อินอู๋ซินได้ยินเรื่องเหยียลี่ว์ฉีทำร้ายส่วนล่างของจั้นซิน พลันเข้าใจทุกอย่าง
“มิน่าล่ะเขาจะมากะทันหัน…สำนักเรานี้มีตำนาน” นางหน้าแดงเรื่อ เอ่ยอย่างคลุมเครือว่า “สตรีในสำนักข้ามีความสามารถในการบำรุงรักษาบาดแผลเช่นนี้ เขาบาดเจ็บเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรคราวนี้คงไม่ปล่อยข้าไปแล้ว”
“วางแผนกันหน่อย” เผยซูเอ่ยว่า “เจ้าเดาว่าจั้นซินจะจัดการพวกเราอย่างไร?”
“ไม่มีสิ่งใดนอกจากใช้กำลังทหารทั้งหมดล้อมไว้ ซ้ำยังจะสังหารพวกเจ้าอย่างโหดร้ายต่อหน้าข้า จั้นซินเป็นบุรุษหยิ่งผยองอวดดี โหดเ**้ยมเผด็จการยิ่งนัก เขาให้พวกเจ้าเข้ามาเพื่อรอคอยสังหารพวกเจ้า เขาจะให้ทุกคนรู้ว่าจุดจบของคนที่เป็นศัตรูกับเขาเวทนาจนเอ่ยไม่ได้”
“ยามนี้เขาบาดเจ็บ น่าจะยิ่งอารมณ์ร้าย” จิ่งเหิงปัวกล่าวว่า “ท่านคิดจะทำอย่างไร”
“อยากได้พิมพ์เขียวเรือวิเศษ ย่อมต้องให้จั้นซินถอดอาภรณ์ เขาพกของสิ่งนี้ติดกายแน่แท้ ทว่าหากจั้นซินไม่จัดการพวกเจ้าทั้งหลาย คงผ่อนคลายอารมณ์ทำ…เรื่องเหล่านั้นไม่ได้” อินอู๋ซินเอ่ยอย่างขวยเขินเล็กน้อยว่า “ข้าคิดแผนการหนึ่งไว้ เพียงแต่…คงทำให้พวกเจ้าลำบากใจนัก…”
นางยิ่งเอ่ยเสียงยิ่งแผ่วเบา ทุกคนฟังแล้ว สีหน้ายิ่งแปลกประหลาด
แผนการของอินอู๋ซินคือให้บุรุษสามคนหาทางยอมมอบตัวก่อนหรือทำท่าทางไม่มีแรงต่อต้านกระไร แน่นอนว่าการยอมมอบตัวครั้งนี้ต้องพร้อมต่อสู้ทุกเวลา ซ้ำยังให้พบพิรุธไม่ได้ นางจะหาข้ออ้างไม่ให้จั้นซินทันได้จัดการพวกเขา ร่วมสุขสันต์กับนางก่อน พอถึงยามนั้นจั้นซินจะต้องถอดอาภรณ์ เวลาเช่นนั้นบุรุษจะสะเพร่านัก จากนั้นบุรุษหลายคนหาทางถอนตัว คนหนึ่งขโมยพิมพ์เขียว คนหนึ่งลงมือ เพื่อให้แน่ใจว่าขโมยของกับซ่อนตัวได้ผล นางจะใช้แผนล่อให้จั้นซินออกจากที่นี่ ไปสระน้ำร้อนสำหรับส่งน้ำอาบน้ำแห่งหนึ่งในวัง ที่นั่นไอควันอบอวล ซ้ำยังมีทางส่งน้ำใต้ดิน ซ่อนตัวสะดวก และเข้าออกสะดวก
ด้วยแผนการนี้ ต้องยั่วโทสะจั้นซินก่อน ให้เขาสติแตกลงมือพลาดพลั้ง จะยั่วโทสะจั้นซินง่ายดายนัก หาบุรุษสักคนออกมาคุ้มครองอินอู๋ซินพอแล้ว
ฉะนั้นเหล่าบุรุษมีสีหน้าค่อนข้างแปลกประหลาด..งานนี้เป็น ‘งานดี’ ผู้ใดจะทำ?
“จั้นซินน่าจะส่งคนมาตรวจตราสถานการณ์ทางข้าก่อน” อินอู๋ซินเอ่ยว่า “นับแต่นี้ สักคนในหมู่พวกเจ้าต้องร่วม…เล่นละครกับข้า”
สายตานางคล้ายลอยไปทางเผยซูโดยไม่ได้ตั้งใจ สองคนนั้นมองเผยซูโดยไม่แปลกใจเลยเช่นกัน
“มองข้าด้วยเหตุใด?” เผยซูกลอกตา เอ่ยว่า “ข้ายังไม่หายจากพิษ ขาดกำลังวังชา เป็นแนวหน้าไม่ได้!” เขาชี้อิงไป๋ เอ่ยว่า “เจ้าเก่งวรยุทธ์ เรืองนามว่าเจ้าชู้ชอบสุราชอบนารี เจ้าไม่ทำ ผู้ใดจะทำ?”
อิงไป๋ดื่มสุราอึกหนึ่ง ไม่มองเขาด้วยซ้ำ เอ่ยว่า “ชอบสุราไม่ได้หมายความว่าเล่นละครเก่ง เชิญสหายเหยียลี่ว์ดีกว่า”
“ข้าน้อยยังบาดเจ็บอยู่เช่นกัน” เหยียลี่ว์ฉีไอโดยพลัน ยิ้มแย้มเอ่ยว่า “รบกวนสองท่านดีกว่านะ”
สามคนเลี่ยงให้กันและกันอย่างเกรงใจ สีหน้าอินอู๋ซินยิ่งหม่นหมอง จิ่งเหิงปัวเห็นแล้วทนไม่ได้ ในใจคิดว่าสามตัวนี้เลี่ยงไปเลี่ยงมาไม่เกรงใจกันเลย ไม่ไว้หน้าสุภาพสตรีแม้แต่น้อย พวกคลั่งเพศ!
“ให้อิงไป๋ดีกว่า” นางกล่าวกะทันหัน ยิ้มแย้มมองอิงไป๋ กล่าวว่า “เจ้าสง่างามรักอิสระรู้กันทั่วตี้เกอ ซ้ำยังเป็นหนุ่มเสเพลโปรยรักทุกแห่งหนทุกคนนิยมชมชอบที่โด่งดังในตี้เกอมิใช่หรือ เจ้าเล่นบทนี้ ช่างเหมาะสมเสียนี่กระไร!”
อีกสองคนร้องใช่พร้อมกันโดยพลัน สีหน้าพอใจ
มือที่กระดกกระบอกสุราของอิงไป๋พลันชะงัก
พริบตาเดียวแววตาเขาลอยผ่านเหนือกระบอกสุรา ทอดลงบนใบหน้าจิ่งเหิงปัว สายตาซับซ้อน ฉายแววยากเข้าใจ
จิ่งเหิงปัวคล้ายมองไม่เห็น ยิ้มแย้มผลักเขาไปทางอินอู๋ซิน กล่าวด้วยเสียงออดอ้อนว่า “ไอ้หยา หนุ่มเสเพลอันดับหนึ่งแห่งตี้เกอ เรื่องนี้เป็นงานถนัดของเจ้าเชียว ยังไม่รีบอีก? มัวถ่อมตัวเกรงใจอะไรกัน…”
อิงไป๋พลันพลิกมือ คว้าข้อมือนางไว้
จิ่งเหิงปัวหลุบตามองมือที่ถูกคว้าไว้ รู้สึกถึงแรงบีบเล็กน้อย รอยยิ้มบนใบหน้าไม่เปลี่ยนแปลง กล่าวว่า “เจ้าลากข้าไว้ทำเพื่ออะไร? ไม่สมัครใจจริงหรือ? เอ๊ะ เจ้าจะไม่สมัครใจได้อย่างไร? เช่นนี้ไม่คล้ายเจ้าเลยนะ…”
อิงไป๋มือสั่นสะท้าน พลันปล่อยนาง ยิ้มแย้มเพียงครั้ง ดื่มสุราอึกหนึ่งเอ่ยว่า “ได้ๆ เพียงแต่ท่านอย่าผลักข้า เช่นนี้อาจล่วงเกินอินฮูหยินเกินไป ข้าเชื่อท่าน เล่นด้วยสักครั้งย่อมได้”
เขาวางกระบอกสุรา ยิ้มแย้มถามอินอู๋ซินว่า “ฮูหยิน โปรดอภัยที่อิงไป๋ล่วงเกินแล้ว”
อินอู๋ซินฟื้นคืนสีหน้าสงบนิ่งไร้อารมณ์ พยักหน้า เอ่ยว่า “ลำบากสมุหราชองครักษ์แล้ว”
จิ่งเหิงปัวเม้มปาก กะพริบตา มองชายหญิงที่สบตากันคู่นั้น
เผยซูมองข้างนอกอย่างไม่สนใจไยดี เหยียลี่ว์ฉีเพียงมองนาง กลางแววตายิ้มแย้มเปล่งประกายระยิบระยับ
“ฮูหยิน ท่านคิดว่าแสร้งอย่างไรถึงเหมาะสม?” อิงไป๋สมบทบาทยิ่งนัก จูงแขนเสื้ออินอู๋ซินไว้ด้วยความรู้สึกลึกซึ้ง
อินอู๋ซินไม่ค่อยเป็นธรรมชาติ เกร็งลำคอ ชี้ห้องด้านในเอ่ยว่า “ตรงนั้นมีหน้าต่าง จั้นซินอยากส่งคนมาตรวจตรา ย่อมมีเพียงตรงนั้นที่มองเห็นได้ ทว่าเจ้าต้องระวัง จั้นซินเจอเจ้าแล้ว เจ้าจะเป็นเป้าหมายหลักแน่แท้”
“เช่นนี้ เป็นสิ่งที่องค์ราชินีต้องการไม่ใช่หรือ?” แววตาอมยิ้มของอิงไป๋ลอยผ่านมา จิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองฟ้า
กระทบกระเทียบ? พี่ฟังไม่รู้เรื่อง
ขณะก้มหน้าลง นางพบว่าอิงไป๋จูงอินอู๋ซินเข้าไปห้องด้านในจริง ท่าทางสองคนเดินจูงมือกันสนิทสนมเป็นธรรมชาติ ก่อนเข้าห้องเขาถอยหลังเล็กน้อยหนึ่งก้าว แสร้งประคองอินอู๋ซิน ส่วนนางเงยหน้ายิ้มเฉื่อยเนือย ด้านข้างยามสองคนมองกันงดงามอัศจรรย์ หนุ่มหล่อสาวสวย คู่รักชายหญิงคู่หนึ่ง ดุจกลอนดั่งภาพวาด
จิ่งเหิงปัวสูดหายใจ ก้าวขึ้นมาก้าวหนึ่ง ศีรษะยังไม่ทันได้ชะโงกออกไป อิงไป๋ปิดประตูดัง ปัง แล้ว
จิ่งเหิงปัวจ้องประตูนั้นเขม็ง คล้ายอยากจ้องให้เป็นโพรงเหลือเกิน ซ้ำยังคล้ายอยากถีบสักครั้งเหลือเกิน แต่กล่าวกันตามจริงนับว่านางปิดประตูนั้นเอง นางก้าวออกมาไม่ได้สักก้าว
ในใจมีความรู้สึกประหลาด งงงวยสับสนร้อนรนกระวนกระวาย…ตั้งแต่ออกจากตี้เกอ ความรู้สึกแบบนี้ปรากฏบ่อยครั้ง หลายครั้งทำให้นางสับสน เกือบนึกว่าตัวเองเป็นโรคจิตเภท
ประตูปิดแล้ว ข้างในไม่มีเสียงแม้แต่น้อย ไม่มีเสียงหัวเราะหยอกเย้า ไม่มีน้ำเสียงฝ่ายชาย เงียบขนาดนี้ เงียบจนน่าแปลก แปลกจนทำให้ในใจจิ่งเหิงปัวคันยุบยิบคล้ายแมวข่วน
นางเตะเผยซู
“ทำอะไร” เผยซูอารมณ์ร้ายเสมอ
“อิงไป๋ลึกลับยิ่งนัก” จิ่งเหิงปัวกระซิบข้างใบหูเขาอย่างมีเลศนัย กล่าวว่า “เจ้าจะไม่ไปแอบดูหน่อยหรือ? หากเขาไร้น้ำใจไร้คุณธรรม ฉวยโอกาสทำร้ายคนรักเก่าของเจ้าเล่า?”
“สตรีโง่เขลาเช่นเจ้านี้เอ่ยวาจาผิดหมดเลย” เผยซูยิ้มเยาะชี้จมูกนาง เอ่ยว่า “ข้อแรก ผู้สูงส่งยึดมั่นคุณธรรมเพียงนี้เช่นข้า จะกระทำเรื่องต่ำช้าเช่นแอบมองได้อย่าง? ข้อสอง อินอู๋ซินไม่ใช่คนรักเก่าของข้า อย่างมากนับเป็นเพียงผู้มีพระคุณของข้า ข้อสาม เรื่องบุรุษ ‘ทำร้าย’ สตรีเช่นนี้ ขอเพียงสตรีไม่ได้เรียกให้ช่วย เห็นได้ชัดว่านางสมัครใจ เรื่องยินยอมทั้งสองฝ่าย เกี่ยวกระไรกับข้า? เพียงแต่ เจ้าเอ่ยได้ถูกต้องวาจาเดียว อิงไป๋ไร้น้ำใจไร้คุณธรรมจริงแท้”
“ข้าว่าเจ้าไร้น้ำใจไร้คุณธรรมเช่นกัน” จิ่งเหิงปัวกลอกตาครั้งใหญ่ ละทิ้งความพยายามต่อเจ้าคนดื้อรั้นถือทิฐิคนนี้ หันหน้าอุ้มสัตว์ประหลาดน้อย คว้าไว้แกว่งเล่นในมือ แกว่งแล้วแกว่งเล่า ไม่รู้ทำไม ‘เผลอไม่ระวัง’ สัตว์ประหลาดน้อยลอยออกไปกะทันหัน ร่วงลงเหนือประตูห้องด้านในที่แง้มอยู่พอดี
“ไอ้หยา ขออภัยด้วย” จิ่งเหิงปัวปิดปากด้วยความตกใจ ร้องว่า “หลุดมือๆ”
ไม่มีคนสนใจนาง เผยซูกลอกตามอง เหยียลี่ว์ฉียิ้มแย้มแฝงนัยลึกล้ำ
เฟยเฟยอ่านสถานการณ์ออกเช่นกัน พอถูก ‘หลุดมือ’ เหวี่ยงออกไป ฉวยโอกาสพลิกตัวครั้งหนึ่ง หวังมุดเข้าในห้อง
เสียง ฟิ้ว ดังกะทันหัน ลมแรงหอบหนึ่งพัดผ่าน สัตว์ประหลาดน้อยถูกม้วนตีลังกาออกข้างนอก ลอยพุ่งมาประหนึ่งกระสุนปืนใหญ่ กระแทกเข้าอ้อมแขนจิ่งเหิงปัวอย่างหนักหน่วง
จิ่งเหิงปัวโซเซครั้งหนึ่งแทบคว้าไว้ไม่ได้ พอก้มหน้า ดวงตากลมโตของสัตว์ประหลาดน้อยกะพริบแล้วกะพริบเล่า ความไม่พอใจและความน้อยใจทั่วสายตา
จิ่งเหิงปัวโยนมันออกไปอีกไม่ได้แล้ว ได้แต่ยอมแพ้อย่างเซ็งๆ หันหน้ามองเหยียลี่ว์ฉี ละทิ้งความคิดจะปลุกปั่นเขา…เหยียลี่ว์ฉีไม่ใช่พวกหยิ่งทระนงตรงไปตรงมาเหมือนเผยซูสักหน่อย เขาเจ้าเล่ห์จนคล้ายปีศาจเฒ่าพันปี คงไม่หลงกลนางแน่นอน
ในห้องยังเงียบ เงียบจนทำให้นางออกอาการคัน สมองบอกตัวเองนับไม่ถ้วนครั้งว่าไม่ต้องสนใจเธอบ้าไปแล้วเหรอทำไมอยากรู้อยากเห็นในห้องขนาดนั้น? แต่ในใจคล้ายมีมนุษย์น้อยวิ่งไปวิ่งมาดังตึกตัก ปลุกปั่นนางไม่หยุดว่า “ดูสิ! ดูสิ! ทำไมสองคนนี้ไม่มีเสียงเลยแม้แต่น้อย? ผิดปกติ! มีอะไรซ่อนอยู่! อาจจะมีปัญหา…อาจจะ…อาจจะ…”
นางทัดผมกะทันหัน ยิ้มแย้มกล่าวว่า “เอ๊ะ เริ่มหนาวแล้ว ลมแรงนัก!”
“ลมจากที่ใดกัน?” เผยซูหันหน้ามองข้างนอก
เหยียลี่ว์ฉียังคงยิ้มแย้ม
พลั่ก ประตูห้องด้านในถูกเปิดออกกะทันหัน จิ่งเหิงปัวร้องอย่างตื่นตระหนกว่า “ว้าย ลมแรงนัก!”
แต่ตอนนางเห็นสภาพในห้อง ลืมกล่าวอะไรเรื่อยเปื่อยไปเลย
หน้าเตียงหยกเนื้ออ่อนอัศจรรย์ในห้องนั้น กระโจมสีอ่อนห้อยสยาย ในกระโจมเห็นอินอู๋ซินนอนอยู่เลือนราง อิงไป๋ยืนอยู่นอกเตียง ขาข้างหนึ่งกึ่งงออยู่ข้างเตียง กำลังก้มหน้าหาอินอู๋ซิน ตอนนี้ประตูเปิดออก เขาลุกขึ้นเงยหน้า ท่าทางคล้ายถูกขัดจังหวะเรื่องดีอะไรกะทันหัน
จิ่งเหิงปัวอ้าปากกล่าวไม่ออก
“เอาจริงเหรอเนี่ย…” นางพึมพำ
อิงไป๋มองนางปราดเดียว ทั้งที่ยังห่างกันห้องหนึ่ง ลำแสงข้างในมืดสลัว แต่นางรู้สึกว่าสายตานั้นดุจน้ำแข็งดั่งหนาม พุ่งเข้าในใจนางกะทันหัน
จากนั้นนางได้ยินเขาเอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “นั่นสิลมแรงนัก”
นางยังไม่ทันรู้สึกตัว เกิดลมแรงพัดผ่านทันที ประตูดีดกลับมาดังพลั่กอีกครั้ง ปะทะบนกำแพงกลายเป็นลมแรงยิ่งกว่าเดิมหอบหนึ่ง ลมพุ่งตรงออกมา กระแทกนางโซเซ กระเด็นออกนอกห้อง
นางคว้าวงกบประตูไว้ทันเวลา ถึงได้ไม่หกล้มหน้าทิ่ม
จิ่งเหิงปัวคว้าวงกบประตูไว้ ผ่านไปสักพักจิตใจถึงสงบลง กรวดทรายร่วงเกรียวกราวบนศีรษะ เป็นทรายบนกระเบื้องหลังคาที่ถูกสั่นสะเทือนร่วงหล่น โปรยปรายทั่วร่างนาง
ท่ามกลางสายตาแปลกประหลาดของเผยซูกับเหยียลี่ว์ฉี นางลุกขึ้นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปัดเสื้อผ้าเล็กน้อย หัวเราะเหอะๆ
“นั่นสิ ลมแรงนัก”
“ข้ากลับรู้สึกว่า” เหยียลี่ว์ฉีเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อยว่า “ทะเลกว้างใหญ่นัก กระแสคลื่นแรงนัก ระลอกแล้วระลอกเล่า ไม่จบไม่สิ้น”
จิ่งเหิงปัวแน่ใจว่าตัวเองฟังไม่รู้เรื่อง
ห้องด้านในพลันมีเสียงร้องอุทาน แผ่วเบา เป็นเสียงของอินอู๋ซิน
จิ่งเหิงปัวแกล้งไม่ได้ยิน ตัดสินใจว่าจะไม่เบนสายตาไปทางนั้นอีกแล้ว
นางรู้สึกว่าตัวเองพิลึกพิลั่นพอแล้ว ไม่รู้ว่าคิดอะไรในสมองทั้งวัน เรื่องนี้เกี่ยวอะไรกับนาง?
แต่ไม่รู้ว่าทำไม แค่อยากรู้ คล้ายเป็นลางสังหรณ์แบบหนึ่ง ซ่อนอยู่ในส่วนลึกของจิตสำนึก ไม่มีสาเหตุ คงอยู่ตลอดเวลา
ประตูพลันเปิดออก อิงไป๋กับอินอู๋ซินปรากฏกายตรงปากประตู