ฟังน้ำเสียงอินอู๋ซิน นิกายสวรรค์สูงส่งเกินเอื้อมในสายตาของพวกสำนักลับนอกแดนมนุษย์เหล่านี้
“เช่นนี้จะเลิศล้ำเพียงใดกัน…” นางพึมพำว่า “ด้วยระดับเช่นนี้ หากประมุขนิกายสวรรค์ออกโรงเอง ต้าฮวงจะไม่ล่มสลายหรือ?”
“ประมุขนิกายสวรรค์ไม่ได้ปรากฏกายนานหลายปีแล้ว” อินอู๋ซินเอ่ยว่า “นิกายสวรรค์ไม่ได้มีประมุขบ่อยครั้ง การคัดเลือกประมุขของพวกเขายาวนานและโหดเ**้ยมยิ่งนัก ยอมกระทั่งไม่มีประมุขดีกว่ามีประมุขไร้ฝีมือ ได้ยินว่าผู้ได้รับการคัดเลือกคนสุดท้าย ต้องผ่านสามนรกแปดเคราะห์ภัย ข้ามสุริยันจันทราความเป็นความตาย ตัดขาดความรักทางโลกมนุษย์ สะบั้นความสัมพันธ์ทางสายเลือด แทบเรียกได้ว่าเ**้ยมโหด ทุกสมัยนิกายสวรรค์จะคัดเลือกลูกหลานระดับหัวกะทินับไม่ถ้วนเป็นตัวเลือกประมุข ทว่าท่ามกลางขั้นตอนการทดสอบยาวนาน คนนับไม่ถ้วนถูกคัดออกหรือแม้กระทั่งสิ้นชีพ นิกายสวรรค์จะไม่ยอมรามือด้วยเพราะความโหดร้ายในการคัดเลือกเด็ดขาด สิ่งนี้เป็นสาเหตุสำคัญประการหนึ่งที่ทำให้นิกายสวรรค์จิ่วฉงไม่ปรากฏนาม ลูกศิษยิ์สิ้นชีพมากมายเหลือเกิน สำนักสิ้นเปลืองมากมายเหลือเกิน เล่ากันว่าประมุขคนก่อนไม่ได้ปรากฏกายมาสามสิบปีแล้ว เป็นไปได้ว่าอาจสิ้นชีพตั้งนานแล้ว ยามนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการคัดเลือกยาวนาน หรืออาจได้รับเลือกแล้ว ทว่าไม่ได้ประกาศเท่านั้นเอง ประมุขนิกายสวรรค์จิ่วฉงเป็นประมุขแห่งสำนักลับนอกแดนมนุษย์ทั่วต้าฮวง สำนักน้อยเช่นพวกเรานี้ ไม่มีสิทธิ์รู้ความลับิเช่นนี้ด้วยซ้ำ”
เผยซูฟังแล้วสายตาแพรวพราว มุมปากยิ้มเยาะเหยียดหยาม คล้ายอยากลากสำนักประมุขที่ลึกลับและเสวยเกียรติศักดิ์ยาวนานนั้นออกมากระทืบสักรอบ ทว่าอิงไป๋ดื่มสุราอยู่ตลอด ใบหน้าหันออกนอกหน้าต่าง คล้ายไม่แยแสสิ่งใดทั้งนั้น ฟ้าดินแห่งโลกนี้อยู่ในถ้วยสุราทั้งสิ้น
“นิกายสวรรค์จิ่วฉงเป็นเพียงพวกต้มตุ๋นหลอกลวง พวกล้าหลังที่นึกว่าตนเป็นผู้แทนวาจาเทพ!” เผยซูพลันยิ้มเยาะ เอ่ยว่า “ใหญ่โตมโหฬาร นานวันผ่านไป ล่มสลายด้วยตนเอง! ต่อให้สูงส่งเหนือผู้อื่น ยกตนเป็นผู้วิเศษเพียงนี้ ช้าเร็วย่อมต้องแตกดับ! เปรียบดังตระกูลขุนนางหลงอิงยามนั้น แรกเริ่มเลิศล้ำเพียงใด? ตระกูลขุนนางอันดับหนึ่งแห่งจักรพรรดิต้าฮวงเนิ่นนาน แม้แต่จักรพรรดินีผู้สถาปนาแคว้นยังเคยเป็นทาสของตระกูลเขา หลังสถาปนาแคว้นแล้วจักรพรรดินียังต้องมอบตำแหน่งสูงส่งอันดับหนึ่งให้ตระกูลนี้ เหล่าขุนพลขุนนางทุกคนยังต้องลงจากหลังม้ายามผ่านหน้าซุ้มประตูตระกูลเขา ยามลูกหลานสายแขนงสักคนของตระกูลเขาเดินทาง ผู้นำทุกชนเผ่ายังต้องคุกเข่าต้อนรับ บุตรสาวตระกูลเขา แม้แต่พระบรมวงศานุวงศ์ยังไม่กล้าสู่ขอตามปรารถนา สำนึกตนว่าสายเลือดสูงส่งไม่พอไม่กล้าหมิ่นแคลน…น่าเกรงขามเพียงใด สูงศักดิ์เพียงใด สูงส่งเหนือมวลเมฆเพียงใด ภายหลังเล่า? ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็หายไป…”
“เผยซู!” อินอู๋ซินยิ่งขมวดหัวคิ้ว สุดท้ายอดจะขัดวาจาของเขาไม่ได้ ร้องว่า “พอได้แล้ว! เจ้ารู้อยู่แล้วว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องต้องห้าม! ผู้ใดเอ่ยถึงประหารเก้าชั่วโคตร!”
“ข้าจะเอ่ยแล้วจะเป็นอย่างไร? เจ้าจะไปฟ้องว่าข้าเอ่ยหรือ? หรือจิ่งเหิงปัวจะไปฟ้องแทน?” เผยซูยิ้มเยาะ สีหน้าไม่สนใจไยดีทั้งสิ้น
“ได้เลยๆ” จิ่งเหิงปัวชอบฟังเรื่องลับเหลือเกิน สายตาแพรวพราว กล่าวว่า “เอ่ยให้มากหน่อย หลักฐานครบถ้วนแล้วข้าจะได้ไปฟ้องได้สะดวก”
“ช่างเถิด อย่าล้อเล่นเรื่องนี้” อินอู๋ซินพลันเอ่ยว่า “เผยซู ข้ารู้ว่าเจ้าไม่กลัว ทว่าข้าเอ่ยว่าเรื่องนี้ต้องห้าม ไม่เพียงด้วยเพราะราชสำนักห้ามไว้ เจ้าย่อมรู้ว่าผู้เอ่ยถึงตระกูลขุนนางหลงอิงอย่างเปิดเผย สุดท้ายแล้วต่างประสบหายนะอย่างอธิบายไม่ได้ เพียงด้วยเพราะสาเหตุนี้ หลายปีมานี้จึงไม่มีผู้ใดยอมเอ่ยถึงตระกูลลึกลับที่หายไปนั้นอีกแล้ว ตระกูลนี้เป็นตระกูลอัปมงคล เจ้าอุตส่าห์หลุดพ้นห้วงทุกข์มาได้ เหตุใดต้องแปดเปื้อนเคราะห์ร้ายอีกครั้งด้วย”
“เหอะ” เผยซูยิ้มเยาะเหยียดหยาม ผ่านไปครู่ใหญ่หัวเราะอีกครั้ง เอ่ยว่า “เคราะห์ร้าย ไม่ใช่ตนเองกลัวแปดเปื้อนแล้วจะไม่แปดเปื้อน! หากไม่อยากแปดเปื้อนเคราะห์ร้าย จงทำตนเป็นคนที่ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้!”
ลมพลิ้วไหวพัดผ่าน จิ่งเหิงปัวมองเห็นอิงไป๋อยู่ริมหน้าต่าง เขายกขาค้ำเก้าอี้ไว้ กระบอกสุราในฝ่ามือวางไว้บนเข่า จ้องมองนอกหน้าต่างตลอดเวลา ผมดำทั่วศีรษะพลิ้วสยายลอยล่อง บดบังข้างเรือนร่างของเขาไว้
“ท่านนี้…” แววตาของอินอู๋ซินทอดลงบนร่างอิงไป๋ นางอายุไม่น้อย ตนเองสั่งสมประสบการณ์ชีวิต รู้สึกเพียงว่าท่วงท่าของคนผู้นี้คล้ายยังอยู่เหนือเผยซู
“อิงไป๋อย่างไร” จิ่งเหิงปัวบอกกล่าวยิ้มแย้มปรีดา
เผยซูกระโจนขึ้นมาดังฟิ้ว
“อิงไป๋!”
“เจ้าคงไม่คิดจะต่อสู้ยามนี้กระมัง?” จิ่งเหิงปัวเห็นท่าทางอะดรีนาลีนพลุ่งพล่านนั้นของเขา รู้สึกขนลุกอยู่บ้าง
เผยซูใช้การกระทำเป็นคำตอบให้จิ่งเหิงปัว มือเขาเชิดเพียงครั้ง มีดเล่มหนึ่งเข้ามาอยู่ในมือ ครู่ต่อมา ดาบใหญ่ที่สร้างจากโลหะดำในหุบเขาเทียนฮุยเล่มนั้นสะบั้นลงเหนือศีรษะอิงไป๋แล้ว
“รับดาบของข้า!”
ตู้ม เสียงเดียว หลังคาตำหนักแตกร้าวเป็นร่อง แสงจันทร์ขาวโพลนเล็ดลอดเข้ามา ฝุ่นควันร่วงเกรียวกราวถูกลมแรงพัดสลายในพริบตา ขณะนั้นไม่เห็นเงาคนฝั่งตรงข้าม จิ่งเหิงปัวเห็นแค่กระบอกสุราของอิงไป๋ทะลุผ่านม่านควัน กลายเป็นลำแสงสีครามหายไป ส่วนเงาคนสองสายขวักไขว่ปานสายฟ้าแลบ แลคล้ายจะชนกัน แต่มักเฉียดผ่านอาภรณ์โลหะของกันและกัน ดูคล้ายไหล่เฉียดกัน แต่มักชนกันดังตูมตาม ทุกครั้งยามชนกัน ทั้งลานน้อยคล้ายกำลังสั่นเทิ้ม จิ่งเหิงปัวได้ยินในหูดังหวึ่งๆ รู้สึกแค่ว่าในใจคล้ายถูกชนเป็นรอยร้าว นางอยากมองเห็นการประลองของยอดฝีมือให้ชัดเจน ฉวยโอกาสเรียนรู้สักกระบวนท่า แต่อินอู๋ซินจูงนางกะพริบออกนอกลานบ้าน เอ่ยอย่างเยือกเย็นยิ่งนักว่า “เจ้ายังชมอะไรอีกเล่า? เจ้าไม่รู้หรือว่าเขาอาจต่อสู้ได้ทุกที่ทุกเวลา เจ้าไม่รู้หรือว่ายามต่อสู้เขาไม่เคยสนใจผู้อื่นเลยด้วยซ้ำ นึกถึงยามที่ข้าช่วยเขาครั้งนั้น ด้วยเพราะเขาไล่ล่าทหารหนีทัพเพลิดเพลิน ทะเล่อทะล่าเข้ามากลางเขาลึกเพียงลำพัง ยั่วยุอาจารย์อาสิบหกท่านของข้าติดต่อกัน แทบจะทำลายล้างสำนักข้า สุดท้ายปรมาจารย์สำนักข้าใช้ค่ายกลใหญ่ถึงจับเขาไว้ได้ ครั้งนั้นข้าเป็นคนช่วยเขาไว้ ยามข้าพาเขาหลบหนี เขายังฉีกชุดชั้นในทุกชุดในกระเป๋าปรมาจารย์ข้า ทำให้วันต่อมาปรมาจารย์ข้าไม่กล้าออกนอกสำนัก ยามถูกพลไล่ล่าไล่ตาม เขาโยนข้าออกไปเป็นเหยื่อล่อสามครั้ง จากนั้นช่วยข้ากลับมาครั้งแล้วครั้งเล่า จวบจนยามนี้ข้ายังรู้สึกว่าเรื่องที่ผิดพลาดที่สุดในชีวิตนี้คือการช่วยเขา”
จิ่งเหิงปัวหัวเราะลั่น…ไอ้บ้าแซ่เผย!
ลานน้อยกำลังสะท้านสะเทือน แว่วเสียงโครมครามติดต่อกัน ทุกครั้งยามดังโครม กำแพงข้างนอกจะทะลุเป็นร่องรอย เศษกระเบื้องเศษหินกระจุยกระจาย กระแทกบนกำแพงลานตำหนักดังพลึ่กพลั่ก มองเห็นกำแพงตำหนักนั้นค่อยๆ เปลี่ยนรูปร่างต่อเนื่อง คล้ายข้างในมีทหารจอมพลังกำลังทุบกำแพงไม่หยุดหย่อน หวังให้ตำหนักนี้กลายเป็นรูปทรงแปลกประหลาด
“ความเคลื่อนไหวใหญ่โตขนาดนี้ จั้นซินจะไม่ตกใจหรือ?” จิ่งเหิงปัวกังวลนิดหน่อย
อินอู๋ซินมองทิศทางใจกลางพระราชวังปราดเดียว มุมปากยิ้มแย้มเหน็บหนาว
…
ใจกลางพระราชวัง จั้นซินยืนอยู่ตรงหน้าต่าง จ้องมองมุมที่ฝุ่นควันทั่วท้องฟ้านั้น
องครักษ์นับไม่ถ้วนข้างกายเขาเรียงแถวพร้อมรบ รอคอยคำสั่งเดียวจากเขา จากนั้นจะไปจับกุมเจ้าพวกที่กล้าก่อความวุ่นวายใหญ่โตเยี่ยงนี้ในพระราชวังนั้นไว้
จั้นซินหรี่ตา มุมปากค่อยๆ ผุดเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน
“วรยุทธ์ไม่เลวนะ…ซ้ำยังไม่ใช่เพียงคนเดียว…เช่นนั้นดูสิว่าจะมาเท่าใดกันแน่ มาเดี่ยวฆ่าเดี่ยว มาคู่ฆ่าคู่!”
เขาโบกมือ
“ไม่ต้องสนใจ ให้พวกเขาต่อสู้ไป! ไม่เคยได้ยินหรือว่าสองพยัคฆ์ต่อสู้ ตัวหนึ่งต้องเจ็บ? ถึงยามนั้นค่อยไปเก็บกวาด!”
…
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าตัวเองกำลังรับชมเทคนิคพิเศษของภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดฟอร์มยักษ์เรื่องหนึ่ง
มองเห็นความเคลื่อนไหวค่อยๆ เล็กลง แต่บรรยากาศรอบด้านค่อยๆ หนักหน่วง ตำหนักยังคงพังทลายด้วยท่วงท่าไร้สรรพเสียง คล้ายมีภูตพรายรื้อถอนข้างในอย่างเงียบเชียบ มองเห็นหน้าต่างกลายเป็นผง หลังคาแยกออกจากกัน กำแพงถล่มหลายต่อหลายครั้ง บนผนังนูนเป็นรอยกำปั้น ทำให้ผู้คนสงสัยว่ากำแพงนี้คงไม่ได้สร้างจากอิฐ แต่สร้างจากฝุ่นโคลน
ขณะทั้งตำหนักแทบจะหายไปจนสิ้น เสียงดังโครมเพียงครั้ง เงาคนสายหนึ่งทะยานถอยทะลุตำหนักผุพัง สายรัดผมขาดกระจุยดังเพียะกลางอากาศ ผมดำทั่วศีรษะพลิ้วสยาย จากนั้นพลันขาดร่วงกระจุกหนึ่งโดยพร้อมเพรียง ผมดำปลิดปลิวบนพื้น
เขาล้มหัวทิ่มแทบเท้าจิ่งเหิงปัวดัง พลั่ก จิ่งเหิงปัวไม่ต้องมองยังรู้ว่าเป็นขุนพลจอมพ่ายแพ้เผยซู
ไม่รู้ว่าเจ้าคนนี้เป็นอะไร เห็นชัดว่าโคตรแข็งแกร่ง แต่มักพบกับยอดฝีมือที่ควบคุมเขาไว้ได้
ด้วยเพราะเหตุนี้เอง คนนิสัยดื้อรั้นโดยกำเนิดเช่นเขานี้ ใช้เวลาห้าปีที่ท่วมท้นด้วยความอาฆาต หลังออกมาแล้วไม่ได้ฆ่าล้างบางเพื่อแก้แค้น…สู้ต่อเนื่องแพ้ต่อเนื่องแบบนี้ ต่อให้เป็นคนเย่อหยิ่งกว่านี้ยังได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้เกิดความระแวงสงสัยในสถานการณ์ปัจจุบัน
ฝั่งตรงข้าม อิงไป๋เดินออกมาจากฝุ่นควัน ทะลุผ่านกลุ่มควันสีเหลืองอ่อน เขามีท่วงท่าสุขุมสูงส่ง ในแววตาไร้ดีใจไร้โศกเศร้า
จิ่งเหิงปัวมองเขาในครู่หนึ่งนี้ ในใจเกิดความรู้สึกประหลาด นางรู้สึกว่าเวลานี้ อิงไป๋ควรหัวเราะลั่นรีบดื่มสุรามากกว่า
เผยซูพลิกกายบนพื้นหลายครั้ง ไม่นึกว่าจะลุกขึ้นมาโดยพลันไม่ได้ ท่าทางอิงไป๋ลงมือไม่เบา
เขานึกว่าจิ่งเหิงปัวจะประคองเขา ทว่าสตรีนางนี้ยิ้มแย้มรวบแขนเสื้อมองเขา
“เผยซูเอ๋ย” นางกล่าวว่า “ครั้งนี้ยกที่สิบนะ เจ้าแพ้อีกแล้ว นับแต่นี้เป็นต้นไป เจ้ากลายเป็นคนของข้าอย่างเป็นทางการแล้ว”
เผยซูกัดฟันถุย ทว่าไม่ได้เอ่ยอะไร
เขาต่อสู้เด็ดเดี่ยว พ่ายแพ้หมดท่า ยิ่งกว่านั้นในเมื่อจิ่งเหิงปัวใช้ยอดฝีมือมากขนาดนั้นได้ เช่นนั้นติดตามนางย่อมไม่นับว่าเสียหน้า
“จั้นซินไม่มาจริงด้วย” จิ่งเหิงปัวมองทางอินอู๋ซิน
“จั้นซินโหดเ**้ยมหยิ่งผยอง” อินอู๋ซินเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “เขาเอ่ยว่าให้เวลาข้าสามวัน ย่อมให้เวลาข้าสามวัน เพียงแต่ต้องรบกวนทุกท่าน รอคอยสามวันด้วยกันกับข้าแล้ว”
“พวกเราพักที่ใดเล่า ตำหนักหายไปหมดแล้ว”
“ข้ายังมีเรือนของตนเอง แต่ก่อนเคยพักอาศัยยามเป็นผู้ถวายงาน ในเมื่อยามนี้จั้นซินมีท่าทางเปิดเผย พวกเราเข้าพักอย่างไม่สะทกสะท้านเถิด”
“เหตุใดยังต้องรอสามวัน? พวกเราพาท่านออกไปเลยก็ได้ เหตุใดต้องให้เวลาจั้นซินวางแผนด้วยเล่า?”
“ด้วยเพราะจั้นซินพกพิมพ์เขียวเรือวิเศษติดกายตลอดเวลา ไม่มีผู้ใดรู้ว่าเขาซ่อนพิมพ์เขียวไว้ที่ใดกันแน่ หากหวังได้พิมพ์เขียว จะต้องให้เขาปรากฏกาย จะต้องเข้าใกล้เขา” อินอู๋ซินเอ่ยว่า “ข้าเองปรารถนาให้เขาสูญเสียพิมพ์เขียวเหลือเกิน เผ่าจั๋นอวี่จะได้ตกต่ำชั่วข้ามคืน ข้ายอมรออีกสามวันเพื่อสิ่งนี้”
“ดีเลย! เช่นนั้นรอสามวัน…ประเดี๋ยวก่อน ตำหนักบรรทมของท่านรูปร่างเยี่ยงนี้หรือ? เช่นนี้จะนอนอย่างไร…” จิ่งเหิงปัวตามอินอู๋ซินมายังเรือนผู้ถวายงานของนาง กวาดตามองแวบเดียวก็อดจะเบิกตากว้างไม่ได้
ท่าทางคล้ายเป็นลานน้อย แท้จริงแล้วมีห้องแค่สองห้อง แบ่งห้องนอกห้องใน ภายนอกมีของใช้ประหลาดหลายชนิดกองพะเนิน ภายในเป็นห้องนอนห้องหนึ่ง
ห้องนอนห้องเดียวไม่เท่าไร ทว่ามีเตียงแค่หลังเดียว
เตียงหลังเดียวไม่เท่าไร ทว่าเหนือศีรษะยังมีเชือกเส้นหนึ่ง นางสงสัยอยู่เสมอว่าเชือกนั้นใช้สำหรับตากกางเกงใน
มีเชือกไม่เท่าไร ทว่าเตียงนั้นยังรูปร่างประหลาด คล้ายหยกแต่ไม่ใช่หยก ทั้งนูนทั้งเว้า มองทรวดทรงนูนเว้านั้นคล้ายสร้างตามรูปร่างร่างกาย
เตียงประหลาดไม่เท่าไร ทว่าเตียงนี้ยังเป็นเตียงคู่ ตำแหน่งร่างกายสองคนชัดเจน
นี่หมายความว่าอะไร?
“ขออภัย ข้าไม่อยากกลับไปยังตำหนักบรรทมแต่ก่อนของข้า ข้าจึงกลับมายังเรือนที่ข้าพักอยู่ยามเป็นผู้ถวายงาน” อินอู๋ซินมองเรือนนี้ด้วยความเศร้าโศกเล็กน้อย เอ่ยว่า “แท้จริงแล้วแต่ก่อนที่นี่เป็นสถานที่ฝึกวรยุทธ์ของข้า ห้องนอกใช้สำหรับศึกษาศาสตร์การเสี่ยงทายฝูจี ห้องในใช้สำหรับฝึกฝนศาสตร์ชะลอวัย เตียงนี้แต่ก่อนข้าสร้างเพื่อฝึกฝนโดยเฉพาะ สร้างจากหยกเนื้ออ่อนธรรมชาติ อ่อนโยนบำรุงร่างกาย มีประโยชน์ต่อผิวพรรณเส้นลมปราณยิ่งนัก ซ้ำยังมีสรรพคุณขับพิษได้ระดับหนึ่ง พวกเจ้าลองดูได้”
ได้ยินวาจานี้ สามคนจ้องมองกันปราดเดียว สีหน้าแปลกประหลาดเล็กน้อย