เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2] – ตอนที่ 23.3

ตอนที่ 23.3

“แม่งเอ๊ย!” นายกองบรรดาศักดิ์นายหนึ่งสะบัดหน้ากากด้ายทองที่ปิดหน้าไว้อย่างรุนแรง เอ่ยว่า “นักต้มตุ๋น! นักต้มตุ๋นทั้งนั้น! พวกเราเสียสติหรืออย่างไรกันถึงถูกหลอกมาทิ้งชีวิต!”

 

 

“ถูกหลอกแล้ว! พวกเราไม่ควรมาในหุบเขา!”

 

 

“ผู้บัญชาการหลอกพวกเรา! ทั้งที่เป็นสหายร่วมทัพเหตุใดเขาจึงทำกันได้ลงคอ! อาเฉิงเจ้าเคยช่วยชีวิตเขาไว้จากเงื้อมมือของเผยซูด้วย!”

 

 

ความสิ้นหวังกับความโกรธแค้นแผ่คลุมเหล่ายอดฝีมือกลุ่มนี้อย่างรวดเร็วอีกครั้ง ประหนึ่งความสงสัยกับความหวาดกลัวก่อนหน้านี้

 

 

“ไม่ต้องเอ่ยแล้ว!” ชายร่างสูงใหญ่ผู้นั้นเปล่งเสียงเช่นเคย เสียงเยือกเย็นเอ่ยว่า “หากยังมีเวลามาไม่พอใจเช่นนี้ ก็ไม่สู้รีบหายาถอนพิษ! ในเมื่อมีคนรอดชีวิต ในหุบเขานี้ย่อมต้องมีสมุนไพรที่ถอนพิษได้เป็นแน่ ค้นหาโดยละเอียด!”

 

 

ทุกคนแยกย้ายกันค้นหายา บางคนเริ่มบ่นอุบอิบว่า “เด็กหนุ่มที่คล้ายรู้ทุกเรื่องก่อนหน้านี้ไปไหนแล้ว?”

 

 

เสียงนั้นยังไม่สิ้น พวกเขาก็พลันได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น

 

 

เสียงร้องโหยหวนแหลมคมน่าสยองขวัญเช่นเดียวกัน เต็มไปด้วยความหวาดกลัวสิ้นหวัง ไม่คล้ายเสียงมนุษย์

 

 

ทุกคนอดที่จะสั่นสะท้านไปทั่วร่างไม่ได้ มองหน้าสบตากันอย่างตกตะลึง…สิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวไม่ใช่เสียงร้องโหยหวนน่ากลัวนี้ ทว่าหวาดกลัวด้วยเพราะเจ้าของเสียงร้องโหยหวนเป็นผู้ที่ควบคุมสัตว์ที่เปล่งเสียงหัวเราะเมื่อครู่!

 

 

เสียงของเจ้าผู้นั้นไม่ไพเราะ จำแนกได้ง่ายยิ่งนัก ทุกคนฟังแล้วจำได้

 

 

เกิดเรื่องใดขึ้น?

 

 

เมื่อครู่ยังยินดีปรีดาว่าหาเหมืองทองเจอแล้ว ร่ำรวยแล้วอยู่เลย เหตุใดผ่านไปชั่วพริบตาพลันเปล่งเสียงใกล้สิ้นลมนี้?

 

 

ทุกผู้คนระมัดระวังโดยพลัน…เงาประหลาดเหล่านั้นปรากฏกายอีกแล้วใช่หรือไม่? จึงพากันรีบคว้าอาวุธ จ้องมองหมอกหนาข้างหน้าโดยไม่กะพริบตาสักครั้ง

 

 

เงาคนเงาหนึ่งพุ่งออกมาจากหมอกหนาข้างหน้า สองมือกางขึ้นฟ้า บนมือมีโลหิตชุ่มโชก ครึ่งร่างเปรอะเปื้อนโลหิต รูปร่างหน้าตาโหดเ**้ยมเย็นชา!

 

 

เป็นผู้ควบคุมสัตว์คนนั้นจริงๆ ด้วย

 

 

เขาพุ่งออกมาเพียงไม่กี่ก้าว เท้าข้างหนึ่งเหยียบย่ำบึงโคลนแห่งหนึ่งตรงหน้าด้วยเพราะลุกลี้ลุกลน ล้มลงบนบึงโคลน บนหลังมีหลุมโลหิตแห่งหนึ่ง โลหิตพวยพุ่งพรวดพราดสู่ข้างนอก ย้อมบึงโคลนรอบกายให้แดงฉานในพริบตา

 

 

ทุกคนมองเขาหมดแรงดิ้นรนบนบึงโคลนอย่างเคร่งขรึม ประดุจหนอนแมลงวันขนาดยักษ์ตัวหนึ่ง เปรอะเปื้อนโคลนเจือโลหิตทั่วร่าง สุดท้ายยิ่งดิ้นยิ่งอ่อนเพลีย ยิ่งดิ้นยิ่งหนักหน่วง จมดิ่งสู่ก้นบึงโคลน

 

 

พริบตาสุดท้าย สายตาของผู้ควบคุมสัตว์คนนั้นทอดมาทางฝูงชนที่ยืนนิ่งอยู่ตรงข้าม นัยน์ตาที่ว่างเปล่าท่วมท้นด้วยความตกตะลึงสิ้นหวังเสียใจและไม่เข้าใจ…

 

 

สุดท้ายแล้ว สายตาดุจหลุมดำถูกโคลนเลนท่วมท้นอย่างเชื่องช้า

 

 

ทุกคนยืนนิ่ง สายตาที่สิ้นหวังดุจหลุมดำตรงหน้านั้นกับเสียงหัวเราะลั่นดีใจเป็นล้นพ้นของเขาก่อนหน้านี้ผสมผสานจู่โจมอย่างต่อเนื่อง กระแทกจนในใจทุกคนเหน็บหนาว

 

 

ทุกผู้คนทอดแววตามาทางหมอกเทามัวสลัว

 

 

หลังหมอกเทาทางนั้นคล้ายไร้ซึ่งจุดสิ้นสุดดุจประตูนรก ซุกซ่อนสิ่งใดไว้กันแน่? เกิดเรื่องใดขึ้น?

 

 

หลังหมอกเทา ทิศทางที่ผู้ควบคุมสัตว์พุ่งออกมา จิ่งเหิงปัวกำลังเช็ดมืออย่างเชื่องช้า

 

 

บนมือเปื้อนเลือด บนกริชก็เปื้อนเลือดเช่นเดียวกัน นางใช้ใบหญ้าเช็ดออกอย่างเชื่องช้า

 

 

เลือดเป็นของผู้ควบคุมสัตว์คนนั้น

 

 

ความดีใจเป็นล้นพ้นเมื่อประสบความสำเร็จของมนุษย์ พอจะทำให้ความระมัดระวังลดลงได้ นางหายตัวลงจากกำแพงภูเขาตอนนั้น กริชเดียวแทงเข้าสันหลังของคนนั้น

 

 

อย่างไรเสียเขาก็ต้องตายอยู่แล้ว ใกล้หมดเวลายาถอนพิษออกฤทธิ์แล้ว

 

 

เลือดพุ่งออกมาย้อมชนวนดอกไม้ไฟบนพื้นจนเปียกชื้น ผู้ควบคุมสัตว์เตรียมใช้สิ่งนี้แจ้งให้คนข้างนอกมาสนับสนุน

 

 

จิ่งเหิงปัวเตะดอกไม้ไฟลงในบึงโคลน

 

 

ไม่ต้องบอกพวกปีศาจน้อยแล้ว ทั้งหุบเขา บึงโคลน สมุนไพรและแหล่งแร่ของที่นี่ ผู้อำนวยการจิ่งเหมาไว้หมดแล้ว

 

 

สัตว์หาทองขนาดใหญ่กับสัตว์น้อยที่ใช้เพื่อสำรวจเส้นทางกลุ่มนั้นตกใจจนวิ่งหนีกระจัดกระจาย แต่สัตว์หาทองมีสัญชาตญาณตามธรรมชาติ สถานที่ที่พวกมันไปจะต้องมีแหล่งแร่แน่นอน จิ่งเหิงปัวไม่ได้ไล่ตาม แค่จดจำทิศทางอย่างเงียบเชียบ

 

 

จากนั้นนางทำเครื่องหมายตรงสถานที่ที่ดูท่าทางไม่มีอะไรพิเศษแห่งนี้

 

 

เพิ่งจะทำเครื่องหมายเสร็จ นางก็ได้ยินเสียงลมดังขึ้นที่ด้านหลังกะทันหัน ความรู้สึกที่ปั่นป่วนกระแสอากาศชนิดนั้นคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง นางไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ เรือนร่างกะพริบวูบพุ่งขึ้นกำแพงภูเขาไป

 

 

นางยืนมั่นคงบนกำแพงภูเขา พอก้มหน้าลงมอง เงากลุ่มนั้นปรากฏตัวอีกแล้วจริงด้วย

 

 

ก่อนหน้านี้เป็นการลอบทำร้าย คราวนี้เป็นการสังหาร ครั้งนี้จะมาแบ่งปันสิ่งของจากเชลยศึกแล้ว

 

 

ขณะเงากลุ่มนั้นลื่นไถลผ่านกำแพงภูเขาใต้ร่างนาง คนแรกคนนั้นเงยหน้ามองนางปราดเดียว นางยังคงมองเห็นดวงตาดำขาวตัดกันของอีกฝ่ายผ่านหมอกเทา

 

 

นางแอบประหลาดใจเล็กน้อย…ดวงตาสวยจัง!

 

 

เมื่อข้ามผ่านความสับสนวุ่นวายประหนึ่งหมอกเทาและกองโคลน นางยังคงมองเห็นความบริสุทธิ์หมดจดของดวงตาคู่นั้นได้ สายตาชั่วครู่เดียวยังแผ่กลิ่นอายพิสุทธิ์เพียงนี้ ประดุจแสงจันทร์หยุดนิ่ง

 

 

สายตานั้นระเริงแล้วผ่านไป ชั่วครู่ต่อมาเงาเหินว่อนมั่วซั่ว เขาพาคนพุ่งสู่เหล่านายกองบรรดาศักดิ์โชคร้ายฝูงนั้น

 

 

จิ่งเหิงปัวเคี้ยวต้นหญ้า คิดว่าคนพวกนี้อาจจะมีความแค้นยาวนานหรือเปล่า? แผ่กลิ่นอายไม่ตายไม่ยอมเลิกราหลายส่วนจริงแท้

 

 

ไอควันข้างล่างสาดซัด ฉากเมื่อครู่ฉายซ้ำอีกรอบ แม้ได้เตรียมพร้อมแล้ว แต่นายกองบรรดาศักดิ์ที่อ่อนล้าถึงขีดสุดยังคงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหล่าเงาที่อาศัยโอกาสดีทำเลดีทุกคนสามัคคีเหล่านี้

 

 

พวกเขาบางคนเริ่มชาญฉลาด รู้จักใช้หญ้าหน้าผีนั้นโปรยออกไปคิดจะขับไล่ศัตรู ทว่าคราวนี้ไม่ได้ผลแล้ว บนร่างอีกฝ่ายทาด้วยโคลนเลนสีเขียวอ่อนมันวาว ไม่สนใจไยดีหญ้านี้อีกต่อไป

 

 

โลหิตแดงฉานพวยพุ่งทั่วทุกสารทิศดุจเส้นด้ายอีกครั้ง อาวุธที่เหล่าเงาใช้คล้ายเป็นอาวุธที่ทำขึ้นเองจากหนามพืชแสนแข็งแกร่ง สร้างบาดแผลละเอียดยิ่งนัก โลหิตพุ่งออกมาเป็นสายยาว

 

 

ลมทวนกระเพื่อม เงาปีศาจปลิวว่อนรวดเร็ว เสียงตะโกนร้องกับโลหิตแดงฉานกระเซ็นบนโขดหินหลายระลอก สะเทือนจนส่วนกลางของทั้งหุบเขาคล้ายกำลังโคลงเคลง

 

 

จิ่งเหิงปัวห้อยสองขาไว้ข้างโขดหิน แกว่งแล้วแกว่งเล่า

 

 

นางยังรอคอยอยู่ เสียงตะโกนร้องข้างล่างยังคงเต็มเรี่ยวเต็มแรง

 

 

เหล่านายกองบรรดาศักดิ์สิ้นหวังแล้ว

 

 

ร่างกายถูกพิษหมอก ไร้ความหวังหายาถอนพิษ ไร้กำลังพลสนับสนุน พลกล้าตายสำรวจเส้นทาง ศัตรูดุจปีศาจ ผู้บัญชาการหลอกลวง…อุปสรรคทั้งหมดนี้ประหนึ่งรอยแผลที่ทยอยซ้ำเติมบนร่างนี้ทีละแผล แต่ละแผลเป็นบาดแผลสาหัสที่พอจะทำลายความมุ่งมั่นต่อสู้

 

 

พวกเขาไม่ได้ต่างคนต่างสู้รบอีกต่อไป กลับรวมกลุ่มอยู่ด้วยกันแล้วหันหลังชนกัน ตระเตรียมสู้รบจนตัวตายเป็นครั้งสุดท้ายกับเงาบ้าบอฝูงนี้

 

 

บุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้นฟาดกระบี่เพียงครั้ง สะบั้นเงาตรงหน้าลอยออกไปสามจั้ง สายลมกระบี่แบ่งแยกบึงโคลนน้อยเบื้องหน้ากลายเป็นรอยลึกเกือบฉื่อ ร่องรอยมุ่งสู่จุดสิ้นสุดบึงโคลนปานอสนีบาต หินใหญ่ขนาดสองคนโอบข้างบึงโคลนแหลกละเอียดดัง ตู้ม!

 

 

จิ่งเหิงปัวที่อยู่บนหน้าผานั่งตัวตรงทันที ดวงตาสว่างวูบ

 

 

ยอดฝีมือ!

 

 

ฝีมือที่แสดงออกมาเวลาตกอับใกล้ตายแตกต่างจากปกติ!

 

 

เสียงตะโกนร้องดังก้องหุบเขา

 

 

“ขุนพลยอมต่อสู้ร้อยสงครามสิ้นชีพ ไม่ยอมจมโคลนเลนเคียงคู่ปีศาจ! เหล่าพี่น้อง! พิทักษ์กิตติศัพท์ของเรา! ด้วยความตาย! ด้วยโลหิต!”

 

 

“พิทักษ์กิตติศัพท์ของเรา! ด้วยความตาย! ด้วยโลหิต!”

 

 

เสียงคำรามสะเทือนจนบึงโคลนคล้ายสั่นเทิ้มเล็กน้อย แตกเป็นรอยร้าวละเอียดนับไม่ถ้วน

 

 

กลางหุบเขาเงียบสงัด จากนั้นมีเสียงคนหัวเราะลั่นอย่างบ้าคลั่ง

 

 

“ฮ่าๆๆ ฮ่าๆๆ…กิตติศัพท์! กิตติศัพท์ของคั่งหลง! ไม่ได้ยินคำนี้มานานหลายปีแล้ว! เป็นพวกเจ้าจริงด้วย!”

 

 

ไม่นึกว่าเสียงนี้จะมาจากตรงกลางเงาฝูงนั้น ยามแรกเริ่มเสียงเฉื่อยชาแข็งกระด้างคล้ายไม่ได้เอ่ยปากนานมากแล้ว ทว่าเอ่ยไปเอ่ยมาแล้วคล่องแคล่ว โดยเฉพาะยามเอ่ยถึงคั่งหลงสองคำนี้ เสียงโหดเ**้ยมดุดัน เต็มไปด้วยไอสังหาร

 

 

พอจำแนกเสียงนี้โดยละเอียดนับว่ากังวานไพเราะยิ่งนัก คนเอ่ยวาจาคล้ายอายุไม่มากด้วยซ้ำ

 

 

พอเขาเปล่งเสียง เงาเหล่านั้นพลันหยุดชะงัก ผุดเผยเค้าโครงทีละน้อยกลางหมอกเทาเลือนรางพร่ามัว

 

 

จิ่งเหิงปัวกลับสูดหายใจ

 

 

ตอนนี้เพิ่งจะมองเห็นคนพวกนี้อย่างชัดเจน ไม่ค่อยเหมือนมนุษย์แล้ว ทุกคนซูบผอมเพรียวบางเหมือนแผ่นกระดาษ ผิวพรรณทั่วร่างออกสีเทา เหลือเพียงดวงตายังมีสีดำสีขาว มือยาวเท้ายาว เรียวยาวเหลือเกิน พอเห็นแล้วรู้เลยว่าเป็นโครงร่างที่เกิดขึ้นจากการอาศัยอยู่ในบึงโคลนเป็นเวลานาน

 

 

“ท่าทางพวกเจ้าคล้ายทหารคั่งหลง ซ้ำยังเป็นนายกองบรรดาศักดิ์ด้วย? ฮ่าๆ ไม่นึกว่าจะมีนายกองบรรดาศักดิ์เข้ามารนหาที่ตาย ทำให้ข้ารอคอยแทบแย่!” ผู้เอ่ยวาจายังเป็นผู้นำคนนั้น ท่ามกลางทุกผู้คนเขาคล้ายอ่อนวัยที่สุด การออกเสียงชัดเจนที่สุด สมองโต้ตอบรวดเร็วที่สุด เขาหัวเราะคิกๆ พลางลื่นไถลออกมาจากฝูงเงา ลอยแผ่วเบามาถึงตรงหน้าเหล่านายกองบรรดาศักดิ์ ยกมือชี้เพียงครั้ง เอ่ยว่า “อืม ลูกน้องเฉิงกูมั่วหรือ?”

 

 

แม้คนผู้นี้ตกต่ำถึงเพียงนี้ แต่บุคลิกลักษณะโดยกำเนิดยังคงเหนือกว่าผู้อื่น การชี้ครั้งนั้นโอหังและหยิ่งทระนง คล้ายเป็นท่าทางเคยชินที่ซึมสู่ไขกระดูกตั้งนานแล้ว เหล่านายกองบรรดาศักดิ์เป็นบุคคลที่บัญชาทหารนับพันเช่นกัน พวกเขาถอยหลังก้าวหนึ่งโดยสำนึกภายใต้การชี้ครั้งนี้ของเขา

 

 

คนที่ไม่ได้ถอยหลังมีเพียงบุรุษร่างสูงใหญ่ผู้นั้น ผ้าคลุมหน้าด้ายทองไม่ขยับเขยื้อนแม้เพียงเศษเสี้ยว มือกุมอยู่บนด้ามมีด เสียงฟังแล้วอู้อี้ไม่ชัดเจน เอ่ยว่า “ท่านคือผู้ใด? คล้ายมีความบาดหมางกับคั่งหลงเรา? ไม่ว่าเรื่องเก่าเป็นอย่างไร ลงมือมาเลยดีกว่า!”

 

 

“ความบาดหมาง?” คนผู้นั้นทวนวาจาหนึ่ง เอ่ยสืบต่อว่า “ความบาดหมางหรือ? ฮ่าๆๆ”

 

 

เขาพลันเริ่มหัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งอีกครั้ง เสียงหัวเราะไม่พบเจอความโศกเศร้า ทว่าพบเจอความเย็นยะเยือก หมอกหนารอบด้านพลันหมุนวนอย่างรวดเร็ว ฉีกกระชากมั่วซั่วหลายระลอกใหญ่ คล้ายมีมือที่มองไม่เห็นกำลังฉีกกระชากฟ้าดินอย่างเ**้ยมหาญ เศษหญ้านับมิถ้วนหอบม้วนโคลนเลนพุ่งกลับหัวกลับหางดังซ่า กระแทกบนโขดหินรอบด้าน เฉียดผ่านข้างแก้มของเหล่านายกองบรรดาศักดิ์ หลงเหลือรอยโลหิตสายหนึ่ง

 

 

ยามเขาเดือดดาลคล้ายมีอำนาจแห่งฟ้าดิน เหล่านายกองบรรดาศักดิ์ถอยหลังอีกก้าวหนึ่งอย่างตกตะลึง

 

 

“ความบาดหมางหรือ? ไม่ ไม่ ทหารคั่งหลงเช่นพวกเจ้ายังไม่คู่ควรมีความบาดหมางกับข้า” เขาลื่นไถลอย่างถี่กระชั้นหลายก้าว คล้ายผู้ยิ่งใหญ่ก้าวเดินกลางห้องโถงโออ่า แหงนหน้าพลางเอ่ยว่า “เฉิงกูมั่วพอจะนับได้คนหนึ่ง หมิงเฉิงหญิงแพศยานางนั้นนับหรือไม่? อืม ในเมื่อเป็นหญิงแพศยาย่อมไม่นับ กงอิ้นนับได้คนหนึ่ง…อืม กงอิ้นนั่นเอง!”

 

 

จิ่งเหิงปัวตกตะลึง

 

 

ผ่านมานานขนาดนี้ นางเพิ่งเคยได้ยินคนใช้น้ำเสียงที่หลงระเริงดูหมิ่นขนาดนี้กล่าวถึงกงอิ้นเป็นครั้งแรก

 

 

กงอิ้นเป็นเทพเจ้าของต้าฮวง ได้รับการเคารพบูชาจากทุกผู้คน เหยียลี่ว์ฉีมีฐานะทัดเทียมกับเขายังไม่เคยลดคุณค่าของเขาเลย ศัตรูของเขาเกลียดชังหรือริษยาเขา แต่ไม่กล้าเหยียดหยามดูถูกเช่นกัน ด้วยเพราะการดูถูกคู่ต่อสู้แบบนั้นจะพิสูจน์ได้แค่ความโง่เขลาของตนเอง

 

 

หนุ่มน้อยคนนี้อายุน้อยด้อยความรู้หรือว่ามีความมั่นใจจริง?

 

 

“เจ้าคือผู้ใด” เหล่านายกองบรรดาศักดิ์คล้ายตกตะลึงกับความหยิ่งผยองของคนผู้นี้เช่นกัน ตะโกนถามเสียงดังลั่น

 

 

“ไม่รู้จักเหล่าสหายเก่าแล้วหรือ?” เขาหัวเราะฮ่าๆ หันหน้าเอ่ยกับเหล่าเงาข้างหลังว่า “ดูสิ พวกเขาไม่รู้จักพวกเราแล้ว!”

 

 

เหล่าเงานิ่งเงียบไร้เสียง ทว่ามีกลิ่นอายโศกเศร้าหนักหน่วงตลบอบอวลอย่างเงียบเชียบ

 

 

“พวกเขาไม่รู้จักพวกเราเสียแล้ว!” เขายังหัวเราะอยู่เช่นเดิม เสียงหัวเราะแหลมสูงมากยิ่งขึ้น เอ่ยว่า “นี่เพิ่งผ่านไปไม่กี่ปี คนเก่าคนแก่ที่ต่อสู้กันแทบเป็นแทบตาย ไม่รู้จักพวกเราแล้ว!”

 

 

“ศัตรูเก่าที่ต่อสู้กันแทบเป็นแทบตาย ไม่รู้จักพวกเราแล้ว!”

 

 

“เผ่าหวงจินที่เกรียงไกรร่ำรวยทรงเกียรติเผ่านี้ ไม่รู้จักพวกเราแล้ว!”

 

 

“ทั่วทั้งต้าฮวงแห่งนี้ ไม่รู้จักพวกเราแล้ว!”

 

 

“รอให้พวกเราหาคันฉ่องมาส่องสักหน่อย ตัวพวกเราเองอาจไม่รู้จักตนเองแล้ว!”

 

 

แหลมสูงมากยิ่งขึ้น เปล่าเปลี่ยวมากยิ่งขึ้น เสียงหัวเราะแหลมคมสะท้อนทั่วทั้งกลางหุบเขา ประหนึ่งกระบี่แทงทะลุความแค้นเคืองกับความเกลียดชังที่ทับถมมานานหลายปี โขดหินกำลังร่วงกราวดังซ่า หิมะเหินว่อนจากทั่วท้องฟ้าถูกโจมตีแหลกละเอียดอย่างเ**้ยมหาญเหนือหุบเขา

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกแค่ว่าบรรยากาศเริ่มตึงเครียด ในใจพลอยเกร็งแน่นตามไปด้วย ความไม่พอใจกับความเกลียดชังภายในเสียงนั้นมากมายเหลือเกิน หนักหน่วงดุจโคลนเลนหมื่นจั้งข้างล่างนี้ พาให้คนแบกรับไว้ไม่ไหว

 

 

“ยามนั้นหอกของข้า เก็บเกี่ยวชีวิตของพวกเจ้าไปมากเพียงใด พวกเจ้าจำไม่ได้แล้ว?” เขากางแขนสองข้างพลางหัวเราะ

 

 

“ยามนั้นจูหว่างของพวกเจ้า เคยคิดจะสืบสวนความลับเกี่ยวกับข้านับครั้งไม่ถ้วน พวกเจ้าจำไม่ได้แล้ว?” เขาหัวเราะลั่น

 

 

“ยามนั้นเฟิงชื่อของพวกเจ้า เคยรวมกลุ่มลอบสังหารข้าสิบสามครั้ง พวกเจ้าจำไม่ได้แล้ว?” เขาหัวเราะแสบแก้วหู

 

 

“ยามนั้นตุ่นของพวกเจ้า เคยขุดอุโมงค์มาใต้กระโจมขุนพลของข้า พวกเจ้าจำไม่ได้แล้ว?”

 

 

“ยามนั้นพวกเจ้าพ่ายแพ้ติดต่อกันสามครั้งด้วยเงื้อมมือของข้า พ่ายแพ้จนอกสั่นขวัญแขวน เห็นข้าศึกพลันวิ่งหนี หากมิใช่ด้วยเพราะกงอิ้นพลีชีพขึ้นกำแพงเมืองบัญชาการรบด้วยตนเอง พวกเจ้าคงต้องพ่ายแพ้เป็นครั้งที่สี่ พวกเจ้าจำไม่ได้แล้ว?”

 

 

“ยามนั้นข้าคว้ากระบี่เหยียบย่ำค่ายใหญ่ของเฉิงกูมั่วยามราตรี นายกองบรรดาศักดิ์สามสิบหกนายจัดกระบวนทัพขัดขวาง สิ้นชีพสิบเอ็ดนาย สุดท้ายข้ายังใช้กระบี่แทงทะลุหน้าอกแต่ละคน ซ้ำยังแทงกระบี่เข้าหน้าอกข้างซ้ายของเฉิงกูมั่ว หากไม่ใช่ด้วยเพราะมีคนทรยศในกองทัพ กงอิ้นใช้กลยุทธ์ไส้ศึกทำให้ข้าล้มเหลวยามสุดท้าย ข้าคงไม่ถูกคนของตนเองทรยศ ถูกจับกุม ถูกทำลายวรยุทธ ถูกยัดเข้าคุกมรณะ ถูกเดินประจานกลางนคร ถูกราษฎรที่ไม่รู้ความจริงด่าสาดเสียเทเสีย ถูกขังในหุบเขาเทียนฮุย…เรื่องเหล่านี้ พวกเจ้าจำกันไม่ได้แล้ว?!”

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 2]

Status: Ongoing

ยามนั้น อสนีเปรี้ยงเวหา พสุธายุบหลุมลี้ เพชรพลอยเกลื่อนธรณี เกิดจานเหินที่กลางอากาศ มีนารีนางหนึ่งจักกำเนิดตนจากฟ้าถล่มดินทลาย…กลายเป็นราชินีแห่งต้าฮวง!

คำทำนายจากสรวงสวรรค์ ก่อกำเนิดเป็นความอัศจรรย์จากฟากฟ้า นำพาให้ จิ่งเหิงปัว หญิงสาวจากศตวรรษที่ 21 ผู้เลอเลิศในปฐพี (?) ต้องตกอยู่ในสถานะราชินีแห่งลุ่มแม่น้ำต้าฮวงด้วยความจำยอม… แต่ใครเล่าจะรู้ว่าตำแหน่งราชินีสูงส่งที่อยู่เหนือผู้คนนับหมื่นพัน จะกลายเป็นเพียง ‘ตำแหน่ง’ กันชนเพื่อการช่วงชิงอำนาจระหว่างราชครูฝ่ายขวาและฝ่ายซ้าย…

หากนางรู้ว่า ตำแหน่งราชินีที่นาง ‘จำยอม’ รับมาด้วยความสุข จะเป็นเพียงแค่หมากเกมหนึ่งในกระดานของชายหนุ่มทั้งสอง…ครานั้นนางจะทำอย่างไรดีเล่า

“หนีสิโว้ยยย!”

“กระหม่อมอนุญาตให้พระองค์หนีสามครา ฝ่าบาท”

Show less 

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท