เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] – ตอนที่ 16.2

ตอนที่ 16.2

เสียงฝีเท้าสับสนปนเปกัน ฟังแล้วจอแจท่ามกลางภูเขากว้างโล่ง ส่วนลึกของความมืดมิดมีคนเจ็ดถึงแปดคนเดินออกมา จิ่งเหิงปัวขมวดคิ้ว นึกไม่ถึงว่าจะมีคนแอบซ่อนอยู่เยอะแยะขนาดนั้น นางส่งสัญญาณมืออย่างเงียบเชียบ เฟยเฟยกระโจนขึ้นสู่เพดานถ้ำโดยไร้สรรพเสียง

 

 

“เหยียลี่ว์ฉี!” คนที่นำหน้าออกมาคือผู้ชราชุดแพรคนหนึ่ง รูปร่างผอมแห้ง ทว่าเอ่ยวาจาเต็มเรี่ยวเต็มแรงว่า “ข้าฟังเจ้ามานานแล้ว! ยามนี้เจ้าตาลายหูหนวกยิ่งขึ้นโดยแท้! ไม่อยู่คุ้มครองช่วยเหลือลูกหลานตระกูลเราในตี้เกอ ทว่าวิ่งแจ้นมาปกป้องนางปีศาจที่ถูกเนรเทศนั่นตลอดทาง! เจ้าเห็นตระกูลเป็นสิ่งใด! คุกเข่าลง!”

 

 

“เหยียลี่ว์ฉี เจ้ายังไม่รีบคุกเข่าลงคารวะท่านผู้ยิ่งใหญ่อีก!” อีกหลายคนทยอยตวาดออกมา

 

 

เฟยหลัวลุกขึ้นยืนอย่างสง่างาม จัดระเบียบสาบเสื้อ คารวะท่านผู้ยิ่งใหญ่คนนั้นด้วยท่าทางอ่อนช้อย ยืนอยู่ข้างหลังของเขา มุมปากผุดเผยรอยยิ้มลำพองใจเบาบาง

 

 

เหยียลี่ว์ฉีไม่ได้ขยับเขยื้อน

 

 

ภายใต้แสงไฟ ใบหน้าด้านข้างของเขาดุจรูปสลัก นัยน์ตาลึกล้ำ

 

 

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่น่าเกรงขามเช่นนี้ แต่เดิมข้าตกใจจนเข่าอ่อน แทบจะคุกเข่าลง” เขายิ้มบางพลางเอ่ยว่า “พลันนึกได้ว่าลูกหลานในตระกูลไร้ความผิด ไม่ต้องถูกห้องลงอาญาพิจารณาตัดสินโทษ เพื่อไม่ให้ท่านผู้ยิ่งใหญ่ละเมิดกฎเกณฑ์เสียเอง ละเว้นการคุกเข่านี้เสียดีกว่า”

 

 

“เหยียลี่ว์ฉี!” ผู้ชราคนนั้นโกรธแค้นมากยิ่งขึ้น แม้แต่หนวดเครายังคล้ายจะเหินว่อน ตะคอกว่า “เจ้ากล้าเอ่ยว่าเจ้าไร้ความผิดหรือ? เจ้ารักษาตำแหน่งราชครูฝ่ายซ้ายไว้ไม่ได้ย่อมมีความผิด! เจ้าไม่ได้อยู่ในตี้เกอหาทางช่วยเหลือลูกหลานตระกูลเหยียลี่ว์ที่อยู่ในนครหลวงย่อมมีความผิด! เจ้าปฏิเสธข้อตกลงร่วมมือกับเสนาหญิงเฟยหลัวย่อมมีความผิด! เจ้าได้แผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมมาครึ่งหนึ่งทว่ายังไม่ได้ส่งมอบให้ตระกูลจนบัดนี้ย่อมมีความผิด! เจ้าไม่ยอมไปสังหารนังสารเลวจิ่งเหิงปัวนั่น เจ้าย่อมมีความผิด!”

 

 

“ยามแรกพวกเจ้าเพียงเอ่ยไว้ว่าต้องการให้ข้ารักษาตำแหน่งราชครูฝ่ายซ้ายไว้ห้าปีพอแล้ว บัดนี้ครบกำหนดห้าปีแล้ว ข้ามีความผิดใดกัน?” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเย็นชาว่า “ลูกหลานตระกูลเหยียลี่ว์ที่อยู่ในนครหลวงได้รับโทษ ข้าเองก็เข้าคุกเช่นเดียวกัน โดดเดี่ยวเดียวดายยามออกนอกนคร ประตูเมืองปิดสนิท ข้าจะหาทางช่วยเหลือได้อย่างไร? เฟยหลัวไม่ใช่เสนาหญิงอีกแล้ว การร่วมมือกับสุนัขจรจัดตัวหนึ่งเป็นได้เพียงภาระพาให้เดือดร้อน เหตุใดข้าต้องร่วมมือกับสุนัขด้วย? ข้าไม่มีแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหม ต่อให้ข้าครอบครองมัน ตำราพยากรณ์ที่ทำลายแคว้นทำร้ายราษฎร์เช่นนี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ตระกูลเหยียลี่ว์คู่ควรได้อ่าน พวกเจ้าจงตัดใจเสียเถิด ส่วนเรื่องสังหารจิ่งเหิงปัว…” เขาหัวเราะอย่างเชื่องช้า เอ่ยสืบต่อว่า “เจ้ารับสินบนอะไรจากเฟยหลัวอีกแล้วสินะ ต้องเชื่อฟังนางเสี้ยมสอนให้สังหารผู้อื่นมั่วซั่ว? การสังหารจิ่งเหิงปัวเป็นประโยชน์อันใดต่อตระกูลเหยียลี่ว์หรือ?”

 

 

“เหยียลี่ว์ฉี! เจ้าบังอาจยิ่งนัก!” ผู้ชราคนนั้นโมโหจนหน้าออกสีม่วง เอ่ยว่า “เจ้ากล้าเอ่ยวาจากับข้าเช่นนี้!”

 

 

กลางหน้าผากของเหยียลี่ว์ฉีฉายแววเบื่อหน่ายท่วมท้น เกียจคร้านแม้แต่จะเอ่ยตอบแล้ว

 

 

“ผู้ชราซื่อสัตย์สุจริตชั่วชีวิต ไม่อาจถูกเจ้าใส่ร้ายป้ายสีตามใจชอบ!” ผู้ชราคนนั้นเอ่ยด้วยความเดือดดาลว่า “ร่วมมือกับเสนาหญิงคือสิ่งที่ตระกูลต้องการ! คือสิ่งที่ผู้นำตระกูลต้องการ! แม้เสนาหญิงจะสูญเสียอำนาจชั่วคราว แต่นางมีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเผ่าหวงจิน ยามนี้เสนาหญิงมีแผนการยอดเยี่ยม นางจะได้รับการสนับสนุนจากเผ่าหวงจิน รวมทั้งกำลังคนและทรัพย์สินส่วนใหญ่ส่วนหนึ่ง ช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้ ข้าไม่อนุญาตให้เจ้าดูหมิ่นเสนาหญิง ยิ่งไม่อนุญาตให้เจ้าฝ่าฝืนสิ่งที่เสนาหญิงต้องการ!”

 

 

“อ้อ? แผนการใดหรือ? เอ่ยให้ฟังสักหน่อย ข้าอาจจะเปลี่ยนความคิดได้” เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มคล้ายสนใจไม่เบา

 

 

“คุกเข่าฟัง!” ผู้ชรายังไม่หายโกรธเคือง

 

 

เหยียลี่ว์ฉีครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วคุกเข่าลงบนพื้นผิวขรุขระเย็นเยียบ แหงนหน้ายิ้มแย้ม เอ่ยว่า “น้อมรับบัญชา”

 

 

ในใจของจิ่งเหิงปัวสั่นสะท้าน นึกไม่ถึงเลยว่าเขาจะยอมคุกเข่าจริง

 

 

มองลักษณะท่าทางลำพองใจของทุกคนรอบด้านแล้ว คล้ายเรื่องแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว

 

 

ความโกรธเคืองของผู้ชรายังไม่สูญสลาย เขาลูบเคราด้วยความลำพองใจ เอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “แม้ยามนี้เจ้าแสดงความจริงใจออกมาจนได้ ทว่าคล้ายสายเกินไปหน่อย”

 

 

ทุกคนหัวเราะขึ้นมา

 

 

“ให้บอกไอ้เด็กใจดำเช่นเจ้าหรือ? หากเจ้าหันมาทรยศพวกเราจะทำอย่างไร?”

 

 

“เชื่อจริงด้วยหรือ ฮ่าๆ ไม่ได้คิดจะบอกเจ้าแต่แรกแล้วไอ้เด็กโง่!”

 

 

รอยยิ้มบนใบหน้าของเหยียลี่ว์ฉีค่อยๆ เยือกแข็ง บนดวงพักตร์ดุจดั่งหยกเปล่งประกายแสงเยือกเย็นเจือจาง

 

 

“โกรธข้าหรือ?” ผู้ชราคนนั้นเหลือบมองเขาปราดหนึ่ง สั่งสอนว่า “เจ้ามีคุณสมบัติใดมาโกรธเคืองผู้ชรากัน? ผู้ชรายังไม่โกรธเคืองเจ้าเลย! เจ้าอธิบายให้ผู้ชราฟังก่อนว่าเหตุใดจึงไม่ได้ทุ่มเทเรี่ยวแรงต่อสู้กับกงอิ้น เหตุใดจึงไม่ได้เคลื่อนพลเยียนซายามเกิดเหตุการณ์คืนนั้น เหตุใดจึงไม่ยอมสังหารจิ่งเหิงปัวซ้ำยังปกป้องนางอย่างเปิดเผย เจ้าอาศัยโอกาสนี้เนรเทศตนเองออกจากตี้เกอ คิดจะตัดสัมพันธ์กับตระกูลใช่หรือไม่?”

 

 

“ท่านผู้ยิ่งใหญ่ไม่ต้องถามหรอก” ผู้คนโดยรอบเอ่ยอย่างประหลาดว่า “ความจริงก็ชัดแจ้งอยู่แล้ว เขาอยากจะหลุดพ้นจากตระกูล เริ่มต้นตั้งตัวครั้งใหม่ น่าเสียดายที่ว่าเขาสายตาไม่ดี สวามิภักดิ์ต่อราชินี ซ้ำยังเป็นราชินีที่สูญเสียอำนาจถูกเนรเทศ และไม่รู้ว่าคุณชายเหยียลี่ว์ของพวกเรามุ่งหน้าพึ่งพาอาศัยราชินีเฮยสุ่ยด้วยเพราะคิดจะก่อตั้งราชอาณาจักรใหม่บนบึงโคลนเฮยสุ่ยหรือไม่? คิดจะตั้งนามราชอาณาจักรใหม่ว่าอะไรล่ะ? แคว้นเฮยสุ่ยหรือ? โอ้ ตำแหน่งราชครูคนแรกของแคว้นเฮยสุ่ยนี้ฟังดูแล้วน่าเกรงขามไม่น้อย ทว่าสถานที่เฉกเช่นลุ่มน้ำเฮยสุ่ยมีเพียงสัตว์พิษร้ายและคนเลวทราม พอถึงยามนั้นจะให้เฮยชือเป็นเสนาบดี พวกโจรขโมยเป็นผู้บัญชาการหรือ? ฮ่าๆๆ…”

 

 

ทุกคนหัวเราะลั่นโดยพร้อมเพรียง เสียงกระจัดกระจายสะท้อนบนผนังถ้ำทั่วทิศ เสียงคำว่า “เฮยสุ่ยๆๆ” ดังก้องทั่วถ้ำ น้ำที่ไหลซึมออกมาจากบนผนังถ้ำสั่นสะเทือนร่วงหล่นเต็มศีรษะของทุกคนดังซ่าๆ

 

 

เหยียลี่ว์ฉีไม่เอ่ยวาจาแม้เพียงคำเดียว มือข้างหนึ่งค้ำยันพื้นหวังลุกขึ้น จิ่งเหิงปัวสังเกตเห็นว่ามือที่โดนพิษของเขาถูกแขนเสื้อปกคลุมอีกครั้งแล้ว

 

 

“ห้ามลุกขึ้น!” ผู้ชราคนนั้นตะคอกด้วยเสียงเย็นชาว่า “คุกเข่าพิจารณาตนเอง!”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีได้ยินทว่ามิได้ใส่ใจ ลุกขึ้นต่อไป

 

 

ในแววตาของผู้ชรามีแสงเหน็บหนาวสายหนึ่งกะพริบวูบ ยกมือโยนของสิ่งหนึ่งมาให้โดยพลัน เอ่ยว่า “คนทรยศหัวรั้น! เจ้ากล้าลุกขึ้นหรือ? จงดูว่าสิ่งนี้คือสิ่งใด!”

 

 

พอเหยียลี่ว์ฉีก้มหน้า ทั่วร่างแข็งทื่อ

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นหลังมือของเขาพลันมีเส้นเลือดปูดโปนอย่างชัดเจน!

 

 

หลังจากแข็งทื่อพริบตาหนึ่ง จากนั้นก็สั่นเทิ้ม ยิ่งสั่นเทิ้มยิ่งรุนแรง จนทำให้จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงฟันของเขาที่กระทบกันเล็กน้อยด้วยเพราะความโกรธแค้นเลือนราง

 

 

ในใจของนางเกร็งแน่น รู้สึกไม่ดีอย่างไม่ทราบสาเหตุ ซ้ำยังรู้สึกงงงวยด้วย…เหยียลี่ว์ฉีอดทนอดกลั้น รู้ก้าวรู้ถอย เมื่อครู่ยังคุกเข่าลงได้ ถูกหมิ่นเกียรติเย้ยหยันขนาดนั้นยังยิ้มแย้มแล้วปล่อยผ่านได้ รู้จักเขามานานขนาดนี้ แม้เห็นเขายอมถอยพ่ายแพ้หลายครั้ง แต่นางยังไม่เคยเห็นเขาเศร้าซึมเสียกิริยาเลยสักครั้ง นับเป็นคนที่มีจิตใจแข็งแกร่งอย่างแท้จริง

 

 

เป็นความกระทบกระเทือนมหาศาลขนาดไหนกัน ที่ทำให้เขาเจ็บปวดทรมานแบบนี้ได้?

 

 

“ตระกูลปล่อยโจรทรยศไว้ไม่ได้! ย่อมมีวิธีการลงโทษ!” ผู้ชราตะโกนลั่นว่า “เจ้าผิดพลั้งก้าวพลาดก้าวหนึ่ง ข้าจะตัดนิ้วมือของเหยียลี่ว์สวินหรูนิ้วหนึ่ง! ยามนี้เจ้ากล้าลุกขึ้น ผู้ชราจะออกคำสั่งให้ตัดนิ้วที่สอง!”

 

 

เรือนร่างของเหยียลี่ว์ฉีสั่นสะท้าน คุกเข่าลงดังพลั่ก เข่าสัมผัสพื้นดังครืด บนพื้นมีเศษหินนับมิถ้วน เห็นได้ว่าการคุกเข่าครั้งหนึ่งนี้ เข่าถลอกปอกเปิกแล้วเป็นแน่

 

 

ทว่าเขาดั่งคล้ายไม่มีความรู้สึก สองมือค้ำยันพื้น ก้มหน้ามองดูสิ่งของเบื้องหน้า มือที่ค้ำยันพื้นกำลังสั่นเทา

 

 

จิ่งเหิงปัวพยายามใช้สายตาเพ่งมอง เห็นแค่เงาซีดขาวเล็กน้อย นี่มัน…นิ้วมือเหรอ?

 

 

สวินหรูเหรอ?

 

 

ชื่อนี้ฟังดูคุ้นหู นางครุ่นคิดโดยละเอียดอยู่ชั่วครู่ เหมือนว่าเหยียลี่ว์ฉีเคยเอ่ยไว้?

 

 

“โกรธแค้นเหลือเกินที่พี่สวินหรูประสบเคราะห์ร้ายด้วยเพราะเจ้า…”

 

 

นางคือพี่สาวของเขาหรือ?

 

 

“เจ้าจะยอมหรือไม่! จะเชื่อฟังหรือไม่!” ผู้ชราตวาดให้เอ่ยตอบว่า “เจ้ากล้าเอ่ยว่าจะไม่เชื่อฟังคำสั่งของตระกูลอีกหรือไม่?”

 

 

เหยียลี่ว์ฉีเงยหน้าขึ้นมา

 

 

เพียงพริบตาเดียวนี้ หน้าผากของเขาก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อแล้ว ผมดำขลับแนบอยู่บนแก้มขาวราวหยก สีสันตัดกันจนทำให้คนอกสั่นขวัญหาย

 

 

“พวกเจ้า…” เสียงของเขาไม่เฉื่อยเนือยเฉกเช่นก่อนหน้านี้อีกแล้ว แต่ละคำน่าครั่นคร้าม เอ่ยว่า “ทำร้ายสวินหรู…”

 

 

“เจ้าคิดจะทำอย่างไร?” ผู้ชราถอยหลังก้าวหนึ่งอย่างระมัดระวัง เอ่ยว่า “เหยียลี่ว์ฉี เจ้ามีวรยุทธ์สูงส่ง จิตใจคิดทรยศ ทว่าผู้ชราเตือนเจ้า อย่าได้หลงผิดคิดกระทำเรื่องราวที่ทำให้ตนเองเสียใจในภายหลัง! วันนี้พวกข้าเดินทางมาด้วยเพราะได้รับเจตนารมณ์จากตระกูล หากเจ้ากล้าลงมือจัดการพวกเรา พวกเราจะจุดดอกไม้ไฟ สวินหรูจะถูกประหารชีวิตโดยพลัน”

 

 

“ต่อให้พวกเราจุดดอกไม้ไฟไม่ได้” อีกคนหนึ่งขานรับอย่างโหดเ**้ยมว่า “หากพวกเราไม่กลับไปภายในคืนนี้ พรุ่งนี้นังสารเลวสวินหรูนั่นจะถูกประหารชีวิตเช่นเดียวกัน!”

 

 

“คราวนี้ตระกูลส่งคนมาในเมืองมากมายนัก ไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดแม้เพียงเศษเสี้ยว หากพวกเราเกิดความผิดปกติอันใด สวินหรูจะต้องถูกประหารชีวิต!”

 

 

“เหยียลี่ว์ฉี!” ผู้ชราตะโกนก้อง โยนยาเม็ดหนึ่งออกมา ร้องว่า “กินเข้าไป! จากนั้นกลับไปอยู่ข้างกายจิ่งเหิงปัว! สังหารนางภายในคืนนี้! มิฉะนั้นเจ้าจะไม่ได้พบเจอพี่สาวตาบอดนางนั้นของเจ้าอีกเลย!”

 

 

“กินเข้าไป!”

 

 

“กินเดี๋ยวนี้!”

 

 

แสงไฟสะท้อนเงาดำใหญ่กว้างบนกำแพงภูเขากลายเป็นกลุ่มเงาดุร้ายขนาดมหึมา ถือมีดคมกวัดแกว่งอย่างโหดเ**้ยม ไล่ต้อนมาทางเงาร่างที่ใช้สองมือค้ำยันพื้นสั่นเทิ้มเล็กน้อยตรงกลาง…

 

 

เสียงตะคอกสาดซัด น้ำไหลซึมจากบนกำแพงภูเขาพวยพุ่งไหลรินรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

 

 

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

Status: Ongoing

ยามนั้น อสนีเปรี้ยงเวหา พสุธายุบหลุมลี้ เพชรพลอยเกลื่อนธรณี เกิดจานเหินที่กลางอากาศ มีนารีนางหนึ่งจักกำเนิดตนจากฟ้าถล่มดินทลาย…กลายเป็นราชินีแห่งต้าฮวง!

คำทำนายจากสรวงสวรรค์ ก่อกำเนิดเป็นความอัศจรรย์จากฟากฟ้า นำพาให้ จิ่งเหิงปัว หญิงสาวจากศตวรรษที่ 21 ผู้เลอเลิศในปฐพี (?) ต้องตกอยู่ในสถานะราชินีแห่งลุ่มแม่น้ำต้าฮวงด้วยความจำยอม… แต่ใครเล่าจะรู้ว่าตำแหน่งราชินีสูงส่งที่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่นพัน จะกลายเป็นเพียง ‘ตำแหน่ง’ กันชนเพื่อการช่วงชิงอำนาจระหว่างราชครูฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย…

หากนางรู้ว่า ตำแหน่งราชินีที่นาง ‘จำยอม’ รับมาด้วยความสุข จะเป็นเพียงแค่หมากเกมหนึ่งในกระดานของชายหนุ่มทั้งสอง…ครานั้นนางจะทำอย่างไรดีเล่า

“หนีสิโว้ยยย!”

“กระหม่อมอนุญาตให้พระองค์หนีสามครา ฝ่าบาท”

Show less 

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท