ครู่ต่อมา นางอยู่ภายในเกี้ยวอันอบอุ่น ยามมุ่งไปทางตำหนักของตนเอง ในใจยังคงมึนงงเคลิบเคลิ้ม
บังเอิญพบกันกลางสายลมหิมะ เรื่องราวกลายเป็นเช่นนี้ นางรู้สึกว่าสมองตนเองคล้ายเริ่มวิงเวียนอีกครั้ง ในใจแอบรู้สึกว่าไม่เหมาะสม ทว่ากลับปฏิบัติตามคำสั่งเขาอย่างควบคุมไม่ได้
ผู้คนทางตำหนักบรรทมนั้นได้ยินข่าว ก็เปิดประตูใหญ่ออกกว้างตั้งนานแล้ว แสงไฟสว่างเจิดจ้า ชาววังทุกคนรอคอยอยู่ที่ปากประตู ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่นางได้มองเห็นตำหนักบรรทมของตนเองมีชีวิตชีวามากขนาดนี้หลังจากกลับมาเนิ่นนานหลายวัน
ยามที่กงอิ้นลงจากเกี้ยว เขาก็ยังยืนอยู่ข้างเกี้ยวของนางชั่วครู่ ทำท่าทางจะประคองนางออกมา แน่นอนว่านางไม่กล้าให้เขาประคอง ตนเองจึงรีบเลิกม่านออกมา ยามที่ออกมานางสังเกตเห็นสีหน้าตกตะลึงของชาววัง ในใจก็ทั้งปวดร้าวทั้งพอใจ
กงอิ้นยอมรับนาง นางถึงจะยืนหยัดได้ นางจำเป็นต้องพยายามเอาใจเขาอีกเท่าหนึ่ง
สองคนเดินตามกันเข้าสู่ตำหนักบรรทม ประตูตำหนักปิดลงหลังจากนั้น นางหันกลับมามองเขา เห็นบุรุษผู้นั้นขาวผ่องดุจหยกสลัก ท่วงท่าเฉกเช่นยามก่อนภายในแสงเงาลึกล้ำ
เพียงแต่นางแอบสังเกตเห็นว่ายามที่เข้าสู่ภายในตำหนักครู่นั้น สีหน้าของเขาหม่นหมองลงเล็กน้อย
ด้วยเพราะนึกถึงจิ่งเหิงปัวขึ้นมาหรือ?
การจากกันอย่างแท้จริงของพวกเขาเกิดขึ้นที่นี่
“ในเมื่อเจ้ากลับมาแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอยู่ในตำหนักตลอดเวลา” เขาพลันเอ่ยว่า “หากเจ้าสนใจฟังการเมือง นับตั้งแต่พรุ่งนี้ ก็ไปฟังการเมืองที่จิ้งถิงได้”
นางยินดียิ่งนักจนเกือบจะขานรับออกมา ทว่าพลันหยุดยั้งไว้ จากนั้นก็ยิ้มแย้มเอ่ยขึ้นว่า “ฟังการเมืองไม่ได้สำคัญมากนัก ไม่ฟังย่อมไม่เป็นไร”
“ในเมื่อเจ้าเอ่ยว่าจะเปลี่ยนสถานที่ให้นาง คงต้องปรึกษาหารือเบื้องหน้าขุนนางใหญ่อยู่แล้ว”
ในใจของนางสับสนวุ่นวายระลอกหนึ่ง…เขายังคงทำเพื่อจิ่งเหิงปัวจริงด้วย
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นคงต้องวางแผนซ้อนแผน
นางได้กลิ่นคาวโลหิตเจือจาง นึกถึงสีหน้าเมื่อครู่ของเขา ในใจก็ยิ้มแย้มเล็กน้อย
“นั่นสินะ” นางยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “พอคิดว่าจะเปลี่ยนสถานที่ให้เหิงปัว ข้าก็รู้สึกร้อนอกร้อนใจขึ้นมาเสียแล้ว เจ้าว่าข้าร่างพระราชโองการยามนี้เลยดีหรือไม่”
“แล้วแต่เจ้า” เขาเอ่ยคล้ายรู้สึกว่าได้ทั้งนั้น ทว่าก็ฉวยมือชี้ไปที่โต๊ะ เอ่ยขึ้นว่า “ไปเขียนตรงนั้น”
นางยิ้มเยาะในใจ ทว่าสีหน้าอ่อนโยนมากยิ่งขึ้น นั่งลงตามนั้น ก่อนจะเริ่มต้นฝนหมึก เขาก็รับมาด้วยตนเอง แล้วเอ่ยว่า “ข้าเอง”
นิ้วมือที่รับหินหมึกสัมผัสกัน นางสั่นสะท้านจนชักมือกลับ แอบปรายตามองเขา เขาคล้ายไม่มีท่าทีโต้ตอบใดๆ ขนตาหลุบลงใบหน้าเงียบสงบ
นางรู้สึกหงุดหงิดตนเอง ก่อนจะคว้าอ่างน้ำสะอาด หันกายเติมน้ำในจานฝนหมึกเล็กน้อย
ตำหนักบรรทมไร้สรรพเสียง สายลมหิมะถูกขวางกั้นอยู่นอกห้องจนสิ้น ภายในกระถางทองแดงแปดค้างคาวมีไอควันไม้กฤษณาลอยเป็นเกลียว กลิ่นหอมสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งนัก ตี้หลงเริ่มทำงานแล้ว ทั้งห้องหอมหวนอบอุ่น
ได้ยินเพียงเสียงลมหายใจเงียบสงบยาวนานของทั้งสองฝ่าย ซ้ำยังได้ยินเสียงครืดคราดยามที่แท่งหมึกเสียดสีบนจานฝนหมึก ทว่าแลดูเยือกเย็นเงียบสงัดยิ่งขึ้น
หมึกเป็นหมึกชั้นเลิศ แม้อยู่ท่ามกลางกลิ่นหอมมากมายเหล่านี้ มันก็ยังคงกำจายกลิ่นหอมอ่อนสดชื่นอันเป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจน ได้กลิ่นแล้วพาให้จิตใจสงบสุข ก้นบึ้งของหัวใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง
นางตั้งใจเขียนยิ่งนัก เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “…ให้นางไปเผ่าเฉินเถี่ยดีหรือไม่? รอให้เถี่ยซื่อจื่อกลับไปแล้ว อาจช่วยดูแลนางได้”
“ได้” เสียงของเขาไม่ค่อยรีบร้อน
นางเป่ารอยหมึก เชิดสายตายิ้มแย้มมองเขาจากบนกระดาษ เขาประสานแววตากับนางแล้วเบนสายตาออก
“พรุ่งนี้นำไปให้เหล่าขุนนางปรึกษาหารือดีหรือไม่?” นางเอ่ย
“ไม่ประทับตราพระราชลัญจกรของราชินีหรือ?” เขาคล้ายเอ่ยตามอารมณ์
ในใจนางจมดิ่งดัง ตึก …ส่วนสำคัญมาแล้วสินะ! จากนั้นก็ผลิแย้มรอยยิ้มดุจมวลผกา เอ่ยออกมาว่า “โอ้ พระราชลัญจกรสินะ ไม่ได้ใช้นานมากแล้ว ข้าเกือบลืมไปเลย!”
เขาจ้องมองนาง ไม่ละเลยสายตาของนาง
ขนตาของนางสยายเล็กน้อย แล้วเอ่ยว่า “หลายปีมานี้ไม่เคยได้ใช้พระราชลัญจกรเลย เจ้าทายสิว่าพระราชลัญจกรอยู่ที่ใด?”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร” เขาตอบอย่างเฉื่อยเนือย
“อยู่บนร่างกายข้าล่ะ” นางยิ้มบางๆ ครั้งหนึ่ง เรือนร่างเอนไปข้างหลัง พลิกสองมือค้ำยันบนม้านั่ง แหงนหน้าขึ้นมองเขา
การค้ำยันครั้งหนึ่งนี้ผุดเผยต้นคอเรียวยาวขาวราวหิมะและกระดูกไหปลาร้าที่บอบบางงามประณีตของนาง ซ้ำยังผุดเผยทรวดทรงตรงหน้าอก ช่วงเอวยิ่งดูเพรียวบางอิ่มเอิบจนไม่อาจหักใจที่จะแตะต้องได้ ส่วนดวงแก้มน้อยที่เงยขึ้นแจ่มกระจ่างดุจอุบลชาติแย้มกลีบ
ไม่รู้ว่าคอเสื้อของนางหลุดลุ่ยเล็กน้อยตั้งแต่เมื่อใด สายตาของเขาพลันชะงัก ทอดลงข้างล่างอย่างเชื่องช้า นางมองอย่างเห็นชัดเจนว่าภายในสายตาของเขาปกคลุมด้วยไอน้ำชั้นหนึ่ง ดุจดั่งหมอกควัน
นางยิ้มแย้มในใจ…หมึกแท่งนั้นเป็นของดีโดยแท้
“พระราชลัญจกรอยู่บนร่างกายเจ้าหรือ?” เขาเอ่ยวาจา น้ำเสียงเชื่องช้ายิ่งกว่าก่อนหน้านี้
“ใช่แล้ว…” เสียงของนางแผ่วเบามากขึ้น อ่อนช้อยมากขึ้น เจือด้วยเสียงหอบหายใจเล็กน้อย นางยกเท้าขึ้นมา รองเท้าปักลายสะกิดขาท่อนล่างของเขาอย่างแผ่วเบา เอ่ยว่า “อยู่บนร่างกายข้าเอง เจ้าจะมาค้นหาสักหน่อยหรือไม่…”
เขาจ้องมองนาง โน้มกายลงอย่างเชื่องช้า แล้วยื่นปลายนิ้วออกมา
…
ย่ำค่ำข้ามเมืองเภทภัยสามพันลี้ หิมะโปรยโลหิตหลั่งด้วยดาบเดียว
ค่ำคืนวันที่ยี่สิบเก้าเดือนสิบสอง เผ่าหวงจินมีหิมะตกเล็กน้อยเช่นกัน เกล็ดหิมะถูกลมพัดจนเกรียวกราว กระทบลงบนยอดไม้และบนกระเบื้องหลังคาไม่หยุดหย่อน ฟ้าดินค่อยๆ กลายเป็นสีขาวโพลนแล้ว
ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรีเจือดำเจือขาว เงาคนสองสายมุ่งไปสู่เมืองเป่ยซิน
เงาคนสายหนึ่งนั้นดุจอสนีบาตที่ข้ามผ่านท้องฟ้าอันกว้างใหญ่ ระหว่างเหินขึ้นทอดลงคือระยะทางหลายจั้ง สายลมจากแขนเสื้อหอบม้วนเกล็ดหิมะจนกระเซ็นปลิวว่อน
ทว่าอีกคนหนึ่งนั้นคล้ายท่วงทำนองดนตรีที่โลดโผน พลันซ่อนเร้นพลันปรากฏกลางหิมะประหนึ่งภูตพราย
ระยะทางสามสิบลี้ใช้เวลาเพียงชั่วพริบตาเดียว ทั้งสองคนมาถึงหน้าประตูเมือง เงาม่วงเงาน้อยกระโดดออกไปล่วงหน้า กระโจนขึ้นบนกำแพงเมือง
สองคนนั้นรอคอยอยู่ในที่ลับตาข้างล่างกำแพงเมือง ผ่านไปครู่หนึ่งข้างใต้ตะเกียงบนกำแพงเมืองมีหางใหญ่ฟูฟ่องหางหนึ่งโผล่ออกมา กวัดแกว่งอย่างเชื่องช้า
เรือนร่างของสองคนนั้นกะพริบวูบ ปรากฏกายขึ้นบนกำแพงเมือง ท่วงท่าสุขุมภายใต้แสงไฟ พวกเขาก็คือเหยียลี่ว์ฉีกับจิ่งเหิงปัว
สองคนเดินกร่างวางมาดผ่านหอคอยบนประตูเมืองและป้อมรักษาการณ์ แสงไฟภายในป้อมรักษาการณ์สว่างไสว เตาไฟลุกโชนส่งกลิ่นหอมหวนของอาหาร พลทหารเฝ้าประตูกลุ่มหนึ่งที่ยังย่างมันเทศอยู่เมื่อครู่ ยามนี้คนกลุ่มนั้นล้มลงนอนระเกะระกะแล้ว
เหยียลี่ว์ฉีจะเดินเข้าไป แต่จิ่งเหิงปัวกลับกระโจนเข้าไปเก็บมันเทศเหล่านั้น ยิ้มแย้มพลางกล่าวว่า “หิวแทบตายอยู่แล้ว หอมจัง!” รีบลงจากกำแพงเมืองพลางลอกเปลือกมันเทศย่างหัวหนึ่ง เผยให้เห็นเนื้อมันเหลืองทองที่อยู่ข้างใน นางเป่าดังฟู่แล้วกัดเสียคำใหญ่ มุมปากเปรอะเปื้อนสีเหลืองในทันที
นางฉวยมือโยนมันเทศสองหัวให้กับเฟยเฟยกับเหยียลี่ว์ฉี กล่าวด้วยเสียงอู้อี้ว่า “กินอิ่มแล้วก็ตั้งใจทำงาน กองทัพต้องเดินด้วยท้องนะ”
“ผู้ใดใช้ให้เจ้าตามมาด้วย” เหยียลี่ว์ฉีล้วงผ้าเช็ดหน้าขาวราวหิมะผืนหนึ่งออกมาเช็ดปากให้นางจนสะอาด ฉวยมือคว้ามันเทศที่เหลืออยู่สอดไว้ในอ้อมแขนของตนเอง เอ่ยว่า “หนักเกินไป อย่าให้ส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเจ้า”
มือเขาแผ่วเบายิ่งนัก จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันจะได้รู้สึกตัว มุมปากก็ถูกเช็ดจนสะอาดแล้ว รู้สึกได้รำไรว่านิ้วมือของเขาเฉียดผ่านผิวกายของนาง หนาวเย็นเล็กน้อย
กลิ่นหอมที่มุมปากยังคงอยู่ เป็นกลิ่นหอมอบอุ่นบนผ้าของเขา
เมื่อรู้สึกได้ถึงแววตาของเขาที่จ้องมองอยู่ นางจึงเอียงศีรษะหลบหลีกเล็กน้อย เบี่ยงเบนหัวข้อสนทนาว่า “คิดจะทำอย่างไร”
ปฏิบัติการสายลมหิมะค่ำคืนนี้ พวกเขาต้องสังหารคนแข่งกับเวลา
จนถึงตอนนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งรู้ว่าเหยียลี่ว์ฉีมีความสัมพันธ์ไม่ดีกับตระกูล หลายปีที่ผ่านมาเขาพยายามทำเพื่อตระกูลอย่างเต็มที่เพียงเพราะว่าตระกูลจับตัวพี่สาวตาบอดของเขาไว้โดยตลอด ตอนนี้เขาสูญเสียตำแหน่งราชครู เล่ากันว่าไม่ได้ส่งมอบแผนภาพพระราชวังบนม้วนผ้าไหมให้ตระกูล อีกทั้งไม่ได้กลับสู่แคว้นอวี่ซึ่งเป็นฐานที่มั่น แต่เลือกเดินทางเคียงข้างจิ่งเหิงปัว ทำให้ตระกูลเกิดความไม่พอใจ พวกเขาจึงฉวยโอกาสยามร่วมมือกับเผ่าหวงจิน จับตัวพี่สาวของเหยียลี่ว์ฉีมาด้วย คิดจะใช้นางเป็นตัวประกันเพื่อออกคำสั่งกับเหยียลี่ว์ฉีอีกครั้ง การสังหารจิ่งเหิงปัวเป็นแค่คำสั่งหนึ่งในนั้น เป็นไปได้ว่าคงหวังจะใช้เขาเป็นกองหน้าในปฏิบัติการหุบเขาเทียนฮุยหลังจากนี้
เมื่อเหยียลี่ว์ฉีไม่ใช่ราชครูอีกต่อไป ไม่ได้หาทางช่วยเหลือลูกหลานตระกูลเหยียลี่ว์ที่ถูกคุมขังอยู่นครหลวง เขาอาจเป็นแค่หมากตัวหนึ่ง ส่วนที่ถูกใช้งานถูกสนใจได้มีแค่วรยุทธ์
อีกทั้งก่อนหน้านี้เขาไม่ยอมถูกบีบบังคับ เ**้ยมหาญสังหารคน ซ้ำยังขัดขวางไม่ให้คนเหล่านั้นส่งข่าวออกไป อ้างตามวิธีการเอ่ยวาจาของคนเหล่านั้น หากไม่ได้กลับไปภายในคืนนี้ พี่สาวของเขาจะถูกสังหาร ฉะนั้นถ้าอยากช่วยนาง ต้องภายในคืนนี้เท่านั้น
คืนนี้จำเป็นต้องฆ่าคนตระกูลเหยียลี่ว์ที่อยู่เมืองเป่ยซินทั้งหมด ช่วยสวินหรูออกไป ตัดขาดการส่งข่าวสาร แต่ตอนนี้ห่างจากรุ่งสางแค่ไม่ถึงสองชั่วยาม
ภายในสองชั่วยามนี้ หวังจะตามหาคนภายในเมืองใหญ่ให้เจอยังยากลำบาก ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องฆ่าคนช่วยคนเลย