การร่นถอยครั้งนั้นทั้งฝืนแรงทั้งแข็งทื่อ เปี่ยมด้วยความไม่สบอารมณ์ ดูท่าทางไม่คล้ายอยากถอยด้วยตนเอง แต่คล้ายเป็นความรู้สึกที่ถูกสิ่งของอะไรสักอย่างฝืนกระชากไป
สัตว์ประหลาดส่งเสียงคำรามออกมาอย่างต่อเนื่อง ภายในเสียงเต็มไปด้วยความโกรธแค้นไม่พอใจ ดูท่าทางการร่นถอยครั้งนี้ไม่ใช่สิ่งที่มันต้องการ ทว่ากลับไม่อาจต่อต้านคำสั่งเบื้องหลังได้ โคลนมัวสลัวเลือนรางกลุ่มหนึ่งนั้นถอยหลังอย่างรวดเร็ว ร่วงหล่น และหายไปกลางผิวบึงโคลน มองเห็นเพียงร่องน้ำบนบึงโคลนที่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว สูญสลายหายไปในส่วนลึกของความมืดมิด
ของสิ่งนี้มาอย่างแปลกประหลาด หายไปอย่างพิลึกพิลั่น ส่วนลึกมืดมิดของบึงโคลนมีอันตรายมากยิ่งขึ้น ทุกคนไม่อยากไล่ตามอีกแล้วเช่นกัน เทียนชี่พาจิ่งเหิงปัวเหยียบย่ำแผ่นไม้ที่ชาวบ้านโยนออกมาอย่างต่อเนื่องกลับสู่ริมฝั่ง เหยียลี่ว์ฉีนั่งปรับปราณอยู่ริมฝั่งแล้ว
จิ่งเหิงปัวเป่าปากออกมาครั้งหนึ่ง เฟยเฟยมุดออกมาจากส่วนลึกของความมืดมิด สัตว์ประหลาดน้อยไม่เคยเสียเปรียบขนาดนี้มาก่อน มันโมโหจนดวงตากลมโตกะพริบรวดเร็วขึ้นหลายเท่า จิ่งเหิงปัวตรวจดูบนร่างกายของมันแล้วพบว่าขนหนานุ่มบนร่างกายของสัตว์ประหลาดน้อยหายไปหลายหย่อม ดูท่าทางคล้ายเป็นกลากเกลื้อนขนร่วงครึ่งหนึ่ง เจ้าหมาโง่หัวเราะก๊ากๆ ดังลั่นอยู่อีกฝั่ง ก่อนจะถูกเฟยเฟยตบคว่ำลงกลางโคลนเลนในฝ่ามือเดียว
จิ่งเหิงปัวอุ้มเฟยเฟยไว้พลางหวีขนให้มัน ถอนขนของมันออกมากะทันหัน ลูบเส้นไหมสีแดงเบาบางเส้นหนึ่งออกมาจากข้างในนั้น นางอุ้มเฟยเฟยขึ้นมาดมกลิ่น ได้กลิ่นหอมกรุ่นหอบหนึ่งอย่างเลือนราง
บึงโคลนเป็นดินเลนทั้งนั้น เหม็นจนดมกลิ่นไม่ได้ แล้วกลิ่นหอมมาจากไหน?
บนฝั่งมีสัตว์หาทองตัวใหญ่ตัวเล็กสิบกว่าตัวกองอยู่ เหล่าชาวบ้านยิ้มแย้มเบิกบาน เช็ดไม้เช็ดมืออยากขอพวกมันจากจิ่งเหิงปัวทว่าไม่กล้าเอ่ยปาก จิ่งเหิงปัวโยนออกไปตัวหนึ่ง กล่าวว่า “หาบ้านหลังที่ดีที่สุด ห้องเยอะที่สุด จัดเตรียมอาหารและห้องพักให้พวกเราอย่างเต็มที่ อย่าได้คิดจะเล่นลูกไม้อีก ความอดทนของพี่มีขีดจำกัด”
“จะเล่นลูกไม้ได้อย่างไรเล่าๆ” ตาแก่คนนั้นรับไว้อย่างตื่นเต้นดีใจ สั่งให้คนไปจัดเตรียมห้องพักหลายครั้งหลายคราว จิ่งเหิงปัวฉวยมือโยนออกไปอีกตัวหนึ่ง กล่าวว่า “อีกตัวหนึ่ง พวกเจ้าตอบคำถามข้าหนึ่งข้อ”
“แม่นางเชิญเอ่ย เชิญเอ่ยเถิด” ตาแก่ดีใจจนออกนอกหน้า
“สัตว์หาทองตัวน้อยไม่ได้น่ากลัวเฉกเช่นที่พวกเจ้าเอ่ยไว้ อีกทั้งไม่แน่ว่าพวกมันจะต้องการเนื้อมนุษย์ด้วย พวกเจ้าคงต้องการมนุษย์เพื่อเป็นเครื่องสังเวยสัตว์ประหลาดที่อยู่ภายในส่วนลึกของบึงโคลนตัวนั้นกระมัง?” จิ่งเหิงปัวจิ้มจมูกของตาแก่ คล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม กล่าวต่อไปว่า “สิ่งนั้นเป็นสิ่งใด เอาไว้ทำอะไร ข้ารู้สึกว่ามันคล้ายถูกคนควบคุมไว้ บุคคลเช่นใดกันที่สามารถบังคับสิ่งนี้ได้ พวกเขาดักซุ่มอยู่ที่ใด”
เจ็ดสังหารกับเทียนชี่ฟังแล้วปากอ้าตาค้าง เทียนชี่เกาศีรษะ เอ่ยว่า “เอ๊ะ เหตุใดแต่ก่อนถึงไม่ได้รู้สึกว่าสมองของนางใช้ได้ดีขนาดนี้เล่า? เพียงพริบตาเดียวทำไมถึงนึกได้มากมายขนาดนั้น?”
เหยียลี่ว์ฉีที่ปรับปราณอยู่ลืมตาขึ้น มองจิ่งเหิงปัวปราดหนึ่ง สายตาชื่นชมเล็กน้อย ซ้ำยังกลัดกลุ้มเจือจาง
หลุดพ้นพันธนาการ แผ่สยายปีกกว้าง นางเบิกดวงเนตรที่เฉียบคมเป็นที่สุด ก้มมองฝุ่นธุลีเล็กน้อยบนโลกมนุษย์จนได้
วันหนึ่งนี้มาถึงได้รวดเร็วยิ่งนัก รวดเร็วจนแม้แต่เขาเองยังรู้สึกผิดหวังอยู่รางๆ หากวันหนึ่งนางเติบโตอย่างรวดเร็ว พอถึงยามนั้นแล้ว พวกเขาอาจจะเป็นเพียงสายลมข้างหลังปีกของนาง พัดผ่านอย่างไร้ร่องรอย
ทว่าเรื่องนี้มีความเกี่ยวข้องอะไรเล่า? สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เขาอยากมองเห็นเช่นเดียวกัน
ดวงตากลมโตเฉิดฉายของจิ่งเหิงปัวจ้องมองตาแก่ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเขม็ง นางกำลังยิ้มแย้ม ทว่ายามมองด้วยสายตาของตาเฒ่าแล้ว รอยยิ้มนั้นงดงามจนกำจายไอดุร้ายดั่งกุหลาบงามยามเที่ยงคืน
ตาเฒ่าเข่าอ่อนยวบ คุกเข่าลงดังตุ้บอย่างควบคุมไม่ได้
เจ้าผู้ชราโขกศีรษะอยู่เนิ่นนานถึงเอ่ยวาจาชัดเจน การใช้มนุษย์เป็นเหยื่อล่อไม่ใช่ให้สัตว์หาทองกินจริงๆ อย่างที่คิดไว้ ส่วนลึกของบึงโคลนแห่งนี้มีสัตว์ยักษ์ สั่งให้สัตว์น้อยก่อกวนชาวบ้านขโมยเด็กได้ สัตว์น้อยเหล่านั้นถูกเจ้า ‘พี่ใหญ่’ ตัวนี้ปกป้องอย่างดียิ่งนัก ไปมาดุจสายลมจับมันไม่ได้ด้วยซ้ำ ด้วยเพราะข้างบนออกคำสั่งว่าต้องจับกุมสัตว์หาทองให้ได้ ฉะนั้นทุกคนได้แต่ใช้มนุษย์เป็นเหยื่อล่อด้วยความจำใจ เป้าหมายคือให้สัตว์ยักษ์ตัวนั้นมุ่งมั่นกินคน ทุกคนถึงจะใช้เวลาไปจับกุมสัตว์น้อยได้ ยามที่จิ่งเหิงปัวไถ่ถาม ตาแก่ก็มองออกว่าทุกคนมีวรยุทธ์สูงส่ง จึงตั้งใจหลอกลวงพวกเขาไปจับสัตว์ ฉะนั้นจึงจงใจปิดบังเรื่องส่วนลึกของบึงโคลนมีสัตว์ยักษ์กินคน
จิ่งเหิงปัวได้ฟังแล้วพลันเตะตาแก่ปลิ้นปล้อนคนนั้นออกไปในเท้าเดียว แน่ใจอีกครั้งว่าเผ่าพันธุ์ทรยศที่เลื่องชื่อในประวัติศาสตร์ไม่มีดีสักคนอย่างที่คิดไว้
“มือของเจ้าที่บาดเจ็บเป็นอย่างไรบ้าง” นางนึกถึงก่อนหน้านี้ที่เหยียลี่ว์ฉีช่วยนางดึงเส้นสีดำนั้นไว้ขึ้นมากะทันหัน เส้นบางขนาดนั้น พละกำลังมากมายขนาดนั้น คงต้องบาดมือจนเป็นแผลแน่นอน ได้ยินว่าทั่วร่างของสัตว์ยักษ์ตัวนี้มีพิษทั้งนั้น
“ไม่เป็นไร” เหยียลี่ว์ฉีลุกขึ้นยืน มองส่วนลึกของบึงโคลนปราดเดียว ยิ้มแย้มให้นาง แล้วเอ่ยว่า “กำจัดพิษแล้ว”
เขายิ้มแย้มขึ้นมาอย่างดงามเฉิดฉาย จิ่งเหิงปัวจ้องมองเขา ก่อนขยับเขยื้อนมุมปากยิ้มแย้มหยาดเยิ้มเช่นกัน
“เช่นนั้นก็รีบพักผ่อนเถิด พรุ่งนี้พวกเรายังต้องเดินทางอีก ชาวบ้านที่นี่นิสัยแย่เหลือเกิน อยู่นานไม่ได้”
“ตกลง” เขาเอ่ยว่า “ดูใต้ตาเจ้าสิ ดำคล้ำหมดแล้ว รีบไปนอนเถิด”
“ราตรีสวัสดิ์ๆ” นางอุ้มเฟยเฟยพลางหิ้วเจ้าหมาโง่ หันหลังเดินกระแทกเท้าเหยียบย่ำไปทางห้องที่ชาวบ้านจัดเตรียมไว้ให้ ก่อนปิดประตูอย่างคล่องแคล่ว ดับตะเกียงแล้วนอนหลับ
พอไฟดับลงแล้ว ดวงตาคู่หนึ่งของนางก็เปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางความมืดมิด ไม่ยอมหลับลง
เจ็ดสังหารที่อยู่ข้างนอกส่งเสียงดังเอะอะ แย่งชิงห้องที่ดูท่าทางดีที่สุด ยื้อแย่งผ้าห่มกันไปกันมา เทียนชี่ผลักบานหน้าต่างออกแล้วก่นด่าเจ็ดสังหารว่าเสียงดังน่ารำคาญ จื่อหรุ่ยกับยงเสวี่ยทำขนมอยู่ในห้องครัว หวังจะให้เจ้าพวกคร่ำครวญว่าหิวโหยฝูงนั้นเงียบสงบหน่อย จิ่งเหิงปัวจะได้นอนหลับสนิท
เหยียลี่ว์ฉีกลับห้องนอนหลับอย่างเงียบเชียบเงียบสงบเฉกเช่นเดียวกับจิ่งเหิงปัวแล้ว จิ่งเหิงปัวมองเห็นตะเกียงฝั่งตรงข้ามมอดดับด้วยตาตนเอง
ผ่านไปสักพัก ทั้งลานบ้านก็เงียบสงบลง
ยามราตรีกำลังอบอวล
จิ่งเหิงปัวใช้มือหนึ่งอุ้มเฟยเฟยขึ้นมา กระซิบแผ่วเบาว่า “ไป พวกเราไปแก้แค้น”
เฟยเฟยกะพริบดวงตากลมโตอย่างรวดเร็ว
เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบวูบมาถึงหลังคาบ้านแล้ว นางหมอบอยู่อย่างเงียบเชียบพลางโคจรปราณตามวิธีฝึกหายใจเข้าออกที่อีชีสอน ทั่วทั้งร่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับความมืดมิด
อากาศหนาวเย็นอย่างยิ่ง นางกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย
หลังจากวันนั้น นางก็ไม่หวาดกลัวความหนาวอีกต่อไป เกิดความอดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่าง
ครู่หนึ่งนั้น บานหน้าต่างห้องของเหยียลี่ว์ฉีถูกผลักออกอย่างแผ่วเบา เงาคนสายหนึ่ง กะพริบวูบออกมาปานควันไฟ
จิ่งเหิงปัวตามไปด้วยทันที
เงาด้านหลังของเหยียลี่ว์ฉีที่อยู่ข้างหน้าไม่มั่นคงเล็กน้อย ความเร็วช้ากว่าธรรมดาด้วย ทว่าความระมัดระวังไม่ลดลง เหลียวหลังโดยพลันบ่อยครั้ง
เพียงแต่จิ่งเหิงปัวเองก็หายตัวได้รวดเร็วมากเช่นกัน
ทิศทางยังคงไปทางบึงโคลนจริงด้วย ทว่าไม่ได้เข้าบึงโคลน เหยียลี่ว์ฉีเดินอ้อมบึงโคลนรอบหนึ่ง เลียบตามทิศทางการไหลของบึงโคลน ตรงไปยังเทือกเขาที่อยู่ข้างหลัง
พอถึงข้างล่างเชิงเขา เขาก็ไม่ได้ขึ้นบนภูเขาแต่มองดูภูมิประเทศ ข้างล่างเชิงเขาเชื่อมกับบึงโคลนเลนหลายแห่ง บึงโคลนทั้งใหญ่ทั้งเล็กค่อยๆ ไหลสู่ซอกหินข้างล่างภูเขา จิ่งเหิงปัวคาดว่าภายในซอกหินสักแห่งมีทางออกอย่างแน่นอน แต่แห่งไหนกันแน่?
เหยียลี่ว์ฉียืนเอามือไพล่หลังอยู่บนโขดหิน ก้มหน้ามองบึงโคลนสีดำเทาที่ไหลเวียนเล็กน้อยเหล่านั้น
สายลมยามราตรีพัดผ่านเสื้อคลุมสีดำเหลือบเงินของเขา นัยน์ตาของลึกล้ำดุจหุบเหวตรงจุดสิ้นสุดความมืดมิด
จิ่งเหิงปัวหยุดอยู่หลังโขดหินแห่งหนึ่ง กลั้นหายใจไว้ มองดูบึงโคลนเหล่านั้นเช่นกัน
บึงโคลนแห่งหนึ่งในนั้นพลันสั่นสะเทือนเล็กน้อย พื้นผิวโคลนที่เงียบสงบผุดเผยคูน้ำเป็นทางยาว มุ่งสู่ข้างหน้าตลอดทาง
คล้ายว่ามีสิ่งของอะไรสักอย่างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วอยู่ภายใต้โคลน
เหยียลี่ว์ฉีเฉียดลงมาโดยพลัน เลียบตามคูน้ำสายหนึ่งนั้น ซุ่มซ่อนกลางพงหญ้า กะพริบวูบหายไป
จิ่งเหิงปัวหายตัวเข้าไปด้วย เบื้องหน้าคือกำแพงภูเขา มองไม่ออกด้วยซ้ำว่าเหยียลี่ว์ฉีหายไปจากตรงไหน ดูท่าทางถ้านางอยากหายตัวเข้าไป คงชนกำแพงภูเขาจนหัวร้างข้างแตกแน่นอน
เรือนร่างนางสั่นไหว
หายตัวเข้าไปโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
เสียง ฟิ้ว! ดังขึ้น วางเท้าลงบนพื้น ภายในกลวงอย่างที่คิดไว้
ภายในกลางภูเขาร่มเย็นอย่างยิ่ง ส่งกลิ่นบูดเน่าเฉพาะตัวของโคลนเลน กิ่งก้านสาขาของบึงโคลนเลนนับมิถ้วนสายไหลเข้ามาบรรจบกัน
ส่วนลึกกลางภูเขามีแสงไฟ
จุดสิ้นสุดแสงไฟ คนผู้หนึ่งหันหน้าให้บึงโคลนเลนแห่งหนึ่งภายในถ้ำ นางกำลังหวีผมเชื่องช้า
ผมยาวดำขลับแผ่สยายปานแพรต่วนพับหนึ่ง เรือนร่างด้านข้างยามโน้มกายของนางงดงาม นิ้วมือขาวราวหิมะ
แต่จิ่งเหิงปัวอยากอาเจียน
ตอนนี้นางมองเห็นผู้หญิงหวีผมแล้วอยากอาเจียน ซ้ำยังอยากต่อยอีกฝ่ายให้กระอักเลือด
สตรีนางนั้นเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้เหยียลี่ว์ฉีอย่างเชื่องช้า จักรวาลน้อยของจิ่งเหิงปัวลุกไหม้ขึ้นมาทันที
นางคือเฟยหลัว
ย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกหรอไม่พบพาน ยามได้มาไม่เสียเวลาเลยด้วยซ้ำ