“ข้ารู้ว่าเจ้าไม่มีความคิดสังหาร ไม่อย่างนั้นข้าคงสังหารเจ้าตั้งนานแล้ว ทว่าคนเช่นเจ้านี้อยู่ข้างกายเหอหว่านดูมิใช่ด้วยเจตนาดี เหอหว่านบริสุทธิ์เกินไป ไม่ควรได้รับผลกระทบจากพวกเจ้า” เขาเอ่ยกับจิ่งเหิงปัวราวกับว่ากำลังปรึกษาหารือว่า “ข้าตัดสินใจจะส่งเจ้าออกไป”
“ส่งไปที่ใด”
“ให้เฟยหลัว”
จิ่งเหิงปัวอดกลั้นความปรารถนาจะเงยหน้าทันที รักษาสีหน้าไม่ให้เปลี่ยนแปลง
“เจ้าดูท่าทางคล้ายอย่างไรก็ได้” ยงซีเจิ้งยังคงมีน้ำเสียงราบเรียบคล้ายเชื่อข้อวินิจฉัยของตนเองเสมอ เอ่ยว่า “ทว่าลมหายใจของเจ้าปรากฏการเปลี่ยนแปลง”
จิ่งเหิงปัวตัดสินใจอย่างเงียบเชียบอยู่ในใจว่า คราวหน้านางต้องเรียนรู้วิธีควบคุมลมหายใจกับเจ็ดสังหารให้ได้
“ยามข้าไม่อาจแน่ใจในความเป็นมาของเจ้าและไม่อยากสร้างปัญหา ส่งเจ้าให้ศัตรูการเมืองของข้านั้นเป็นวิธีจัดการที่ถูกต้องที่สุด” เขาเอ่ยว่า “เจ้าปรากฏตัวข้างกายเหอหว่าน ย่อมต้องมีความเกี่ยวข้องกับเฟยหลัวเป็นแน่ ไม่ว่าเจ้าจะเป็นคนของเฟยหลัวหรือเป็นศัตรูของนาง ส่งเจ้าให้นางจะทำให้นางตื่นตระหนกว้าวุ่น เกิดปัญหาภายใน อย่างน้อยที่สุดเรื่องราวที่นางคิดกระทำในงานเลี้ยงวันพรุ่งนี้อาจจะได้รับผลกระทบไปด้วย”
เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงสุขุม แต่ละคำทรงพลัง แม้เป็นศัตรูกันแต่จิ่งเหิงปัวอดจะแอบชื่นชมด้วยไม่ได้ นอกจากหลายคนนั้นในตี้เกอแล้ว ยงซีเจิ้งคือคนเก่งที่ใจเย็นและมีแนวคิดชัดเจนที่สุดเท่าที่นางเคยพบเห็น คนคนนี้เป็นรองเสนาได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ทำให้เฟยหลัวรู้สึกดั่งเผชิญศัตรูตัวฉกาจ ไม่ได้พึ่งพาอาศัยเพียงแค่ภูมิหลังของตระกูลเท่านั้น
“เหอหว่าน! เหอหว่าน! รีบมาช่วยข้าเร็ว! สามีเจ้าจะสังหารข้าแล้ว!” นางโก่งคอร้องตะโกนขึ้นมาทันที
ยงซีเจิ้งไม่ได้ขัดขวางนาง มองดูนางด้วยความสนใจไม่น้อย
ภายในตำหนักไร้ซึ่งความเคลื่อนไหว ไม่ต้องเอ่ยถึงเหอหว่าน แม้แต่นางกำนัลสักคนยังไม่โผล่หน้าออกมาดู
“ข้ากดจุดนอนหลับของเหอหว่านแล้ว พรุ่งนี้นางจะเหน็ดเหนื่อยยิ่งนัก วันนี้ควรพักผ่อนให้เต็มที่” ยงซีเจิ้งยิ้มแย้ม เอ่ยว่า “ส่วนนางกำนัล ขอเพียงข้ายังอยู่ย่อมไม่ต้องการผู้อื่น”
จิ่งเหิงปัวสูดหายใจเฮือกหนึ่ง…นางเกลียดผู้ชายเผด็จการกุมอำนาจพวกนี้!
นึกว่าการจัดการของพวกเขาคือโองการศักดิ์สิทธิ์ ผู้หญิงควรจะยอมตามใจอย่างนั้นเหรอ?
นางตัดสินใจแล้วว่าจะต้องช่วยให้น้าชายกับหลานสาวได้ครองคู่กันให้ได้
“ข้าคงถูกเจ้าพาออกไปด้วยสภาพเช่นนี้ไม่ได้กระมัง เจ้าไม่กลัวว่าผู้อื่นจะเข้าใจเจ้าผิดหรือ?” นางชี้ไปยังเสื้อนอกบนร่างกายของตนเอง
ยงซีเจิ้งไม่ยอมให้โอกาสนางได้เข้าตำหนักอย่างที่คิดไว้ ซ้ำยังไม่ยอมห่างจากนาง เอ่ยว่า “ข้าสั่งให้คนนำอาภรณ์ของเจ้าออกมาแล้ว”
จิ่งเหิงปัวไม่รีบร้อนเช่นกัน ขอแค่เสื้อผ้าเข้ามาใกล้นางได้ นางย่อมมีวิธีนำยาออกมาเสมอ
ยงซีเจิ้งปรบมือให้ภายในตำหนัก ผ่านไปชั่วครู่ บุรุษท่าทางเฉกเช่นขันทีผู้หนึ่งก้าวออกมาอย่างเชื่องช้า ยืนอยู่ปากประตูตำหนัก โค้งกายให้ยงซีเจิ้งเล็กน้อย
จิ่งเหิงปัวใจเต้นรัวทันที
คนคนนั้น…
แม้เขาจะหดไหล่ก้มหน้าตามความเคยชินเสมือนนางกำนัลขันทีทุกคน แต่ท่วงท่าของเขาคล้ายแข็งทื่อเล็กน้อย ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือชั่วพริบตาที่เขาปรากฏกายตรงปากประตูตำหนักนั้น ยงซีเจิ้งหันหลังให้ปากประตูตำหนักไม่ได้หันหน้ากลับมา นางมองเห็นท่วงท่าตอนเขาปรากฏตัวแวบหนึ่ง
หลังตั้งตรง นิ่งเงียบและสุขุม เมื่อเงาร่างชุดครามของเขาพลันปรากฏขึ้นจากปากประตูตำหนักที่มืดมิด ท่ามกลางความเลือนรางนี้นางรู้สึกว่าฝุ่นคล้ำเกรอะกรังของความทรงจำหลุดลอกเช่นกัน ทับซ้อนเงาร่างนี้กับเงาร่างใดเงาร่างหนึ่ง
ทว่าความรู้สึกนี้เพียงแค่พริบตาเดียว
จากนั้นท่วงท่าของขันทีที่โน้มตัวก้มลงอย่างถ่อมตนนั้นทำให้นางรู้สึกตัวขึ้นมา อดจะหัวเราะเยาะเสียดสีตนเองจากก้นบึ้งของหัวใจไม่ได้
มองเห็นใครก็เหมือนเขาไปเสียหมด!
หยุดเลยนะ!
ยงซีเจิ้งไม่ได้มองขันทีผู้นี้แม้เพียงปราดเดียว แต่เดิมคนเช่นเขานี้จะไม่ทอดสายตาลงบนร่างกายของผู้ต่ำต้อยอยู่แล้ว
“นำอาภรณ์ของแม่นางคนนี้ออกมาแล้วช่วยนางสวมใส่” เขาเอ่ย
ขันทีโค้งกายขานรับ หันหลังกลับสู่ตำหนัก ผ่านไปครู่หนึ่งจึงหยิบเสื้อผ้าของจิ่งเหิงปัวออกมา
ยงซีเจิ้งยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน จิ่งเหิงปัวมองดูเสื้อผ้าแล้วมองดูเขา ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “เจ้าจะมองดูผู้อื่นนอกจากคู่หมั้นของเจ้าเปลี่ยนอาภรณ์หรือ?”
คราวนี้ยงซีเจิ้งถึงได้หันหน้าไป ทว่ายังเอ่ยว่า “อย่าคิดเล่นลูกไม้ ความอดทนของข้าแปรเปลี่ยนง่ายดายนัก”
จิ่งเหิงปัวกล่าวพลางหายใจหอบฮืดฮาด “เจ้าระวังไว้เถิด ไม่แน่ว่าประเดี๋ยวข้าจะมอบฝ่ามือฟ้าดินแปดทิศให้เจ้า”
ยงซีเจิ้งเพียงหัวเราะเล็กน้อย สตรีตรงหน้ามีหน้าผากเขียวคล้ำ สีหน้าซีดเผือด เพียงมองดูก็รู้ว่าพิษร้ายกำลังกำเริบ กระทั่งยกนิ้วมือขึ้นก็ยังลำบาก ทว่ายังปากแข็ง
เพียงความเยือกเย็นส่วนนี้ก็รู้ว่าไม่ใช่บุคคลธรรมดา
ด้วยเหตุนี้เขายิ่งไม่ยอมจากไป เพียงเอียงศีรษะเล็กน้อย แสงหางตากวาดผ่านทั่วทั้งภายในภายนอกตำหนัก
ด้วยเพราะจิ่งเหิงปัวนั่งขัดสมาธิอยู่ ขันทีอ่อนวัยคนนั้นจึงคุกเข่าลงตรงหน้าจิ่งเหิงปัว
ภายใต้แสงจันทร์นั้น เขามีหน้าตาธรรมดา หลุบดวงตาลงต่ำคล้ายไม่กล้ามองจิ่งเหิงปัว
“ข้าไม่มีแรง” จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “เจ้าช่วยข้าคลุมหน่อยเถิด”
ขันทีชะงักเล็กน้อย ก่อนจะคว้าเสื้อนอกขึ้นมาคลุมให้นางอย่างแผ่วเบา
เขาลงมือแผ่วเบาแคล่วคล่องคล้ายทะนุถนอมยิ่งนัก ระหว่างนิ้วมืออบอวลด้วยกลิ่นหอมอบอุ่น จิ่งเหิงปัวหลุบตาลง มองเห็นนิ้วมือสีขาวราวหิมะของเขาทอดลงข้างลำคอของตนเองอย่างเชื่องช้า จัดระเบียบคอเสื้ออย่างพิถีพิถัน ในใจพลันท่วมท้นด้วยความโศกเศร้าเจือจาง
ท่วงท่าแบบนี้เรียกว่าอ่อนโยน
พอนึกแล้วยังรู้สึกว่าน่าหัวเราะ ตนเองมีชีวิตอยู่มายี่สิบปี เคยพบเจออารมณ์หลายหลาก อบอุ่นดุจเพลิงหรือหนาวเหน็บดั่งน้ำแข็ง ทว่าการถูกปฏิบัติอย่างอ่อนโยนปานนี้คล้ายเป็นครั้งแรก
พริบตาหนึ่งนี้ท่วงท่านุ่มนวลดุจสายลมพัดผ่านเกิดระลอกคลื่นขจัดข้อสงสัยสุดท้ายในใจนางจนสิ้น
คนคนนั้นเท่าที่นางรู้จัก เป็นดั่งจันทร์กลางนภาเหนือหิมะบนยอดเขา ไร้สาดส่องแสงเรืองรองสู่โลกมนุษย์
อีกทั้งเล็บของคนคนนี้แดงซ่านเล็กน้อย ไม่ใช่เขา
นางถอนหายใจออกมา รู้สึกว่าตนเองป่วยหนักมากแล้ว มองอะไรก็สงสัยไปเสียหมด ไม่รู้จักพัฒนาขนาดนี้ได้อย่างไร?
นางถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ตั้งใจมองการกระทำของขันที เขากำลังหยิบเข็มขัดขึ้นมา
ยาถอนพิษอยู่ในเข็มขัดนั่นเอง
จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้มมองดูเขา สองมือวางไว้บริเวณเอวคล้ายกำลังรอคอยความช่วยเหลือของเขา
แหวนทองแดงประดับพลอยไพฑูรย์บนนิ้วมือนางส่องแสงรุ่งโรจน์วูบไหว
ขันทีหยิบเข็มขัดเข้าใกล้นาง ชะงักไปเล็กน้อยคล้ายมองเห็นแหวนของนาง
จิ่งเหิงปัวใจเต้นรัว…เจ้าคนนี้พบอะไรเข้าแล้วหรือเปล่า?
ทว่าหลังจากชะงักไปเล็กน้อย การกระทำของขันทีผู้นั้นก็ฟื้นคืนสู่ความปกติ สองมือหยิบเข็มขัดประชิดใกล้เข้ามา
การคาดเข็มขัดคือท่วงท่าใกล้ชิด เรือนร่างเขาโน้มลงไปข้างหน้า สองมือโอบล้อมอยู่ข้างหลังนาง กลิ่นหอมเจือจางอบอุ่นหอบหนึ่งพวยพุ่งเข้ามา นางยากจะจินตนาการได้ว่าบนร่างกายของขันทีคนหนึ่งจะมีกลิ่นหอมสูงส่งงดงามสะกดผู้คนขนาดนี้ด้วย
ผมยาวของเขาโปรยสยายบนไหล่นาง เส้นผมนุ่มลื่นปานแพรต่วน
ปลายจมูกของจิ่งเหิงปัวถูกผมของเขาแหย่จนคันยุบยิบแต่ไม่กล้าจาม แหวนในมือหมุนเพียงครั้ง หนามลับหนามหนึ่งโผล่ออกมา
แหวนวงนี้มีกลไกสามแบบ หนามนี้เป็นหนึ่งในสามแบบนั้น หนามลับบรรจุยาที่ทำให้เหน็บชา
ยงซีเจิ้งไม่ยอมเข้าใกล้จิ่งเหิงปัว จิ่งเหิงปัวจึงได้แต่ลงมือกับขันทีคนนี้ ทำให้เขาแข็งทื่อแล้วแย่งชิงยาถอนพิษ ซ้ำยังถือโอกาสขยี้ยาเม็ดป้องกันตนเองในเข็มขัดที่อีชีมอบให้นางจนแหลกละเอียดได้ หลังขยี้ยาเม็ดจนแหลกละเอียดแล้วจะมีหมอกพิษกระจายออกมาขัดขวางยงซีเจิ้งไว้ได้ครู่หนึ่ง ภายในพริบตาหนึ่งนี้ นางก็จะกินยาบรรเทาพิษแล้วหายตัวทำร้ายเขาได้
ขณะนี้ทั้งสองคนอยู่ใกล้ชิดกันมาก แผ่นหลังของขันทียังช่วยนางบดบังสายตาของยงซีเจิ้งไว้ด้วย นับเป็นโอกาสดีในการลงมือ
หนามลับเวียนวนกำลังจะพุ่งออกไป!
ยงซีเจิ้งพลันเอ่ยว่า “เจ้าเล่นละครเสร็จหรือยัง?”
จิ่งเหิงปัวชะงักแต่มือยังไม่หยุดขยับเขยื้อน นางสังหรณ์ว่าเขาไม่ได้เอ่ยวาจานี้กับนาง!
ในเวลาเดียวกัน ขันทีผู้นั้นก็พลันเบี่ยงเอวครั้งหนึ่ง หลบหลีกหนามลับของนางได้โดยบังเอิญ จากนั้นเขาจับไหล่ของนางล้มคว่ำลงไปข้างหลัง!
พลั่ก! เสียงหนึ่งดังสนั่น ฝ่ามือหนึ่งของยงซีเจิ้งกระแทกลงบนตำแหน่งที่จิ่งเหิงปัวนั่งอยู่เมื่อครู่พอดี หลงเหลือรอยฝ่ามือหนักหน่วงรอยหนึ่งไว้!