เหนือศีรษะเสียงลมดังฟิ้วๆ ท่านอาจารย์จื่อเวยวิ่งเร็วยิ่งนัก จิ่งเหิงปัวคาดคะเน ผ่านยอดเขาสามลูกแล้ว
นางรู้ว่าเขาชีเฟิงนี้ ยิ่งเข้าไปข้างในยิ่งอันตราย ยอดเขาลูกที่เจ็ด แม้แต่เจ็ดสังหารยังเคยไปน้อยครั้ง
ตอนที่ผ่านยอดเขาลูกที่สี่ นางสูดหายใจยาว รอให้เขาหยุดวิ่ง ผลลัพธ์เจ้าคนนี้ไม่ได้หยุดฝีก้าว
ตอนที่ผ่านยอดเขาลูกที่ห้า นางเริ่มดิ้นรนอยู่ในมือท่านอาจารย์จื่อเวย กลัวว่าเขาวิ่งเพลินเกินไปลืมปล่อยนางลงไป หวังจะเตือนเขาสักหน่อย
ผลลัพธ์ไอ้แก่หนังเหนียวนั่นยังวิ่งผ่านไปปานลมระลอกหนึ่ง จิ่งเหิงปัวทักทายบรรพบุรุษทุกคนของเขาอยู่ในท้อง
“พลั่ก” ดังขึ้น นางพลันถูกทิ้งลงไปอย่างไม่มีลางบอกเหตุ ถ้าไม่ใช่เพราะนางเฝ้าระวังทุกเวลา ตอนนี้ก้นคงบี้แบนหมดแล้ว
พอเงยหน้ามอง ตรงหน้าคือหุบเขาแห่งหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่สถานที่ที่น่าขนลุกเช่นหุบเขาเทียนฮุยนั้น หุบเขานี้มีทุ่งหญ้าเขียวขจี ดอกไม้บานสะพรั่ง ไกลออกไปมีน้ำตกน้ำพุ เกิดไอน้ำท่วมท้นใต้แสงอาทิตย์ ดูท่าทางสงบสุขและงดงาม
แน่นอนว่านางรู้ดี นี่มันเป็นไปไม่ได้
“ยอดเขาลูกที่หก” ไอ้แก่หนังเหนียวยืนอยู่บนต้นไม้ อาภรณ์กับม้วนกระดาษม้วนหนึ่งในมือลากยาวลงมา เขาใช้พู่กันปลายทู่ด้ามหนึ่งขีดเขียนบนนั้น เอ่ยว่า “หุบเขาโซ่วหลาน ข้างในมีสัตว์เล็กสัตว์น้อย ให้เวลาเจ้าหนึ่งวัน เจ้าเข้าไปจับมาสักหน่อย ให้คะแนนเพิ่มตามระดับของสัตว์”
“โซ่วหลาน?” จิ่งเหิงปัวถาม
“โซ่วหลาน ข้างในหุบเขามีดอกกล้วยไม้ที่บอบบางมากมาย เจ้าดูสิ นามนี้ฟังแล้วก็รู้ว่าไม่มีอันตรายอะไร” เจ้าผู้ชราตอบอย่างจริงจัง
จิ่งเหิงปัวมองใบหน้าที่สง่างามของเขา ถอนหายใจ
ตอนที่พระเจ้าสร้างเขา คงไม่ระวังเผลอเทหมึกดำมากมายลงไปในใจเขาแน่แท้
“สัตว์เกราะเงินหนึ่งแต้ม สัตว์เกล็ดเขียวหนึ่งแต้ม หนามสวรรค์? หนึ่งแต้ม นกหนามสองแต้ม…” ท่านอาจารย์จื่อเวยประกาศแต้มน้ำไหลไฟดับ ตั้งแต่หนึ่งแต้มเรียงกันไปถึงห้าแต้ม ซ้ำยังบอกพิกัดที่เหล่าสัตว์ข้างต้นเคลื่อนไหว
จิ่งเหิงปัวตัดสินใจอย่างง่ายดายว่าจะเริ่มล่าสัตว์ที่ได้หนึ่งแต้มก่อน แต่ปัญหาคือสัตว์เกราะเงินอยู่ที่นี่เป็นแค่สัตว์ที่ได้หนึ่งแต้ม สัตว์ที่เหลือตัวไหนรับมือได้ง่ายบ้าง?
ช่างเถอะ การทดสอบมักจะยากเสมอ ตอนนี้นางเพิ่งสะสมถึงห้าสิบหกคะแนน
“สัตว์ที่ได้หนึ่งแต้มล่าได้ง่ายนักนะ ล่าได้ถึงสี่ตัวก็ใกล้สอบผ่านแล้ว” น้ำเสียงของเจ้าผู้ชรามีเมตตายิ่งนัก
“เช่นนั้นไปทางตะวันตกล่าสัตว์เกล็ดเขียวที่ได้หนึ่งแต้มดีกว่า…” นางพึมพำ เงาร่างกะพริบวูบไปทางตะวันตก
ท่านอาจารย์จื่อเวยหัวเราะฮิฮิ นอนอยู่บนต้นไม้ไขว่ห้างรอคอย
ไม่นานทางตะวันตกก็แว่วเสียงเคลื่อนไหว เสียงสังหาร เสียงคำราม เสียงนกแตกรัง และเสียงกิ่งไม้หัก เจ้าผู้ชราฟังเสียงเหล่านั้น สายตาระยิบระยับ
กลางภวังค์คล้ายนึกถึงเมื่อหลายปีก่อนก็เคยผ่านประสบการณ์เช่นนี้ครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าอันตรายยิ่งกว่าครั้งนี้ การฝึกฝนคัดเลือกเจ้าสำนักครั้งสุดท้ายของสำนักนิกาย แน่นอนว่าย่อมยากลำบากและอันตราย
ทว่ากระทั่งภายหลังเขาเพิ่งได้รู้ สิ่งที่อันตรายที่สุดคือใจคน
ท่ามกลางการฝึกฝนครั้งนั้นก็มีสาวน้อยโฉมงามนางหนึ่ง นั่นคือศิษย์น้องหญิงเล็ก เหล่าศิษย์พี่ชายน้องชายทุกคนใส่ใจและรักใคร่นาง ทุกคนมองเห็นนางต่างก็ใจอ่อนอย่างควบคุมไม่ได้ สูดกลิ่นบรรยากาศหวานชื่นที่นางดำรงอยู่อย่างเงียบเชียบ ท่ามกลางความรู้สึกประหนึ่งหมอกควันนิ่มนวล
การแอบรักเป็นเรื่องที่งดงามที่สุดในโลกมนุษย์ หมอกควันไกลโพ้นของสำนักนิกายจึงคล้ายล่องลอยด้วยเสียงร้องเพลง
เพียงแต่เพลงเพลงเดียว คนมากเกินไปขับร้องพร้อมกัน มักจะปรากฏเสียงเพี้ยนกับการกลายเสียง สุดท้ายแล้วจบเพลงด้วยเสียงโหยหวน
“จิ้งจอกใหญ่ล้มป่วย จิ้งจอกรองตรวจอาการ จิ้งจอกสามซื้อยา จิ้งจอกสี่ต้มยา จิ้งจอกห้าสิ้นใจ จิ้งจอกหกยกหาม จิ้งจอกเจ็ดขุดหลุม จิ้งจอกแปดฝังกลบ จิ้งจอกเก้าร้องไห้ จิ้งจอกสิบถามว่าเหตุใดเจ้าถึงร้องไห้? จิ้งจอกเก้าเอ่ยว่าเจ้าห้าไปแล้วไปลับ…”
ร้องเพลงพื้นเมืองเพลงหนึ่งมาครึ่งชีวิต สุดท้ายแล้วถูกสตรีที่ไม่เกี่ยวข้องนางหนึ่งเปิดเผยความลับ
เรื่องในอดีตกับความลับที่มีฝุ่นเขลอะเปรียบเสมือนแผลเป็น ครู่หนึ่งนั้นที่เปิดออก โลหิตยังคงไม่หยุดไหลริน
เขาคือจิ้งจอกสี่ หรือว่าจิ้งจอกห้า? หรือว่าจิ้งจอกหก?
เป็นทั้งหมด
ท่ามกลางการฝึกฝนครั้งนั้น ศิษย์พี่ใหญ่บาดเจ็บสาหัส ศิษย์พี่สามตามหาดอกผูถี เขารับหน้าที่ต้มยา หลังจากที่ต้มยาเสร็จแล้ว กระบี่เล่มหนึ่งแทงทะลุแผ่นหลังของเขา
โลหิตแดงฉานไหลผ่านแผ่นหลังอย่างเย็นเยือก ทิวทัศน์ตรงหน้าราวกับจมดิ่งในคลื่นน้ำ กระเพื่อมมัวสลัว รวมทั้งเสียงเหล่านั้นก็หึ่งๆ อื้อๆ ฟังไม่ออกว่าเป็นคนคุ้นเคยหรือคนแปลกหน้า
กลางภวังค์ได้ยินเสียงคนหัวเราะเอ่ยว่า “ไอ้เด็กโง่ผู้นี้ แยกไม่ออกระหว่างดอกผูถีกับโพธิจิต พลังภายในโพธิจิตถึงขั้นที่ห้าก็เกิดเป็นโพธิจิตหนึ่งดวง”
สิ่งที่ศิษย์น้องห้าของเขาฝึกฝนก็คือพลังภายในโพธิจิต
ซ้ำยังมีเสียงหัวเราะเอ่ยว่า “โพธิจิตผสมโลหิตจันทร์กระจ่างของเขา พอดีเลย ยินดีด้วย…ใกล้สำเร็จวรยุทธเทพ”
ซ้ำยังมีคนกำลังหัวเราะเช่นกัน “เอ่ยกันว่าเขามีพรสวรรค์ล้ำเลิศ คงสยบพวกต้มตุ๋นหลอกลวงทางนั้นได้…เส้นทางที่เตรียมพร้อมไว้ให้เขา ครอบครองอำนาจกับโฉมงาม…บนโลกนี้ผู้ใดควรเป็นตัวประกอบ…”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะเยาะระลอกหนึ่ง บางคนเดินเข้ามาหามเขาขึ้นไป เขาไม่รู้ว่าคือผู้ใด
เขาถูกหามเข้าไปในหลุมลึกที่ขุดเสร็จก่อนแล้วหลุมหนึ่ง รู้สึกได้ว่ามีดินร่วงลงมาอย่างเย็นเยือก ค่อยๆ ผ่านลำคอ ความมืดมิดกับการหายใจไม่ออกครั้งแล้วครั้งเล่า
ในใจเขารู้สึกสิ้นหวัง หวังเพียงลบเลือนและลืมเลือนฉากหนึ่งนี้ สมองว่างเปล่าขาวโพลน
เขาพลันได้ยินเสียงมีคนพุ่งเข้ามา ซ้ำยังได้ยินเสียงซักถาม เสียงตำหนิ เสียงขัดขวางรำไร จากนั้นก็มีเสียงอาวุธปะทะกันดังขึ้น หลังจากนั้นเป็นเสียงตุ้บ มีอะไรสักอย่างล้มลงข้างหลุมอย่างหนักหน่วง
ของเหลวบางอย่างหยดลงบนใบหน้าของเขา กลิ่นคาวร้อนผ่าวเหนียวหนับ เป็นโลหิต
โลหิตจำนวนมากไหลรินหยดติ๋งผ่านรอยแตกของดิน ชะล้างดินโคลนที่ฝังใบหน้าของเขาไว้ เขาขยับไม่ได้ แผ่นหลังเจ็บปวดคล้ายจะระเบิดออก ได้แต่หายใจอย่างเชื่องช้า
เขาลืมตาไม่ขึ้น ไม่รู้ว่านี่คือโลหิตของผู้ใด
นิ้วมือเย็นเยือกของศพนั้นทอดลงบนใบหน้าของเขา คล้ายกระทั่งสิ้นใจก็ยังอยากตรวจลมหายใจของเขา
ดินร่วงลงมาอีกครั้ง ครานี้ไม่มีคนขัดขวางแล้ว
ทว่าร่วงหล่นเพียงเสียมเดียว จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้องโหยหวนหลายเสียง ครานี้เสียงร่วงหล่นดังพลั่กยิ่งดังก้อง โลหิตแดงฉานที่มากกว่าเดิมไหลรินลงมาดังซ่า
โลหิตที่มีกลิ่นเหม็นคาวเหล่านั้นไหลสู่ข้างริมฝีปาก เขากลืนลงไปในท้อง เขาต้องการฟื้นคืนพละกำลัง เขาจะต้องอยู่ต่อไป
รสชาติของโลหิตมนุษย์ก็ไม่แตกต่างกับเลือดสัตว์มากนัก คัมภีร์ในสำนักเอ่ยว่าดื่มโลหิตมนุษย์จะกลายเป็นมาร ทว่าเขายอมกลายเป็นมาร
เทียบกับมารที่กำเริบเสิบสาน ใจคนน่ากลัวยิ่งกว่า
เพียงแต่โลหิตนี้เป็นของผู้ใด?
บนหลุมมีเสียงฝีเท้า มีคนกำลังเดิน มีเสียงลากศพ คล้ายไม่ได้ลากเพียงศพเดียว
คล้ายมีคนยืนอยู่ข้างหลุม ก้มมองเขาเล็กน้อย เขารู้สึกถึงความหนักเบาของสายตานั้น รู้แน่ชัดว่าครู่ต่อมาจะมีกระบี่เล่มหนึ่งแทงทะลุหน้าอกของเขา เพื่อให้แน่ใจในการตายของเขา
กระทั่งครู่หนึ่งนี้ก็ได้แต่น้อมรับอย่างไม่หวาดหวั่น
ทว่ากระบี่นั้นไม่ได้แทงลงมา ท่ามกลางจิตสำนึกที่ล่องลอยเลือนราง รู้สึกเพียงว่าข้างกายคนที่มองเขานั้นคล้ายมีคนยืนอยู่อีกหนึ่งคน คล้ายเคยถกเถียงกัน ซ้ำยังคล้ายเคยปลอบโยน จากนั้น เสียงฝีเท้าห่างไกลอีกครั้ง
ท่ามกลางเสียงฝีเท้าที่ห่างไกลนั้น บางคนร้องเพลงอย่างแผ่วเบา เพลงจิ้งจอกเพลงนั้นวนเวียนในป่าทึบที่มืดครึ้มรอบแล้วรอบเล่า
ครานี้เงียบสงบจริงแล้ว
เขาจมดิ่งสู่ห้วงสลบไสล
ค่ำคืนนั้นฝนตกหนัก น้ำฝนรั่วไหลลงมาตามเถาวัลย์กับร่มไม้ ท่วมทั่วหลุมดิน เขาลอยออกมาจากในหลุม ดิ้นรนคลานเข้าถ้ำ เป็นไข้สูงครั้งหนึ่ง รอให้ฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง แม้แต่เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ก็จำไม่ค่อยได้แล้ว
จำได้เพียงเพลงนั้นเพลงเดียว
ยามที่เขาเดินโซเซออกจากป่า มองเห็นศพนอนเกลื่อนกลาดตลอดทาง ศพของศิษย์พี่ใหญ่ ศพของศิษย์พี่รอง ศพของศิษย์พี่สาม…ลูกศิษย์ทุกคนในสำนักสิ้นชีพหมดแล้ว
เขามองเห็นศพที่มีเลือดเนื้อเลือนรางของศิษย์น้องหญิง แม้แต่หน้าตายังจำแนกได้ไม่ชัดเจน ศิษย์น้องสิบก็อยู่ข้างกายนาง กระทั่งสิ้นใจยังมีท่าทางที่ปกป้องนาง
เขามองเห็นศิษย์น้องหกก็สิ้นชีพอยู่ข้างหลุมที่ฝังเขาก่อนหน้านี้ มือเอื้อมไปข้างหน้าอย่างไร้เรี่ยวแรง
เขามองเห็นหน้าอกของศิษย์น้องห้าถูกควักเป็นโพรงหนึ่ง
เขานับศพของศิษย์พี่ชายน้องชายตลอดทาง สุดท้ายมองเห็นควันดำที่ลอยออกมาจากในสำนักที่ทางออกป่าทึบ
สำนักถูกทำลายแล้วเช่นกัน เขามองเห็นเงาร่างนับมิถ้วนแหวกว่ายในสำนัก เข้าออกสถานที่ต้องห้ามที่ซ่อนไว้เหล่านั้นของสำนักอย่างรวดเร็วยิ่งนัก มีคนกลุ่มหนึ่งใกล้จะมาทางป่าทึบแล้ว
เขาได้แต่จากไป
การจากไปครั้งนี้ก็ผ่านไปหลายสิบปี ล่องลอยไปตามกระแสน้ำ พเนจรครึ่งค่อนชีวิต ความทรงจำของเขาค่อยๆ เลือนราง สำนัก ศิษย์พี่ชาย ศิษย์น้องชาย ศิษย์น้องหญิง ต่างซีดขาวราวกับเงาไกลโพ้น เหลือไว้เพียงเพลงจิ้งจอกเพลงนั้น
ร้องเพลงนั้นปีแล้วปีเล่า เขาก็ไม่รู้ว่าเหตุใดตนเองต้องร้องเพลงนี้ ความตายที่ไม่มีที่สิ้นสุดครั้งนั้นคล้ายปริศนาข้อหนึ่ง ผนึกแน่นอยู่ในเพลงเพลงนี้ เขารู้ว่าคำตอบก็อยู่ตรงนั้น ก็อยู่ที่นั่น ทว่านานหลายปีขนาดนั้น เขาไม่คิด ไม่อยากไปคิด
ทุกคนสิ้นชีพหมดแล้ว ยังไปสืบหาว่าผู้ใดเป็นฆาตกร ไม่มีความหมายแล้ว ไม่ใช่หรือ?
ปีที่สอง คู่ปรับเก่าของสำนักที่เขาเป็นศิษย์ สำนักที่ไกลโพ้นและท่วมท้นด้วยกลิ่นอายแห่งเซียนนั้นคัดเลือกประมุขใหม่ ผ่านไปไม่นานประมุขก็สมรสแล้ว เล่ากันว่ายามนั้นมีคนมาร่วมงานอุ่นหนาฝาคั่ง เป็นเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่ของเหล่าสำนักในต้าฮวง
ปีที่สาม ประมุขท่านนั้นปิดประตูไม่รับแขก เรื่องในสำนักมอบให้ฮูหยินจัดการแทน
ข่าวสารเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเขาแล้ว เป็นเพียงเรื่องไร้บันทึกบางส่วนของสำนักเซียนไกลโพ้นนอกแดนมนุษย์ เขาไม่มีแม้แต่สำนักแล้ว ก้าวก่ายความรักความเกลียดความเป็นความตายของผู้อื่นไปไย?
สมญาของเขานามว่าจื่อเวย ดอกไม้ชนิดหนึ่งในป่าทึบ สีม่วงเล็กน้อย ดอกไม้ที่ศิษย์น้องหญิงโปรดปรานที่สุด