวฟังแล้ว ก็จะทำให้พวกท่านเป็นห่วง อีกอย่าง ก็ช่วยอะไรไม่ได้เลยสักนิด
ได้ฟังการจัดเตรียมพิมพ์ลดาทำไว้ให้ตัวเอง สะปันก็ไม่ ได้รู้สึกว่ามีอะไรไม่เหมาะสม ญานัทเป็นพ่อของพิมพ์ลดา ปี นั้นก็เป็นครูสอนประวัติศาสตร์ของพวกเธอทั้งสอง เธอกับพ่อแม่ของพิมพ์ลดาล้วนคุ้นเคยกันดีมาก เหมือนว่าจะคุ้น เคยยิ่งกว่าพ่อแม่แท้ๆของตัวเองด้วยซ้ำ นึกถึงในตอนแรก เธอไปทานข้าวฟรีที่บ้านของพิมพ์ลดาอยู่บ่อยครั้ง
คิดแล้ว สะปันถามเพียงว่า “ พิมพ์ลดา ทําไมเธอไม่ถาม เลยว่าฉันคิดจะจัดการกับเรื่องของฉันกับทินพลอย่างไร? ”
ดึงมือสะปันมาจับไว้ พิมพ์ลดามองเธอก็ยิ้มเฉยชา ตอบ อย่างเย็นชาว่า “ สะปัน เธอจะทำอะไรโดยขาดสติไม่ได้ นี่ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับครอบครัวของเธอ ในความสุขของ เธอยังมีความสุขในอนาคตของหนูนารวมอยู่ด้วย เธอต้อง พิจารณาให้รอบคอบ ถ้าแน่ใจแล้วค่อยตัดสินใจ “พูดว่า พิมพ์ลดากำลังตอบคำถามของสะปัน ไม่เท่ากับพูดว่ากำลัง เดือนสะปัน
ใช่แล้ว ตอนนี้เธอไม่ได้ตัวคนเดียวอีกต่อไปแล้ว เธอยังมี หนูนา!
“ พิมพ์ลดา ” เช็ดน้ำตาที่เหมือนจะเอ่อล้นออกจากขอบ ตาของตัวเองอีกครา สะปันสะอื้นขอร้องเธอว่า “ ฉันยังต้อง รบกวนเธอเรื่องหนึ่ง ลำพังทินพลคนเดียวเลี้ยงหนูนาไม่ ไหว เธอไปรับหนูนาจากที่นั่นให้ฉันได้มั้ย? ฉันไม่อยากกลับ ไปเอง ฉันไม่อยากเจอเขาสักพัก
ที่จริงแล้วเรื่องนี้ แม้สะปันจะไม่พูด พิมพ์ลดาก็จะทำ
นั่งอยู่ในรถ จิรฐากดเบอร์โทรศัพท์ของพิมพ์ลดาเป็น ครั้งที่สาม แต่ก็ไม่มีการตอบสนองมาตลอด เธอไม่ได้รับ ก็ไม่ได้วาง
มือถือที่ถือไว้ในมือพลันสั่นไหว เดิมทีจิรฐานึกว่าพิมพ์ ลดาโทร.กลับหาตัวเอง แต่หยิบขึ้นมาดู กลับพบว่าเป็นอิง นรา
เธอเหมือนจะยืนอยู่นอกโถงทางเดิน กดเสียงต่ำ เพียง ถามอย่างรีบเร่งว่า “จิรฐา นายไปไหนแล้วล่ะ? จันวิภาตาม หานายเหมือนเป็นบ้าอีกแล้ว…”
เมื่อครู่นี้ จิรฐาถือโอกาสตอนที่จันวิภาหลับไปหลังจาก ที่ได้รับการฉีดยากล่อมประสาท รีบวิ่งลงไปข้างล่าง จะไป หาพิมพ์ลดา ยากล่อมประสาทเข็มหนึ่งฉีดเข้าไปในร่างกาย ของจันวิภา ที่แท้ผลลัพธ์ที่ออกมาแย่เพียงนี้เชียวหรือ?
ตอนที่อิงนราโทรศัพท์เสร็จแล้วเตรียมจะรีบกลับไปหา จันวิภาในห้องพักผู้ป่วย ก็เห็นพฤษากลับออกมาจากห้อง ทํางานผู้อำนวยการโรงพยาบาลพอดี เธอเดินเข้าไปหา ถามว่า “ แม่ เป็นอย่างไรบ้างคะ? ผู้เชี่ยวชาญไม่กี่ท่านนั้น พูดว่าอย่างไรบ้าง? ”
“ เฮ้อ! ” พฤษาสันศีรษะ กดเสียงพูดว่า “ ล้วนพูดว่าการ ตอบสนองนี้ของจันวิภาแปลกประหลาดเกินไปแล้ว พวกเขา เจอเป็นครั้งแรก คนคนหนึ่งทั้งที่ถูกตัดสินว่าอวัยวะแต่ละ ส่วนในร่างกายล้วนทำงานต่อไปได้ไม่นานเท่าไร หลัง จากนอนนิทรามาสิบปีแล้วกลับตื่นขึ้นมากะทันหัน ” พฤษา หัวเราะเยาะตัวเอง
ตอนที่เห็นว่าลูกชายถูกจันวิภากอดแขนไว้แน่นๆ ทั้งที่ ในใจผูกปลายอีกข้างหนึ่งไว้ แต่กลับยังต้องทำใจเย็นปลอบ ใจเธอ พฤษภาก็รู้สึกไม่สบายใจเป็นระยะๆ
มือข้างหนึ่งจับมืออิงนราไว้ พฤษาสั่งเธอว่า “ อิงนรา จํา ไว้นะ เรื่องของจันวิภา ช่วงนี้ยังให้พิมพ์ลดารู้ไม่ได้”
“ แม่คะ? ” อิงนราไม่เข้าใจการกระทำของพฤษาเล็กน้อย “ จันวิภาตื่นแล้ว ต่อจากนี้จิรฐาต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งมา อยู่เป็นเพื่อนเธออย่างเลี่ยงไม่ได้ พวกเราไม่สามารถปิดบัง พิมพ์ลดาได้ตลอด แบบนี้ก็จะไม่ยุติธรรมกับเธอ ”
แม่รู้ แม่รู้! ” พฤษาก็เป็นกังวลขึ้นมาบ้างแล้ว “ แม่ก็แค่ อยากหาโอกาสที่ดีกว่านี้หน่อยค่อยพูดเรื่องนี้กับพิมพ์ลดา ให้เข้าใจ “
ผู้หญิงที่นอนนิทราบนเตียงผู้ป่วยมาสิบปีแล้วคนหนึ่ง ตื่นขึ้นมากะทันหันแล้ว บางทีต้องแบ่งสามีตัวเองให้คนอื่น ลองถามว่ามีผู้หญิงคนไหนที่สามารถยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ อย่างง่ายดายบ้าง?
พฤษาไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังพิมพ์ลดา เธอก็แค่กลัวว่าอีก หน่อยเด็กคนนั้นจะรับไม่ได้ สำหรับพิมพ์ลดาลูกสะใภ้คนนี้ พฤษาชอบเธอจากใจจริง เธอก็รู้ว่าลูกชายตัวเองปฏิบัติกับ พิมพ์ลดาเป็นพิเศษ
แต่ในความคิดของเธอ จันวิภาก็เป็นลูกของเธอ เธอเห็น จันวิภาโตมาตั้งแต่เด็ก ปีนั้นสามีภรรยาตระกูลไชยมีทั้งสองท่านถ้าไม่ใช่เพราะช่วยเธอกับจิรฐา ก็จะไม่เสียสละ ก่อนที่ พวกท่านจะสิ้นลมหายใจ เพียงขอร้องให้เธอดูแลจันวิภา ตอนนั้นเธอรับปากว่าจะต้องพยายามดูแลลูกสาวเพียงคน เดี๋ยวนี้แทนพวกท่านตระกูลไชยมีให้ดีอย่างถึงที่สุด
เกิดเรื่องแบบนั้นเมื่อสิบปีก่อน พฤษารู้สึกเสียใจต่อ ตระกูลไชยมีไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนี้ แม้จันวิภาจะตื่นแล้ว พฤษาก็ต้องชดใช้คืนให้เธอให้เท่ากับที่เธอเสียไป
พิมพ์ลดาปลอบสะปันเสร็จแล้วก็หยิบกระเป๋าออกจาก ห้องพักผู้ป่วย เธอต้องไปรับหนูนา รวดหยิบเสื้อผ้าสําหรับ เปลี่ยนซักไม่กี่ตัวให้สะปันพร้อมทั้งส่งไปไว้ที่บ้านพ่อแม่ ของตัวเองก่อน
ยืนอยู่ที่ปากประตูลิฟต์ พิมพ์ลดาได้ยินสมาชิกครอบครัว ไม่กี่ท่านที่ยืนรอลิฟต์ด้วยกันอยู่ข้างๆพูดว่า “ ไอ่โย่ ผู้หญิง ในห้องพักผู้ป่วยวีไอพีสุดปลายโถงทางเดินคนนั้นโวยวาย เสียงดังหนวกหูจริงๆ! ร้องตะโกนว่าพี่จิรฐาอะไรนั่นทั้งวัน! ”
ก็มีคนพูดขึ้นต่อจากนั้นว่า “ ใช่แล้ว ! หนวกหูจะตายอยู่ แล้วเธอทั้งร้องไห้ทั้งโวยวายติดต่อกันแบบนั้น ผู้ป่วยคน อื่นๆจะพักผ่อนกันอย่างไร!
‘เธออย่าพูดไปจะดีกว่า คนที่พักในห้องพักผู้ป่วยนั้นได้ ต้องเป็นผู้ใหญ่ผู้โตอย่างแน่นอน ช่างเถอะ พวกเราน่ะทน ฟังไปเรื่อยๆจะดีกว่า ”
คนเหล่านี้วิจารณ์กันอย่างดุเดือด ตอนที่พิมพ์ลดาได้ยินคําว่า ‘พี่จิรฐา’ จึงหยุดสนใจฟังสักพัก แต่พวกเธอก็พูดไป แบบนี้ พิมพ์ลดาก็ฟังถนัด
ห้องพักผู้ป่วยวีไอพีห้องนั้น อยู่สุดปลายอีกข้างของ โถงทางเดิน ไกลออกไปจากห้องพักผู้ป่วยที่สะปันอยู่เล็ก น้อย เมื่อครู่นี้พิมพ์ลดามัวแต่ปลอบสะปัน ก็ไม่ได้สนใจเสียง โวยวายนั้นที่พวกเขาพูดกันจริงๆ
ติ้ง! เสียงที่ดังขึ้นบอกเป็นนัยว่าลิฟต์ได้มาถึงชั้นที่พวก เขาอยู่แล้ว ไม่กี่คนที่อยู่ข้างๆกันนั้นพอเห็นว่าลิฟต์มาแล้ว ก็ ไม่วิจารณ์อีกต่อไป
ครั้งนี้มีคนไม่มาก พิมพ์ลดาก็ไม่กังวล ตั้งแต่ต้นก็ไม่ได้ เบียดเสียดกับพวกเขาอีก รอให้พวกเขาทุกคนล้วนเข้าไป แล้ว ตัวเองจึงเป็นคนสุดท้ายที่เดินเข้าไปในลิฟต์
เธอก้มหน้า สองมือล้วงกระเป๋า ก็ไม่ได้สนใจคนที่ออก มาจากในตัวลิฟต์
ช่วงเวลานั้นตอนที่พิมพ์ลดาตัดสินใจหมุนตัวเข้าไปใน ลิฟต์ เธอรู้แค่ว่าตัวเองเหมือนถูกคนดึงแขนไว้แล้ว จากนั้น ถูกกระชากจนหมุนอยู่หนึ่งรอบ ตอนที่เธอคืนสติกลับมาอีก ครั้ง ประตูลิฟต์ก็ปิดลงแล้ว แต่เธอ กลับยังอยู่ด้านนอกลิฟต์
“ เอ๊ะ? ” เธอหันมองไปทางคนข้างกาย เพียงพบจิรฐายีน อยู่ตรงนั้น มองเธอก็ขมวดคิ้ว
ทำไมไม่รับโทรศัพท์? ” เขาขมวดคิ้วหลวมๆ ทำให้พิมพ์ลดารู้ว่าตอนนี้เขาเหมือนจะอารมณ์ไม่ดียิ่ง
ได้ เดิมทีเธอยังอยากตอบเขาประโยคหนึ่ง “ ฉันโทร.หา คุณหลายสายขนาดนั้น คุณก็ไม่รับไม่ใช่หรือ? ” แต่เห็น สีหน้าไม่อมทุกข์นั้นของจิรฐา เธอก็ไม่อยากแสดงท่าทางที่ ว่า จับได้คาหนังคาเขาแล้ว
ไม่ตอบเขา พิมพ์ลดาเพียงยื่นมือกดปุ่มลิฟต์ลงให้ติด
“ พิมพ์ลดา? ” จิรฐายื่นมือดึงเธอไว้ พาเธอไปอยู่ตรงหน้า ควบคุมให้เธออยู่ห่างจากเขาหน่อย “ คุณโกรธอยู่หรือ? อารมณ์เสียใส่ผมหรือ? เพราะเมื่อเช้าผมมาสายแล้ว? ”
มาสาย? แค่มาสายเนี่ยนะ? เขามาไม่ถึงที่ด้วยซ้ำ โอเค มั้ย? ทำให้เธอรอเขาอยู่ที่นั่นคนเดียวเหมือนคนโง่ หลังจาก นั้นถูกพนักงานที่My Wedหัวเราะดูถูก
ตอนที่คนขับรถแท็กซี่คนนั้นพูดว่าผู้หญิงต้องเข้าใจ งานของผู้ชาย เธอก็หมดกังวลไปแล้ว ที่จริงแล้วในใจเธอก็ เข้าใจเขาแล้ว ให้อภัยเขาแล้ว
แต่ว่า ช่วงเวลานั้นตอนที่พิมพ์ลดาเห็นจิรฐาที่โรง พยาบาล เธอพลันรู้สึกว่า ที่แท้ความเชื่อใจระหว่างพวกเขา กลับเปราะบางเช่นนี้ แต่เขากลับโกหกเธออย่างไม่คาดคิด
พิมพ์ลดาเงยหน้าขึ้น เพียงพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ สะปัน รู้เรื่องของทินพลแล้ว วันนี้เกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ฉันต้อง ไปรับหนูนา ยังต้องดูแลเธอ เหตุผลพวกนี้มากพอหรือยัง? ”
ลิฟต์มาถึงแล้ว ก่อนที่จิรฐาจะตอบตัวเอง พิมพ์ลดาดิ้น จนแขนที่ถูกเขาจับไว้ของตัวเองหลุดออกมา พอหันหลังก็ วิ่งเข้าไปในลิฟต์ พลันรีบออกแรงกดปุ่มปิดประตูลิฟต์
จิรฐายังอยากตามเข้าไปดึงเธอไว้ แต่มือถือในกระเป๋า ก็ดังขึ้นอีกครั้ง มองประตูลิฟต์บานนั้นประกบปิดอีกครั้งตรง หน้าตัวเอง ขวางกั้นปฏิสัมพันธ์ระหว่างเขากับพิมพ์ลดา ออกไป จิรฐากําหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ
ช่างเถอะ เขาก็รู้ว่าโรงพยาบาลไม่ใช่ที่สำหรับจัดการ ปัญหาของเขากับพิมพ์ลดาในวันนี้ รอให้จัดเตรียมเรื่องที่ ต้องทำที่นี่ให้เข้าที่เข้าทางก่อนจะดีกว่า ตอนกลางคืนกลับ บ้านไปค่อยอธิบายกับเธออย่างค่อยเป็นค่อยไป
ว่าแล้ว จิรฐาก็รับสายโทรศัพท์ พูดกับคนปลายสายด้าน นั้นว่า “ ผมจะรีบไป ” ก็หันหลังเดินไปทางห้องพักผู้ป่วยไอ พีที่อยู่สุดปลายโถงทางเดินแล้ว
ออกจากประตูทางเข้าหลักของโรงพยาบาล พิมพ์ลดา ก็วิ่งตรงไปยังข้างถนน เรียกหยุดแท็กซี่คันหนึ่งก็ขึ้นรถไป ใครจะรู้ว่าใช่เรื่องบังเอิญหรือเปล่า ก็เป็นลุงคนขับรถคนนั้น ที่เจอเมื่อช่วงสาย
“ ไอ่โย่ แม่สาวน้อย หนูอีกแล้วหรือ? ”
ได้ยินคำเรียกที่…เหมือนจะคุ้นเคยอยู่บ้างคำนี้ พิมพ์ ลดาเงยหน้ามองไปทางเบาะหน้า คราวนี้จึงจะพบว่าเป็นลุง
คนนั้น
‘คุณลุง คุณอีกแล้วหรือ? ” เธอหัวเราะ ถามล้อเลียนคํ พูดของเขา แต่พอถามเสร็จ รอยยิ้มบนใบหน้าเล็กๆนั้นพลัน หายลับไปแล้ว
มองผ่านกระจกมองหลังของรถ คุณลุงคนขับเห็นการ แสดงออกของพิมพ์ลดาเปลี่ยนไป เพียงหัวเราะแล้วถามว่า ” เป็นอะไรไป ยังไม่คืนดีกับแฟนอีกหรือ? หนุ่มน้อยคนนั้น ยังไม่มาชดใช้ให้หนูอีกหรือ? ”
หนุ่มน้อย? คำเรียกของคุณลุงคนนี้น่าสนใจเช่นนี้อยู่ เสมอ ถ้าคุณลุงรู้ว่าหนุ่มน้อยในคำพูดของเขาคนนี้แท้จริง แล้วเป็นนายกเทศมนตรีของเมืองเอสที่ใหญ่โตแห่งนี้ จะ ตอบสนองอย่างไรนะ?
พิมพ์ลดาคิดแล้ว มุมปากกลั้นรอยยิ้มเส้นหนึ่ง “ ยังเลย ค่ะ เขายังคิดว่าหนูกำลังสอเขาเล่น คุณลุง… ” ปกติพิมพ์ ลดาก็ไม่ใช่คนเปิดเผย แต่วันนี้เรียกรถติดต่อกันสองครั้ง ล้วนเจอคุณลุงคนนี้ เธอเหมือนจะปล่อยออกมาไม่น้อย “ คุณเคยโกหกคนรักมั้ยคะ? ”
” โกหกหรือ? เคยสิ! ” คุณลุงเหมือนจะตอบคําถามของ พิมพ์ลดาโดยไม่คิดเลยสักนิด เห็นพิมพ์ลดาตกใจจน ดวงตาคู่สวยที่เดิมทีก็กลมโตอยู่แล้วก็ยิ่งเบิกกว้างกว่าเดิม เขาจึงหัวเราะแล้วอธิบายว่า “ ภรรยาของฉันมักจะถามฉัน ว่าขับรถนานๆแบบนั้นทุกวันเหนื่อยมั้ย? ทุกครั้งฉันก็จะตอบ เธอว่าไม่เหนื่อย! แต่ในความเป็นจริงแล้ว มีใครบ้างที่ขับรถ ทั้งวัน ตอนกลางคืนยังต้องขับต่อจนถึงสี่ทุ่ม บางทีจนถึงตี สี่ตีห้าของอีกวันก็ยังขับอยู่ จะไม่เหนื่อยได้อย่างไรกัน? แม่สาวน้อย บางครั้ง คําโกหกเล็กๆน้อยๆที่ผู้ชายพูดกับหนูก็ เป็นความหวังดี ”
เดิมทีพิมพ์ลดาอยากจะพูดว่า ” แบบคุณลุงไม่ได้เรียกว่า โกหก เรียกว่ารัก แต่อาการของสามีหนู ไม่เหมือนคุณ ” แต่ คำพูดมาถึงข้างปากแล้ว เธอไม่พูดออกไปจะดีกว่า สำหรับ คนขับรถที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนคนหนึ่ง วันนี้เธอเหมือนจะ พูดมากไปหน่อยแล้ว
รถมาถึงชุมชนที่สะปันกับทินพลอาศัยอยู่แล้ว พิมพ์ลดา ถือกุญแจของสะปันลงไป เธอไม่ได้เคาะประตู ใช้กุญแจ เปิดประตูก็เดินเข้าไปทันที
“สะปัน ”
“ หม่ามี้! ”
ช่วงเวลานั้นตอนที่พิมพ์ลดาเปิดประตูบ้านของพวกเขา สองเสียงแทบจะดังขึ้นในเวลาเดียวกัน พอพิมพ์ลดาเปิด ประตู ก็เห็นหนูนาที่มาถึงปากประตู ยังมีทินพลที่ยืนอยู่ข้าง หลังเธอ
เห็นว่าคนที่มาคือพิมพ์ลดา หนูนาเหมือนจะผิดหวังเล็ก น้อย แต่ก็ยังไม่ลืมที่จะดึงชายกระโปรงของพิมพ์ลดาไว้ ถามว่า “ แม่เล็กคะ คุณรู้มั้ยว่าแม่ของหนูไปไหนแล้ว? ”
เห็นว่าในมือของพิมพ์ลดาถือกุญแจของสะปันไว้ ทิน พลรู้ว่าเธอต้องเจอตัวสะปันแล้วอย่างแน่นอน เขาเข้าไปจับไหล่พิมพ์ลดาไว้ “พิมพ์ลดา เธอบอกฉันมา สะปันอยู่ที่ไหน เธอบอกฉันมา…
พอพิมพ์ลดายกมือ พยายามจะสะบัดมือสองข้างที่จับตัว เองไว้ของทินพลออก เธอย่อตัวลงอุ้มหนูนาขึ้นมา หลังจาก นั้นก็เดินเข้าไปในห้องรับแขกโดยไม่สนใจทินพล
พิมพ์ลดาเห็นว่าในถาดวางบุหรี่บนโต๊ะน้ำชาในห้อง รับแขกมีก้นบุหรี่กองอยู่เต็มแล้ว ในจำนวนนั้นยังมีแท่งหนึ่ง เหมือนว่าจะสูบไปแค่นิดเดียว ตอนนี้ล้วนยังมีควันอ่อนๆโชย ออกมา คิดว่าน่าจะเป็นช่วงเวลานั้นตอนที่ทินพลได้ยินเสียง เปิดประตู ใช้มือขยี้จนดับแล้ว
อุ้มหนูนาไว้ในอ้อมอก พิมพ์ลดาปลอบเธอว่า “หนูนา เป็นเด็กดี ประเดี๋ยวแม่เล็กจะพาหนูไปหาหม่ามี้ ดีมั้ยคะ? ”
เมื่อครู่นี้ที่เห็นท่าทางของแด๊ดดี้กับแม่เล็ก หนูนาตกใจ เล็กน้อย เบะปากเล็กๆเหมือนเตรียมจะร้องไห้ลั่นดังแว๊ออก มาได้ทุกเมื่อ แต่ได้ยินแม่เล็กพูดว่าจะพาเธอไปหาหม่ามี้ เธอพยักหน้าอย่างรู้ความว่าง่ายจะดีกว่า เสียงเล็กๆก็ตอบ กลับอย่างน้อยใจว่า “ ค่ะ ”
ตอนที่เธอตื่นขึ้นมาในตอนเช้า หม่ามี้ก็ไม่อยู่แล้ว แด๊ดดี้ พูดว่าหม่ามี้ออกไปซื้อกับข้าว แต่ตอนนี้พระอาทิตย์ก็ใกล้จะ ตกดินแล้ว ทำไมหม่ามี้ถึงยังไม่ซื้อกับข้าวกลับมาอีกนะ?
แด๊ดดี้นั่งสูบบุหรี่บนโซฟาอยู่ตลอดเวลา เธอถามเขาว่า ทำไมหม่ามี้ถึงยังไม่กลับมา เขาก็ไม่สนใจเธอ เธอถามแล้วถามอีกจนไม่กล้าเข้าไปถามอีกแล้ว
แม้กระทั่งแดดดี้บ่งนมให้เธอแก้วหนึ่ง ก็ไม่เตรียมอาหาร ให้เธอ ก
ตอนที่พิมพ์ลดาเก็บเสื้อผ้าของสะปันกับหนูนาเสร็จแล้ว ก็ออกมา ทนพลก็ยืนมองเธออยู่ที่ปากประตูห้องรับแขก
” พิมพ์ลดา ” ตอนที่พิมพ์ลดาเดินไปถึงปากประตู เขาดึง เธอไว้ “ ถึงเธอจะไม่บอกฉันว่าสะปันอยู่ที่ไหนก็ไม่สำคัญ ฉันจะให้เธออยู่เงียบๆคนเดียวไปก่อนก็ได้ แต่ เธอช่วย เกลี้ยกล่อมสะปันให้ฉันหน่อยได้มั้ย ช่วยบอกเธอว่า ฉัน สํานึกผิดแล้ว ฉันสำนึกผิดแล้วจริงๆ