มุมปากนางเพิ่งยิ้มแย้ม พลันถูกลมหนาวเหนือทะเลสาบวันนี้พัดหายไป
แต่ก่อนหวานชื่นเท่าไหน ขณะนี้ก็เปล่าเปลี่ยวเท่านั้น
ความในใจมากแค่ไหน ความทุกข์ใจมากแค่ไหน ต้านทานโชคชะตาบนโลกนี้ไม่ได้ นางเคยอยากเป็นผู้ปกครองต้าฮวง สุดท้ายกลับถูกขับไล่ห่างไกลความหวานชื่นกับความอบอุ่นเหล่านั้น ร่อนเร่พเนจรทั่วหล้า
กระทั่งได้รับความลำบากร้อยแปดพันเก้า นางก็ยังโกรธแค้น
ดอกไม้เหล่านั้นอาจจะแสนสวยแสนดี สุดท้ายแล้วเส้นทางสายนั้นอาจจะนำไปสู่ความสมบูรณ์แบบได้ แต่ว่าไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ
เหยียลี่ว์ฉีสังเกตเห็นการเปลี่ยนสีหน้าของนาง ก้นบึ้งของหัวใจเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย
แม้ความอ่อนโยนที่แทรกเข้าไปได้เกือบทุกแห่งก็เติมเต็มช่องโหว่ในใจไม่ได้
…
เหยียลี่ว์สวินหรูกอดผมของท่านอาจารย์จื่อเวย ซบอยู่บนชายกระโปรงของเขา
“เจ้ายังชอบสวมกระโปรง คงเป็นกระโปรงสีม่วงกระมัง? ด้วยเพราะเจ้า จนบัดนี้ข้ายังจำสีม่วงได้ สีอื่นลืมไปพอสมควรแล้ว” นางลูบชุดกระโปรงม่วงที่นุ่มลื่นของเขา แบะปาก รู้สึกว่าอาภรณ์ของเจ้าผู้นี้พิถีพิถันยิ่งกว่านาง
“หลายปีมานี้ เจ้าได้มองพระอาทิตย์ขึ้นบ่อยครั้งหรือไม่? มองพระอาทิตย์ขึ้นทำร้ายดวงตายิ่งนัก ภายหลังข้ามองพระอาทิตย์ขึ้นตั้งหลายครั้ง แสงอาทิตย์ทำร้ายดวงตาไม่ได้อีกแล้ว เจ้าอิจฉาหรือไม่?” นางคว้าผมของเขาไว้ นึกถึงเมื่อหลายปีก่อน นางอยากลูบผมของเขา ผลลัพธ์ถูกเจ้าผู้นั้นโยนตกหน้าผา ยามนี้นางอยากลูบก็ลูบได้ เจ้าผู้นี้คล้ายอดทนอดกลั้นยิ่งนัก เหอะๆ ทนหน่อยเถิด นางยังทนมาตั้งนานขนาดนั้นเลย
“เจ้าเป็นอาจารย์ของเจ็ดสังหาร เจ้าคือท่านอาจารย์จื่อเวย ที่แท้เจ้าคือตาเฒ่า เจ้าอายุเท่าใดแล้ว? ปีนี้ข้าอายุยี่สิบสาม เจ้าคงไม่ได้อายุแปดสิบสามแล้วกระมัง?” นางคำนวณ ที่แท้ปีนั้นที่เจอเขาเป็นครั้งแรก เขาแก่มากแล้ว เฮ้อ ยามนั้นหากรู้ว่าเขาแก่ขนาดนั้น จะลืมเขาหรือไม่?
ไม่ลืม
บางครั้งอาจจะถูกหน้าตาเช่นนั้นดึงดูดตั้งแต่แรกเห็นปราดเดียว ทว่ามองพระอาทิตย์โผล่พ้นทะเลเมฆตรงยอดเขาทั้งวัน นางกับเขาร่วมดื่มด่ำความเงียบงันของวันหนึ่ง ครู่หนึ่งนั้น นางที่อายุสิบสามพลันเข้าใจหลักการที่สำคัญที่สุดในชีวิต
อดทนกับรอคอย
นางอยู่ข้างกายเขา ตั้งแต่ในใจว้าวุ่นจนค่อยๆ เงียบสงบจนสุดท้ายจิตใจไม่ว่อกแว่ก กระทั่งจิตใจเชื่อมโยงกับเขา สุดท้ายมองเห็นท้องฟ้ากว้างใหญ่ปลายทางช้างเผือกทอดยาวเหนือศีรษะ สิ่งที่เป็นของจักรวาลกับโชคชะตา ความจริงที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
รอคอยตั้งแต่พระอาทิตย์ขึ้นครั้งหนึ่งกระทั่งพระอาทิตย์ขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แสงทองระยิบระยับพันหมื่นลี้ในพริบตาสุดท้ายนั้นบอกนางว่าขอเพียงมุ่งมั่นตลอดไป ไม่ยอมหมดหวัง สุดท้ายย่อมได้มองเห็นวงล้อทองโชติช่วงปลายทางเมฆา
นิ้วมือของนางลูบไล้ผ้าลายปักสีม่วง มือเต็มไปด้วยบาดแผล ผิวหนังที่เป็นหลุมเป็นบ่อ เสียดสีจนแพรต่วนเป็นขุย เสียงดังสวบสาบ
ท่านอาจารย์จื่อเวยไม่ได้หันหน้ากลับมาตั้งแต่ต้นจนจบ เขาก็ค่อยๆ เงียบสงบลง น้ำในทะเลสาบสะท้อนเงาร่างเพรียวบางของเขา กลางภวังค์คล้ายยังเป็นยามนั้น ใต้ฝ่าเท้าว่างเปล่า ทะเลเมฆหมื่นจั้ง ส่วนนางนั่งอยู่ข้างกาย เงียบสงบเช่นนี้
“หลายปีมานี้ข้าคิดถึงเจ้าเหลือเกิน เจ้าเคยคิดถึงข้าหรือไม่? ข้ารู้สึกว่านะ เจ้าต้องจำข้าได้แน่แท้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้ามากวาจา ท่านแม่ข้ามักเอ่ยว่าข้าเป็นพวกช่างเจรจา ทว่าทั้งวันทั้งคืนนั้นในปีนั้น ข้ากลั้นไว้ไม่ได้เอ่ยวาจา ไม่เอ่ยวาจาเลย ไม่เอ่ยวาจาเลย ข้ารู้สึกว่าไม่เอ่ยวาจา เจ้าต้องจำข้าได้แน่แท้ ผู้คนบนโลกนี้ พบเจอผู้ใดก็ต้องเอ่ยวาจา ยากที่จะมีสักคนใช้เวลาอยู่กับเจ้าทว่าไม่เอ่ยวาจาเลย ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องจำได้ ใช่หรือไม่?”
เขาไม่เอ่ยวาจา นางหัวเราะคิกคิก ค่อยๆ ไต่ขึ้นหัวไหล่ของเขาไปลูบหน้าของเขา เอ่ยอย่างลุ่มหลงว่า “ผิวยังดีขนาดนี้ เพียงแต่ต่อไปอย่าหันหน้าหาพระอาทิตย์ จะมีจุดด่างดําได้…เฮ้อ แต่เจ้ารู้หรือไม่ว่าภายหลังข้าน่ะ หันหน้าหากำแพง เอ่ยวาจาชั่วชีวิตกับเจ้า ชั่วชีวิต…”
ท่านอาจารย์จื่อเวยคิดหนีอีกแล้ว ทว่ามือนางยื่นไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว สอดเข้าไปในคอเสื้อของเขา ออกแรงคว้าเพียงครั้ง แลไม่รู้ว่าคว้าที่ใดไว้ ท่านอาจารย์จื่อเวยพลันแข็งทื่อทั่วร่าง
น้ำในทะเลสาบสะท้อนสีหน้าของเขา ท่าทางประมาณว่าอยากตายยิ่งนัก
เหยียลี่ว์สวินหรูมีสีหน้าพอใจ ท่าทางคล้ายในใจสำเร็จลุล่วง ยิ้มแย้มเบิกบาน
“ขอบคุณมากที่เจ้าอดทนข้าด้วยเพราะข้าใกล้ตายแล้ว ทว่าข้าจะไม่เกรงใจออมมือหรอกนะ” นางเอ่ยด้วยความองอาจว่า “ข้าจะตายไปยามที่แทะโลมเจ้า ชาติหน้าค่อยเกิดมาเพื่อแทะโลมเจ้าอีกครั้ง”
จิ่งเหิงปัวที่อยู่ไกลออกไปได้ยินแล้ว รู้สึกว่าต้องจดประโยคนี้ไว้ให้ได้ ภายหลังลองถามไท่สื่อหลัน ประโยคที่ยอดเยี่ยมขนาดนี้นางพูดออกมาได้ไหม?
เสียงของเหยียลี่ว์สวินหรูค่อยๆ เบาลง
“เจ้ายังร้องเพลงจิ้งจอกนั้นหรือไม่? ภายหลังข้าใคร่ครวญเพลงนั้นนานหลายปี รู้สึกว่าแท้จริงแล้วไม่ใช่เพลงกล่อมเด็กด้วยซ้ำ หากมีโอกาสข้าจะเอ่ยความคิดของข้าให้เจ้าฟัง เพียงแต่เจ้าต้องร้องให้ข้าฟังอีกครั้งหนึ่ง…”
เรือนร่างของนางค่อยๆ อ่อนยวบลงไป มือคลายออก ลื่นไหลจากผมยาวที่ราวกับแพรนิล
เหยียลี่ว์ฉีกับจิ่งเหิงปัวลุกขึ้นทันที
ท่านอาจารย์จื่อเวยกระโดดออกไปดังสวบ ไม่หันหน้ามาด้วยซ้ำ ข้ามผ่านผิวทะเลสาบดังฟิ้ว หายไปแล้ว
แขนเสื้อยาวสีม่วงที่ปลิวว่อนของเขาเฉียดผ่านทะเลสาบใสสะอาด งดงามดั่งเทพธิดา ทว่าท่วงท่าที่วิ่งหนีอัปลักษณ์ยิ่งนัก
วาจา เช่น วิ่งหนีหางจุกตูด วิ่งหน้าตาตื่น เหมาะสมจะบรรยายยิ่งนัก
จิ่งเหิงปัวโกรธจนน้ำตาไหล ร้องด่าว่า “เจ้ามันไอ้แก่หนังเหนียวใจแข็ง…” สาวเท้าพุ่งเข้าไปดูเหยียลี่ว์สวินหรู แต่ไม่กล้าไปตรวจลมหายใจของนาง ซ้ำยังไม่กล้าถามเหยียลี่ว์ฉีที่กึ่งคุกเข่าจับชีพจรให้นาง กลัวว่าจะได้ยินข่าวที่ไม่อยากฟัง
ครู่ใหญ่เหยียลี่ว์ฉีหันหน้ากลับมา ส่งยิ้มที่ไม่รู้ว่าดีใจหรือขมขื่นให้นาง กระซิบว่า “…ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อครู่เขารักษาลมหายใจให้นางแล้ว”
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจยาว เงยหน้าขึ้น
ทุกสิ่งตรงหน้าเลือนรางมัวสลัว เหลือเพียงความรู้สึก ชัดเจนแจ่มแจ้งทั้งมวล
…
เหยียลี่ว์สวินหรูพักอยู่ที่เขาชีเฟิง
แท้จริงแล้วร่างกายของนางไม่ค่อยดีเท่าใด ถูกพิษมานานก็แก้ได้ ทว่าเป็นตัวประกันใช้ชีวิตลำบากเนิ่นนาน ได้รับแรงกดดันหนักหน่วงยาวนาน ทำให้สตรีนี้เหนื่อยล้าทั้งกายและใจตั้งนานแล้ว ซือซือเคยจับชีพจรให้นาง เอ่ยว่าอวัยวะภายในของนางเสียหายสาหัส หากเป็นผู้อื่นน่าจะสิ้นชีพไปตั้งนานแล้ว นางท้าทายขีดจำกัดด้วยร่างกายที่หมดแรงอ่อนล้า พยายามมีชีวิตอยู่เพื่อน้องชาย ไม่สูญสิ้นกำลังใจ จนบัดนี้นางรู้ตัวว่าน้องชายไม่ต้องการนางอีกต่อไปแล้ว พลังที่ยืนหยัดต่อไปเช่นนั้นจึงสิ้นสุดแล้ว
ตามวาจาของซือซือ แม้พยายามสุดความสามารถ ก็เพียงให้นางอยู่ได้อีกไม่กี่ปีเท่านั้น
ซือซือยังเอ่ยว่าสำหรับคนเช่นนางนี้ ก็ไม่ต้องแสร้งเอ่ยว่าพยายามกินของดีมากขึ้นอะไรเอย ให้คนป่วยมีความสุขมากขึ้นอะไรเอย คนเข้มแข็งที่แท้จริงไม่ต้องการความเอาใจใส่กับการปกป้องของผู้อื่น แล้วแต่นางดีที่สุด เป็นตัวของตัวเองดีที่สุด
ครานี้ซือซือกระตือรือร้นยวดยิ่ง เริ่มดูแลสุขภาพของเหยียลี่ว์สวินหรูอย่างตั้งใจยิ่งยวด สำหรับเรื่องนี้จิ่งเหิงปัวรู้สึกสงสัยว่าวาจาพวกนี้ ซือซือเป็นคนเอ่ยหรือว่าจื่อเวยเป็นคนเอ่ยกันแน่?
เพียงแต่ท่าทางของเจ็ดสังหารเรียบร้อยยิ่งนัก วิ่งทั่วภูเขากระตือรือร้นหายาทุกวัน จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าพวกเขาคงหวังว่าเหยียลี่ว์สวินหรูจะอยู่ได้นานขึ้น จะได้กลั่นแกล้งยายเฒ่าปีศาจต่อไป
ทว่าตัวเหยียลี่ว์สวินหรูเองมีท่าทางไม่สนใจอย่างแท้จริง แม้กระทั่งต่อเหยียลี่ว์ฉี ก็ไม่ได้เผยให้เห็นความอาลัยอาวรณ์มากมาย ทุกวันเช้าตรู่นางตื่นขึ้นมา ผมร่วงกระจุกใหญ่ มักยิ้มแย้มเอ่ยว่าเก็บไว้จะได้ทำเป็นตุ๊กตาสักตัว ร่างกายดีขึ้นหน่อยนางก็วิ่งวุ่นทั่วภูเขา ไล่จับท่านอาจารย์จื่อเวยทุกหนทุกแห่ง
นางพกกรรไกรเล่มหนึ่งติดกาย ไล่จับท่านอาจารย์จื่อเวย พอเจอเขาก็คว้าออกมาดังฟิ้ว ฟันขาวซี่ใหญ่กับขอบคมของกรรไกรเปล่งประกายพร้อมกัน ท่านอาจารย์จื่อเวยวิ่งหนีเร็วขึ้นทุกครั้ง
จิ่งเหิงปัวเคยถามนางว่าเหตุใดถึงกรรไกรพกติดตัว เหยียลี่ว์สวินหรูบอกว่าตั้งแต่ได้เจอเขาตอนอายุสิบสาม กรรไกรนี้ก็ไม่เคยห่างกายนาง ความปรารถนาของนางก็คือตัดผมของเจ้าคนนี้ มัดรวมกับผมของตัวเองทำเป็นตุ๊กตา เอาไว้เป็นสมบัติฝังร่วม
ตัดผมเท่ากับต้องการชีวิตของเจ้าผู้ชรา แต่จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเหตุผลที่ท่านอาจารย์จื่อเวยเห็นสวินหรูก็วิ่งหนี อาจเป็นเพราะกรรไกรเล่มนั้นใหญ่เกินไปแข็งเกินไปจริงแท้ ไม่เหมือนเตรียมไว้ตัดผมโดยสิ้นเชิง พอจะตัดกิ่งไม้ได้แบบนั้น นางสงสัยเหลือเกินว่าพวกวิปริตเช่นสวินหรูนั้น แท้จริงแล้วอยากตัดตำแหน่งอื่นมาฝังร่วมมากกว่า ซ้ำยังคิดว่าท่านอาจารย์จื่อเวยก็คิดเหมือนกับนาง
พอเอ่ยแล้วก็น่าแปลก ท่านอาจารย์จื่อเวยหาตัวจับยากยิ่งนัก แม้แต่เจ็ดสังหารกับจิ่งเหิงปัวก็ไม่แน่ใจว่าเขาพักอยู่ที่ใด จะปรากฏกายที่ใดกันแน่ ทว่าคนที่สูญเสียการมองเห็นเช่นสวินหรูนี้คล้ายมีจิตสัมผัส ไล่จับเขาไว้ได้บ่อยครั้ง
ยามที่นางดื่มยา จะคว่ำชามเล็กน้อย ยิ้มแย้มปรีดาเอ่ยกับอากาศว่า “ดื่มหมดแล้วนะ เร็วหรือไม่?”
ตอนแรกจิ่งเหิงปัวนึกว่านางเอ่ยเองเออเอง แต่ครั้งหนึ่งหลังจากที่ยกถ้วยยาออกไป มองเห็นชายกระโปรงสีม่วงโผล่มาใต้ชายคาห้อง
นางกินข้าวได้ครึ่งหนึ่งก็พลันวิ่งไปข้างหน้าผา คว่ำข้าวในชามลงไปข้างล่างดังซ่า ผ่านไปไม่นาน ท่านอาจารย์จื่อเวยก็จะลูบผมที่ถูกทำให้สกปรกกระโจนขึ้นมาร้องด่า เหยียลี่ว์สวินหรูก็ไม่โกรธเคือง ยิ้มแย้มปรีดาฟังเขา ยกมือที่ซ่อนไว้ข้างหลังออกมา ประคองน้ำแกงหนึ่งชามไว้ในมือ เอ่ยว่า “มาดื่มน้ำแกง ดื่มหมดแล้ว ภายหลังข้าจะไม่เทข้าวบนศีรษะเจ้าอีกแล้ว แลจะไม่ง้างกรรไกรใส่เจ้าเรื่อยเปื่อยแล้ว”
ท่านอาจารย์จื่อเวยแย่งชามมา ดื่มหมดในสองสามอึก กระโดดหนีไปประหนึ่งกระต่าย…หากเขาอยู่ต่อไป สวินหรูก็จะเรื่องมากจนทำให้เขาไปไม่ได้
เพียงแต่หลังจากที่ดื่มหมดแล้วเขาไม่ได้ปรากฏกายสามวัน ด้วยสวินหรูเอ่ยว่าน้ำแกงนั้นช่วยปลุกอารมณ์ได้ นางอยากทดสอบว่าความสามารถด้านนั้นของเจ้าผู้ชรายังอยู่หรือไม่
ครั้งหนึ่งนางนอนได้ครึ่งเดียวก็ลุกขึ้นกะทันหัน หิ้วกระโปรงไว้วิ่งไปข้างนอกโดยไม่สนใจการขัดขวาง คนกลุ่มหนึ่งวิ่งตามไป นึกไม่ออกว่านางจะทำอะไร ผลลัพธ์นางวิ่งไปข้างทะเลสาบน้อยที่ลึกลับแห่งหนึ่ง ปกติแล้วไม่เคยมีผู้ใดเคยพบเห็นมาก่อน ที่นั่น ท่านอาจารย์จื่อเวยกำลังอาบน้ำ มองเห็นคนกลุ่มใหญ่ปรากฏกายกะทันหัน เขาเปล่งเสียงกรีดร้องโดยพลัน
วันนั้นจิ่งเหิงปัวได้มีความสุขได้แก้แค้นแล้ว นางหอบเสื้อผ้าของท่านอาจารย์จื่อเวยหนีไป ซ้ำยังมองเห็นเจ้าผู้ชรานั่นสวมใบไม้วิ่งแก้ผ้าอยู่ในป่า
ต้องกล่าวว่าท่านอาจารย์จื่อเวยชะลอวัยไม่แก่ชราจริงด้วย เทียบกับเขาแล้วอินอู๋ซินยังห่างชั้นอยู่มาก
อีกครั้งหนึ่งนางเอ่ยว่าจะไปเที่ยวชมครึ่งเขาสักหน่อย เหยียลี่ว์ฉีแบกนางลงเขา เดินได้ครึ่งทางนางพลันเอ่ยว่าจะปลดทุกข์ จิ่งเหิงปัวก็ไปกับนางด้วย ผลลัพธ์นางไม่ไปหลังต้นไม้ ไม่ไปข้างร่องน้ำน้อย ไม่ไปสถานที่ลับตาคนใดๆ จะปีนไปบนหน้าผาที่ยื่นออกมาแห่งหนึ่งให้ได้ หลังจากที่จิ่งเหิงปัวแบกนางปีนขึ้นไป มองเห็นใต้หน้าผาที่ยื่นออกมามีแม่น้ำ ริมฝั่งแม่น้ำมีหาดทราย ท่านอาจารย์จื่อเวยกำลังถ่ายหนักบนหาดทราย ถ่ายไปพลางถูไถบนผิวทรายไปพลาง ซ้ำยังฮัมเพลง กระโปรงยาวสีม่วงถูกเขาแขวนไว้บนไม้ง่ามสยายพลิ้ว ดูท่าทางคล้ายเพิงโปร่งแสงสีม่วง ส่วนเขาดุจแมวที่กลบอุจจาระได้ตัวหนึ่ง หันหลังให้ลมภูเขาเป่าก้น หันหน้าหาแม่น้ำร้องเพลงชาวเขา
จิ่งเหิงปัวหัวเราะจนเกือบจะตกหน้าผา