เหยียลี่ว์ฉีพุ่งไปข้างกายจิ่งเหิงปัว
เขาพาพี่สาวมาด้วย พอมาถึงที่นี่ก็ให้เหยียลี่ว์สวินหรูไปกวนท่านอาจารย์จื่อเวย ตนเองพุ่งไปข้างกายจิ่งเหิงปัว เห็นนางไม่บาดเจ็บแม้แต่น้อย หมดห่วงนิดหน่อย
ฝั่งตรงข้ามมีสิ่งมีชีวิตที่คล้ายกระต่ายเทาตัวหนึ่ง กำลังนั่งยองกินเมล็ดสนด้วยท่าทางที่ไร้เดียงสาไร้อันตราย
เหยียลี่ว์ฉีไม่ว่างสนใจกระต่ายนั้น เขารู้สึกว่าจิ่งเหิงปัวผิดปกติเล็กน้อย
นางมีสีหน้าซีดเผือด หน้าตาแข็งทื่อ สายตาจ้องจุดหนึ่งข้างหน้าเขม็ง แต่กลับไม่ได้มองจุดหนึ่งนั้นด้วยซ้ำ คล้ายว่ามองฟ้าดินที่ไกลออกไปผ่านที่นั่น
แววตานางมีความรังเกียจเล็กน้อย ความเจ็บปวดที่ลึกล้ำ และความหวาดกลัวที่ไม่มีที่สิ้นสุด
สิ่งใดที่ทำให้นางเจ็บปวดและหวาดกลัว?
เขาจ้องเพลิงสีดำสลัวที่ล่องลอยอยู่ในนัยน์ตาดำขลับคู่นั้น รู้สึกเพียงว่าหัวใจของตนเองก็คล้ายค่อยๆ เกร็งแน่น
มีเรื่องใดเกิดขึ้นแล้วแน่แท้
จากนั้นเขาได้ยินจิ่งเหิงปัว หันหน้าหาเขา ใช้เสียงที่เย็นเยือก เชื่องช้า เต็มไปด้วยความสิ้นหวังถามว่า “กงอิ้น อยากสังหารข้าหรือ?”
เหยียลี่ว์ฉีสั่นสะท้าน
พริบตาหนึ่งเขาอยากแก้ไข เขาจะไม่ยอมเป็นตัวแทนของผู้ใดก็ตาม
เขาอยากตะโกนลั่น ทำลายฝันร้ายยามนี้ของนาง
ทว่าประสบการณ์ที่ดิ้นรนต่อสู้ในหลายปีผ่านมาพลันบอกเขา ยามนี้ นางกำลังฝ่าฟันอุปสรรค
นางเคยได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าระบายออกมาไม่ได้ แข็งขืนระงับไว้ อำพรางบาดแผลในใจด้วยรอยยิ้ม
แลคล้ายสมบูรณ์พูนสุข แท้จริงแล้วอันตรายหนักหนา ด้วยเพราะพลังภายในสำคัญของสำนักใดๆ ในโลกหล้า ก่อนอื่นก็ต้องการสภาพจิตใจที่สมบูรณ์แข็งแกร่ง ไม่มีรอยร้าวเลยแม้แต่น้อย
ใช้กาวเหนียวสมานแผล แล้วค่อยทาสีแดงที่สวยสดงดงามหนึ่งชั้น ไม่ได้หมายความว่าหัวใจนั้นก็ไม่มีบาดแผลอีกแล้ว
นี่เป็นโรคซ่อนเร้น จ้องหาโอกาสระหว่างเส้นทางการสำเร็จวรยุทธของนาง หากนางหลุดพ้นและปล่อยวางอย่างแท้จริงไม่ได้ นางก็อาจคลุ้มคลั่งได้ตลอดเวลา
ผลลัพธ์ในวันนี้ เกี่ยวข้องว่าวันหน้านางจะเป็นอิสระบนโลกนี้ได้หรือไม่ เกี่ยวข้องว่าจะทำลายมารในใจจนสิ้นได้หรือไม่
เขาสูดหายใจเฮือกหนึ่ง ยามนี้เพิ่งได้ยินคำถามนั้นชัดเจน หัวใจพลันเจ็บปวดรวดร้าว
เหตุการณ์บังคับสละราชย์ที่ตี้เกอในค่ำคืนหิมะนั้น เขาอยู่ในจวน สนทนาแนวโน้มสถานการณ์ตี้เกอกับชายสวมหน้ากาก มัวแต่ชิงไหวชิงพริบ แม้ต่อมารู้เรื่องราว แต่การสนทนาส่วนตัวระหว่างนางกับกงอิ้นวันนั้น เขาได้ยินเป็นครั้งแรก
ระหว่างคนรักกัน ไม่นึกว่าจะเคยมีคำถามเช่นนี้
เขาไม่รู้ว่าวันนั้นกงอิ้นตอบอย่างไร ทว่ายามนี้เขาหวังเพียงเป็นกำลังส่วนหนึ่งให้นาง
ด้วยผลลัพธ์ครั้งใหม่ แผ่คลุมความเจ็บปวดเหน็บหนาวในวันนั้น เปลี่ยนเป็นโลกใบใหม่
“ไม่” เขาพลันเอ่ยว่า “เหิงปัว แว่นแคว้นโลกหล้านี้ไม่ได้สำคัญขนาดนั้น พวกเขาก่อเรื่องวุ่นวาย พวกเราไปตามทาง”
จิ่งเหิงปัวสั่นสะท้านเล็กน้อย
ท่ามกลางความเย็นเยือกผืนหนึ่ง ได้ยินวาจาเช่นนี้ก็คล้ายเห็นตะเกียงดวงหนึ่งพลันสว่างไสวกลางหิมะเหินว่อน
พวกเราไปตามทาง
สรวลลั่นสะบัดผ้าลาลับ ลุ่มหลงบุปผาสุราดี เรื่องราวโลกหล้า ผู้อื่นวุ่นวาย
ในใจนางมีที่ซึ่งเย็นเยือก สั่นสะเทือนเล็กน้อย แหลกสลายแล้ว ท่วมท้นด้วยกระแสปราณอบอุ่นระลอกหนึ่ง
…
พริบตาต่อมาสภาพการณ์พลันเปลี่ยนไป เส้นทางวังยาวไกล สองมือของนางถูกมัดด้วยสายโซ่ ข้างหลังคือขุนนางใหญ่กลุ่มต่อต้านที่คุมตัวนางเข้าวัง ฝั่งตรงข้ามคือเขาผู้เย็นชาราวหิมะ ทั่วร่างดั่งผลึกน้ำแข็งเคลือบแก้ว
“กงอิ้น เจ้าโหดเ**้ยมนัก”
ต่อไปเป็นละครฉากหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าละครที่นางเข้าใจผิดตอนนั้น แท้จริงแล้วไม่ใช่ละคร? หรือว่าเหตุการณ์ทั้งหมดเป็นละคร?
…
เหยียลี่ว์ฉีหลับตา
เขารู้ข้อความต่อไปของบทสนทนานี้ ด้วยเพราะยามนั้นจิ่งเหิงปัวกับกงอิ้นสนทนากันต่อหน้าเหล่าขุนนาง ทุกผู้คนได้ยินแล้ว
เขารู้ว่าบทสนทนาเหล่านี้เป็นสาเหตุที่ทำให้จิ่งเหิงปัวเจ็บปวดไปทั้งหัวใจ ไม่ว่าจะภายภาคหน้าจะอธิบายอย่างไร ครู่หนึ่งนั้นก่อเกิดบาดแผลถึงที่สุดแล้ว
เอ่ยตามตำแหน่งของเขา เขาไม่จำเป็นต้องช่วยกงอิ้นสร้างภาพลักษณ์ใหม่ในใจจิ่งเหิงปัว
ทว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสภาพจิตใจของจิ่งเหิงปัว
เขาปริปากในที่สุด
“เหิงปัว เชื่อข้า”
นางสั่นสะท้านเล็กน้อยอีกครั้ง ที่ซึ่งอยู่เบื้องลึกในใจแตกร้าวดัง “เปรี๊ยะ” วนเวียนเกิดเป็นกระแสปราณขาวราวหิมะผืนหนึ่ง ราวกับแสงสลัวแห่งดวงจันทร์
…
เหตุการณ์เปลี่ยนไปอีกครั้ง
ทุกหนทุกแห่งในวังเป็นมุมมืด ในมุมมืดมีผู้คนยืนอยู่คลาคล่ำ ใบหน้าทุกคนลางเรือนพร่ามัว มีแต่เขาที่ยืนอยู่บนระเบียงทางเดิน สว่างไสวและเหน็บหนาวประหนึ่งหิมะ
บนมือนางเต็มไปด้วยเลือดเหนียวข้น นั่นคือเลือดของชุ่ยเจี่ย ศพชุ่ยเจี่ยยังอยู่ในอ้อมแขนนาง เย็นลงทีละนิ้ว
“กงอิ้น เหตุใดเมื่อครู่เจ้าถึงไม่อยู่?”
…
เหตุใดถึงไม่อยู่?
เหยียลี่ว์ฉีก้าวขึ้นมาหนึ่งก้าว คว้าสองมือที่ชูขึ้นอย่างงงงวยของนาง กุมไว้แน่น ใช้ฝ่ามือมอบความอบอุ่นให้ความเย็นเยือกในยามนี้ของนาง ถอนหายใจครั้งหนึ่ง น้ำเสียงนุ่มนวล
“ข้าอยู่ ข้าอยู่ด้วยตลอด ให้เวลาข้า ข้าจะกลับมาแน่แท้”
นางสั่นสะท้านอีกครั้ง ฝุ่นควันจางหายเกิดแสงสว่างในร่างกาย สาดส่องตรงแน่ว
…
อีกครู่ต่อมา ยังคงเป็นห้องตำหนักที่งดงามหรูหรานั้น หมิงเฉิงกำลังเจื้อยแจ้วอย่างเดือดดาลยิ่งนัก เขายืนนิ่งเงียบอยู่ที่ระเบียงทางเดิน หน้าตานิ่งสงบราวกับรูปสลัก
นางค่อยๆ ยกมือขึ้น หันหน้าหาเขา ทาบหน้าอกของตัวเองไว้
“กงอิ้น ผ่านมานานขนาดนี้ เนิ่นนานเพียงนี้ ข้ากับเจ้า จริงใจหรือเสแสร้ง ช่วยประคับประคองกันหรือตั้งใจลอบทำร้ายกัน หวังช่วงชิงอำนาจหรือหวังเพียงครอบครองหัวใจของเจ้า…บอกข้าว่าเจ้ารู้”
กล่าวประโยคนี้จบแล้ว นางถอยหลังอย่างงงงวยหนึ่งก้าว ในใจเริ่มเจ็บปวดแสนสาหัส ความทรงจำบอกนางว่าคำถามนี้ยังไม่ได้รับคำตอบ
…
ใบหน้าเหยียลี่ว์ฉีก็ค่อยๆ ขาวซีด
เขาเห็นแสงที่เจิดจ้ากลางแววตานางทีละนิ้ว ซ้ำยังเห็นแสงเหล่านั้นสูญสิ้นดั่งถูกลมพัดไปในพริบตา เขาเห็นสีหน้าดิ้นรนของนาง วนเวียนอยู่ระหว่างอดีตที่สับสนกับอนาคตที่เฝ้าหวัง
เขาได้ยินคำถามนี้ ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเบื้องหน้าเขา จิ่งเหิงปัวที่ทําตามใจตนเองจะยอมวิงวอนปานนี้ น้ำเสียงสั่นเครือปานนี้ ร้องขอคำตอบของคนผู้หนึ่งด้วยท่าทางต่ำต้อยที่ใกล้อ้อนวอนปานนี้
เพียงพริบตาหนึ่งนั้น เขาเกิดความเกลียดชังกับความริษยาต่อบุรุษผู้นั้น
เกลียดชังที่เขากล้าทำร้ายไม่รู้จักถนอมนางเช่นนี้ ริษยาที่เขามีวาสนาได้หัวใจของนางเช่นนี้
เขาเป็นอิสระมาตลอด ไม่ถูกผูกมัดด้วยความยินดีหรือความโศกเศร้า ยามที่ทำร้ายจิ่งเหิงปัวนั้นเขายังไม่เคยหลงรัก ไม่เคยมีความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าว ทว่ายามนี้ เขาเกลียดกงอิ้น ซ้ำยังเกลียดตนเอง
วาจาที่เอ่ยออกมาเหล่านั้น เรื่องที่ทำลงไปเหล่านั้น เป็นเพียงการควบคุมสถานการณ์ของนักการเมือง ผู้ใดเคยคิดว่าต้องชดใช้ให้ผู้ได้รับบาดเจ็บนั้น?
ยามนี้เอง
เขาเอ่ยว่า “ใช่แล้ว เจ้าจริงที่สุด ข้ารู้”
นางหยุดถอยหลัง เงยหน้าขึ้น กลางแววตาค่อยๆ เผยให้เห็นแสงสว่าง
…
พริบตาต่อมานางค้ำโต๊ะเครื่องแป้งไว้ รู้สึกแค่ว่าจิตใจเจ็บปวดสาหัส ราวกับโดนต่อยด้วยหมัดหนัก รู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือดในปาก
“กงอิ้น…แท้จริงแล้ว กระทำมากเพียงใด ครุ่นคิดมากเพียงใด เป็นข้าเองที่…คิดเข้าข้างตนเองฝ่ายเดียว”
“ไม่” เสียงหนึ่งพลันตอบว่า “ไม่มีผู้ใดคิดเข้าข้างตนเองฝ่ายเดียว ความรักดำรงอยู่เสมอ”
หนักแน่น ชัดเจน ไม่ต้องสงสัย เปรียบเสมือนตะปูตรึงสู่เบื้องลึกในใจนางทีละตัว หวังสมานแผลในอดีต
ลมหายใจของนางถี่กระชั้นเล็กน้อย บนใบหน้าค่อยๆ ฟื้นคืนสีโลหิต
หิมะหนักของค่ำคืนนั้นกำลังถอยหลัง ลมแรงกำลังหยุดพัก อากาศหนาวค่อยๆ อบอุ่น ได้ยินเสียงหัวใจเต้น
เบื้องลึกของท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป ภาพเหตุการณ์นับไม่ถ้วนหมุนเวียนเปลี่ยนผัน ราวกับเกล็ดหิมะปลิวว่อนค่อยๆ ทำลายพันธนาการกับสิ่งกีดขวางที่อยู่เบื้องลึกในใจนาง นางเบิกตากว้างเล็กน้อย พลันตกใจกับการได้เห็นความจริงบางส่วนที่จงใจซ่อนไว้
จากนั้นก็พลันมาถึงจัตุรัสหวงเฉิง
นางร่วงลงข้างล่างเทวรูปจักรพรรดิผู้สถาปนาแคว้น ประตูวังฝั่งตรงข้ามเปิดออกดังครืน เขาถูกทุกคนล้อมรอบ ค่อยๆ เดินออกมา
ขวางกั้นด้วยเส้นทางวังยาวไกลกับฝูงชนคลาคล่ำ นางกับเขาจ้องมองกัน
พริบตาหนึ่งจิตใจเปลี่ยนแปลง พริบตาหนึ่งความคิดพรั่งพรู ในใจนางรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นรำไร แต่ตอนนี้ไม่อยากรับรู้แล้ว ฝีเท้าของนางเริ่มโซเซถอยหลัง