เขาหรี่ตา หัวเราะขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน
จมดิ่งในความฝันนานกี่ปี ไม่ใช่ตื่นไม่ได้ ทว่าไม่ยอมตื่น กระทั่งจิ่งเหิงปัวกล้าเปิดโปงด้วยดวงตาของผู้ชม เขาถึงต้องตื่นขึ้นมา
ความตาย แต่ไหนแต่ไรไม่ใช่จุดจบที่แท้จริงสินะ…
…
ข้างในหุบเขาพลันแว่วเสียงร้องตะโกน ทำลายการหวนรำลึกของเขา พอเขาเงยหน้าก็มองเห็นจิ่งเหิงปัวมีโลหิตท่วมร่าง กะพริบไปยังกลางอากาศ
นางกวัดแกว่งขาสัตว์ที่มีเลือดโชกข้างหนึ่ง ตะโกนใส่เขาด้วยหน้าเขียวเขี้ยวงอกว่า “ไอ้แก่หนังเหนียว! เจ้าแกล้งคนนี่หว่า! สัตว์เกล็ดเขียวนี่มันร้ายกาจกว่าสัตว์เกราะเงินเยอะเลย จะหนึ่งแต้มได้อย่างไร!”
“โอ้ๆ?” เขาก้มหน้ามองม้วนกระดาษ ครู่ใหญ่พลันตบศีรษะ “โอ๊ย เรียงผิดแล้ว! ตัวนี้น่าจะสองแต้ม วางผิดตำแหน่งแล้ว!”
จิ่งเหิงปัวร่วงลงไปดังตุ้บ เสียงตะโกนโหยหวนยังดังสะท้อนทั่วหุบเขา “เจ้ามันไอ้เฒ่าเฮงซวย!”
ท่านอาจารย์จื่อเวยหรี่ตายิ้มแย้ม
เด็กหญิงน้อยคนนี้สดชื่นคึกคักเป็นนิจ สว่างไสวจนคล้ายพระอาทิตย์แห่งฤดูสารท ไม่เจิดจ้าทว่างดงาม
นางแตกต่างจากศิษย์น้องหญิงโดยสิ้นเชิง ศิษย์น้องหญิงเงียบสงบและน้อยวาจา แสงรุ่งโรจน์ลึกซึ้งและหนักแน่นในนัยน์ตาดำขลับ ทุกผู้คนในสำนักชื่นชมนางยิ่งนัก เอ่ยกันว่าหากไม่ใช่ว่ากฎเกณฑ์สำนักกำหนดให้สตรีรับตำแหน่งเจ้าสำนักไม่ได้ นางถึงเป็นตัวเลือกเจ้าสำนักที่เหมาะสมที่สุด
เขาก็คิดเช่นนี้ แม้เหล่าอาจารย์ตั้งใจคิดจะมอบสำนักให้เขา ซ้ำยังเอ่ยบ่อยครั้งว่าเขาต้องทำให้สำนักเจริญรุ่งเรือง สยบคู่ต่อสู้ได้ แต่เขารู้สึกว่าเขาเพียงเรียนวรยุทธได้เข้าใจที่สุดเท่านั้น ความสามารถผสมผสานที่ต้องใช้ในการเป็นเจ้าสำนักอาจเทียบไม่ได้กับศิษย์น้องหญิงที่เฉลียวฉลาดสุขุม ความสามารถเลิศล้ำ
ทว่ากฎเกณฑ์ของสำนักนอกแดนมนุษย์ แต่ไหนแต่ไรเป็นเขตขวางกั้นที่ล่วงเลยไม่ได้
…
เงาคนกะพริบวูบ จิ่งเหิงปัวโผล่มาตรงหน้าเขาด้วยสภาพย่ำแย่ โยนหัวของสัตว์เกล็ดเขียวตัวหนึ่งออกมาดังพลั่ก
“เพิ่มสองแต้ม” ท่านอาจารย์จื่อเวยพลันจดไว้ “ว่าอย่างไร อีกสักตัวหรือไม่?”
น้ำเสียงนั้นคล้ายเวลาไปร้านอาหาร พ่อครัวแนะนำให้เจ้าสั่งปูก้ามขนอีกสักตัว
จิ่งเหิงปัวนอนถ่างแข้งถ่างขา มัวแต่ฟื้นคืนพละกำลัง ไม่มีแรงไปด่าไอ้เฒ่าเฮงซวยหนังเหนียวอีกแล้ว
นางรู้สึกได้ วันนี้ไอ้แก่หนังเหนียวคล้ายอารมณ์แปรปรวนเล็กน้อย ค่อนข้างจริงจัง
แม้ยังไม่จริงจังมาก แต่เป็นแบบนี้จริงก็นับว่าจริงจังมากแล้ว
คนเช่นไอ้แก่หนังเหนียวนี้มีเรื่องในใจได้ด้วย?
นางเงยหน้า แขนเสื้อสีม่วงกำลังพลิ้วไหวเหนือศีรษะ เนื้อผ้าเบาบาง นิ่มนวลงดงาม ดวงพักตร์นั้นคล้ายพร่างพราวใต้แสงอาทิตย์ บริสุทธิ์สูงส่งประหนึ่งหยก
แต่นางรู้สึกว่าท่าทางของเขาเรียกว่าระทมทุกข์
ชายกระโปรงผืนหนึ่งลอยมาบนใบหน้านาง นางเอื้อมมือคว้าไว้ จ้องมอง ไอ้แก่หนังเหนียวมีนิสัยน่าเกลียดมาก แต่เสื้อผ้ามักจะสวยงามมาก แท้จริงแล้วรูปแบบเสื้อผ้าของเขาก็บอกไม่ได้ว่าเป็นชุดกระโปรงผู้หญิง เพียงแต่สีสันค่อนข้างแต๋ว ซ้ำยังเบาบางกว้างใหญ่เป็นพิเศษ ยิ่งเสริมด้วยใบหน้าของเขา จึงกลายเป็นการแต่งกายของผู้หญิง
กล่าวอย่างเคร่งครัด เสื้อผ้านี้ไม่มีรูปแบบอะไร ซ้ำยังไม่เหมือนเสื้อผ้าที่ไอ้แก่หนังเหนียวจะชอบสวม
ความคิดแวบผ่านสมองนางกะทันหัน โพล่งออกมาว่า “เฮ้ รูปแบบสีสันของกระโปรงเจ้านี้ คงไม่ใช่อาภรณ์ที่จิ้งจอกเก้าชอบสวมกระมัง?”
“ฟิ้ว” อาภรณ์หายไปจากในมือนาง พริบตาต่อมาท่านอาจารย์จื่อเวยเอ่ยว่า “ข้ารู้สึกว่าเจ้าพักผ่อนพอแล้ว พวกเรามาแก้ไขกฎเกณฑ์สักหน่อย ให้เวลาเจ้าอีกครึ่งวัน เจ้าต้องสอบผ่าน มิฉะนั้นก็ติดลบยี่สิบแต้ม”
“เฮ้ๆๆ เจ้าอย่าหลีกเลี่ยงขนาดนี้ข้ายังอยากช่วยเจ้าค้นหาความจริงนะ…”
จิ่งเหิงปัวถูกเตะออกไปดังฟิ้ว
เสียงของท่านอาจารย์จื่อเวย เฉื่อยชาเหนื่อยหน่าย เจือด้วยกลิ่นอายเก่าแก่ผ่านกาลเวลาหลายส่วน
“ผู้ใดใช้ให้เจ้ามายุ่ง? เจ้าไม่รู้หรือ บางครั้งความจริงถึงโหดร้ายที่สุด?”
…
จิ่งเหิงปัวตัดสินใจล่าสัตว์เกล็ดเขียวสองแต้มอีกตัวหนึ่ง เข้าใกล้หกสิบคะแนน
นางไม่คิดจะท้าทายสิ่งมีชีวิตชนิดที่เหลืออยู่ในหุบเขานี้ สัตว์เกล็ดเขียวสองแต้มตัวหนึ่งเมื่อครู่ทำให้นางวนเวียนกับอันตรายแล้ว นางไม่อยากทิ้งแขนหรือขาด้วย ไม่ว่าอย่างไรเมื่อครู่เคยล่าสัตว์เกล็ดเขียว มีประสบการณ์ต่อสู้กับศัตรูแล้ว
สัตว์ชนิดนี้ก็เป็นพวกฟันแทงไม่เข้า แต่เรี่ยวแรงไม่มีสิ้นสุด นิสัยก้าวร้าว ซ้ำยังมีหางที่แข็งเหมือนเกราะทอง เล่ากันว่ากระดูกหางของสัตว์นี้ใช้ทำเป็นอาวุธ นับเป็นแส้เหล็กสำเร็จรูป แทบจะต้านทานอาวุธคมทุกอย่างบนโลกนี้ได้
พื้นที่ฝั่งตะวันตกเหล่านี้เป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของสัตว์เกล็ดเขียว สัตว์ทุกตัวในหุบเขานี้ต่างมีพื้นที่ของตัวเอง ซ้ำยังต่างคนต่างอยู่ ไม่เข้าไปในถิ่นของสัตว์อื่นอย่างเด็ดขาด
มีแค่สองชนิดเป็นข้อยกเว้น สัตว์ที่อ่อนแอเป็นพิเศษร้องขอการคุ้มครอง รวมทั้งสัตว์ที่แข็งแกร่งเป็นพิเศษไม่สนใจกฎเกณฑ์
จิ่งเหิงปัวเดินอยู่ในพื้นที่ฝั่งตะวันตก เดินได้ไม่กี่ก้าว ฝ่าเท้าสะดุดกะทันหัน พอนางก้มหน้ามอง อ้าว กระต่ายตัวหนึ่ง
พอมองโดยละเอียดอีกครั้ง ไม่ถูกต้อง ไม่ใช่กระต่าย เป็นสิ่งมีชีวิตรูปร่างกระต่ายที่มีขนปุกปุยสีเทาตัวหนึ่ง ดวงตาน้อยกลิ้งไปมาจ้องมองนาง อุ้งเท้ากลมดิก ทั้งนุ่มนิ่มทั้งน่ารัก
จิ่งเหิงปัวชอบสัตว์น้อยที่มีขนปุกปุยพวกนี้ที่สุดตั้งแต่ไหนแต่ไร มองเห็นสัตว์น้อยนี้ดูท่าทางไม่มีพลังทำลายล้างแม้แต่น้อย ยังคงถอยหลังอย่างระมัดระวังหนึ่งก้าว เงยหน้าตะโกนว่า “เฮ้ ไอ้แก่หนังเหนียว นี่มันสัตว์อะไร?”
เหนือศีรษะแว่วเสียงตอบที่ไม่สนใจไยดีของท่านอาจารย์จื่อเวยว่า “กระต่ายมายา สัตว์ที่ฉลาดที่สุดในเขาชีเฟิง ยามปกติไม่โจมตีมนุษย์ เป็นประโยชน์ต่อมนุษย์ด้วยซ้ำ มันจะมอบการทดสอบให้เจ้า หลังผ่านด่านหากเจ้าโชคดีจะได้รู้แจ้งเล็กน้อย เหอะๆ พบเจอมันก็นับว่าโชคดีไม่หยอกแล้ว”
“เพิ่มคะแนนเท่าใด!” จิ่งเหิงปัวสนใจแค่เรื่องนี้
“หนึ่งแต้ม!”
หนึ่งแต้มก็ไม่เลว ไม่มีอันตรายอะไร จิ่งเหิงปัวนั่งยองลงอย่างหมดห่วง จ้องเจ้าตัวน้อยนั้น
เจ้าตัวน้อยนี้ดูท่าทางเคร่งขรึมยิ่งนัก แทบจะไม่มีนิสัยจงใจแอ๊บแบ๊วเหมือนเฟยเฟย ดวงตาน้อยที่ดำขลับใสแป๋วจ้องนาง พลันโปรยเมล็ดสนกำหนึ่งออกมา
หุบเขานี้ลมแรงยิ่งนัก เมล็ดสนถูกพัดจนหมุนมั่วซั่ว ทว่าไม่ได้หมุนออกจากขอบเขตหนึ่งตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับรอบตัวกระต่ายมายาตัวนี้มีพลังอำนาจ สามารถควบคุมฟ้าดินได้
ยามนี้หากท่านอาจารย์จื่อเวยมองเห็น คงเข้าใจบางเรื่อง ทว่ายามนี้เขาผู้ชรากำลังหลับตา นึกถึงบางเรื่องที่เนิ่นนานยิ่งนัก
จิ่งเหิงปัวมองมันอย่างแปลกใจ
เจ้าตัวน้อยนั้นหมุนตัวกลางเมล็ดสนอย่างรวดเร็ว กรงเล็บสะบัดเพียงครั้ง เมล็ดสนหลายเมล็ดอยู่ในมือ มันแบมือให้จิ่งเหิงปัวดู
จิ่งเหิงปัวมองอย่างจริงจังมาก เมล็ดสนยังเป็นเมล็ดสน ไม่ได้กลายเป็นเกาลัด
กระต่ายมายาตัวนั้นส่ายหน้า คล้ายไม่พอใจกับสติปัญญาของนางยิ่งนัก ซ้ำยังจิ้มเมล็ดสนที่อยู่บนพื้น
จิ่งเหิงปัวมองเมล็ดสนบนพื้น จากนั้นมองเมล็ดสนบนฝ่ามือมัน เข้าใจขึ้นมาทันที
เมล็ดสนกำนั้นในฝ่ามือมันค่อนข้างเล็ก
พอมองโดยละเอียดอีกครั้ง เมล็ดสนที่ค่อนข้างเล็กทั้งหมดร่วงลงในกรงเล็บของกระต่ายมายานี้ สิ่งที่เหลืออยู่บนพื้นคือเมล็ดสนขนาดใหญ่
จิ่งเหิงปัวสูดหายใจเหน็บหนาวเฮือกหนึ่ง
แม่งเอ๊ยสูงส่งเลิศล้ำเกินไปแล้ว
ระหว่างที่เคลื่อนไหวกลางเมล็ดสน พริบตาเดียวค้นหาเมล็ดสนที่ค่อนข้างเล็กทั้งหมดออกมาได้ นี่มันต้องใช้สายตากับความเร็วมากแค่ไหน?
ผู้บำเพ็ญตนรู้ว่าทำได้เช่นนี้ จิตใจต้องสงบนิ่ง สิ่งนี้คล้ายกับเงื่อนไขของพลังภายในวิชาหนึ่งที่เจ็ดสังหารสอนนางเมื่อหลายวันก่อน ต้องผ่อนคลายร่างกาย ซึมซับพลังปราณแห่งฟ้าดิน สงบใจ แยกแยะ จิตใจผ่องใส
นางยังไม่ได้รู้แก่นสาร ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นจากตรงไหน ทำให้ตัวเองถึงขั้นสงบใจแยกแยะได้อย่างไร แต่ตอนนี้เห็นการเคลื่อนไหวของกระต่ายมายานั้น ในใจกลับเริ่มเข้าใจแล้ว
ทว่ากระต่ายมายาตัวนั้นคล้ายมีความอดทนยิ่งนัก แสดงท่าทางให้นางดูทีละรอบ จิ่งเหิงปัวมองไปมา พลันพบว่าท่าร่างของกระต่ายมายาตัวนี้ก็มหัศจรรย์เหลือเกิน มองว่าอยู่ซ้ายแต่ที่แท้อยู่ขวา เต็มไปด้วยการหลอกล่อที่ทำให้งงงวยหลายรูปแบบ คล้ายรวมกับการเคลื่อนที่พริบตาของตัวเอง สร้างผลลัพธ์เป็นภาพลวงตาได้
นางมองติดต่อกันตั้งหลายรอบ กระต่ายมายานั้นหยุดจนได้ เชิดกรงเล็บใส่นาง
เห็นแล้วก็รู้ว่าให้นางทำด้วยหนึ่งรอบ ท่าทางคล้ายเป็นอาจารย์
จิ่งเหิงปัวหัวเราะฮิฮิ เอ่ยว่า “เมล็ดสนเล็กเกินไป เปลี่ยนหน่อย” คว้าเศษหินกำหนึ่งโปรยรอบตัวดังซ่า
เศษหินพลันเริ่มล่องลอยเหินว่อน เช่นเดียวกับเมล็ดสนก่อนหน้านี้ ทว่าเศษหินหนักกว่าเมล็ดสนไม่รู้กี่เท่า การล่องลอยเหินว่อนเช่นนี้จึงแลดูประหลาดเล็กน้อย
ในใจจิ่งเหิงปัวก็แปลกใจนิดหน่อย รู้สึกว่ากระต่ายนี้ไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นเหมือนที่ท่านอาจารย์จื่อเวยบอกไว้ แต่จนถึงตอนนี้กระต่ายนี้ยังแสดงเจตนาดีออกมา นางก็ไม่ได้คิดมาก
เศษหินค่อยๆ ถูกลมหอบม้วนขึ้นมา คำรามวนเวียนข้างกายนาง กลายเป็นระลอกคลื่นที่ไม่แน่นอน จิ่งเหิงปัวจ้องระลอกคลื่นเศษหินเขม็ง สงบจิตใจ สูดหายใจลึกๆ เฮือกหนึ่ง พุ่งศีรษะเข้าไปในระลอกคลื่นทันที
กระต่ายมายานั้นชะงักงัน เงยหน้ามองนาง จากนั้นสายตามันจึงฉายแววสับสน…เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวกะพริบไปมาดุจสายฟ้า ซ้อนกันเป็นภาพลวงตานับมิถ้วนในทุกตารางนิ้ว มันมองจนตาพร่าตาลาย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจิ่งเหิงปัวกำลังทำอะไร
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร จิ่งเหิงปัวกะพริบกายออกมาดังฟิ้ว ระลอกคลื่นหยุดลงพร้อมกัน เศษหินร่วงลงมาดังซ่า
จิ่งเหิงปัวแบมือออก ฝ่ามือก็มีเศษหินกำหนึ่ง ละเอียดมาก ใกล้เป็นเม็ดทราย
เห็นได้ชัดว่าหินในฝ่ามือก้อนเล็ก หินบนพื้นก้อนใหญ่
ดวงตาน้อยของกระต่ายมายาฉายแววพอใจ
จิ่งเหิงปัวถอนหายใจยาวเฮือกหนึ่ง ก้นบึ้งของหัวใจรู้สึกละอายเล็กน้อย…นางไม่ได้เรียนรู้ความสามารถในการจำแนกอย่างรวดเร็วแบบนั้น แท้จริงแล้วนางใช้เล่ห์เหลี่ยม
นางประยุกต์ใช้การเคลื่อนที่พริบตาของเรือนร่าง เคลื่อนไหวไปมาทุกตารางนิ้วในระลอกคลื่น ทำให้สายตาของกระต่ายมายาพร่ามัว ฉวยโอกาสที่มันไม่ระวัง เคลื่อนย้ายเม็ดทรายใต้รากต้นสนบริเวณใกล้เคียง กำไว้ในมือ
เม็ดทรายย่อมเล็กกว่าก้อนหินทั้งหมด มองด้วยดวงตาของกระต่ายมายา เท่ากับนางคว้าหินก้อนน้อยออกมาทั้งหมด
แต่จิ่งเหิงปัวอารมณ์ดีไม่หยอก แม้นางใช้ทักษะเช่นนี้ของกระต่ายมายาไม่ได้ แต่นางเรียนรู้จังหวะเท้าที่มหัศจรรย์เช่นนั้นของกระต่ายมายา ในการต่อสู้ครั้งต่อไป นางมั่นใจว่าจะทำให้ศัตรูทั้งหมดมึนงงได้
ส่วนการจำแนกสิ่งของอย่างรวดเร็วของกระต่ายมายา ก็ทำให้นางเข้าใจพลังภายในวิชานั้นที่เจ็ดสังหารสอนนางว่าควรเริ่มฝึกจากตรงไหนกันแน่ ขอแค่ฝึกฝนทักษะนี้ให้ดี คัดเลือกส่วนนั้นที่ต้องการได้อย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับกระต่ายมายานี้ ก็เท่ากับได้เรียนรู้พื้นฐานพลังภายในวิชานั้น
ได้ประโยชน์ไม่น้อยเลยจริงๆ
“ขอบคุณนะ” จิ่งเหิงปัวนั่งยองลง ตบศีรษะของเจ้าตัวน้อยอย่างซาบซึ้งใจ กำลังเตรียมจากไป เจ้าตัวน้อยนั้นกลับไม่ยอมหลีกทาง
มันถึงขนาดแยกเขี้ยวใส่จิ่งเหิงปัว เขี้ยวใหญ่สองซี่ที่ไม่ค่อยสอดคล้องกับร่างกายเปล่งแสงเหน็บหนาวใต้แสงอาทิตย์
จิ่งเหิงปัวงงงวยแล้ว นี่มันจะทำอะไร?
“อ๊า! นี่มันราชากระต่าย!” เหนือศีรษะพลันแว่วเสียงของท่านอาจารย์จื่อเวย หัวเราะก๊ากๆ เอ่ยว่า “ผิดแล้วๆ! นี่มันราชากระต่าย หลังจากที่สอนเจ้าหนึ่งเรื่องเจ้าต้องคืนมันหนึ่งเรื่อง มิฉะนั้นจะถูกฝูงกระต่ายมายาโจมตี เปลี่ยนคะแนน เปลี่ยนคะแนน ยามนี้เปลี่ยนเป็นสองแต้ม!”
“ไม่ช้าก็เร็วพี่คงถูกเจ้าฆ่าตาย!” จิ่งเหิงปัวร้องด่า
เสียงหัวเราะของท่านอาจารย์จื่อเวย ฟังแล้วไม่มีความรู้สึกผิดแม้แต่น้อย “ความสามารถหลอนประสาทของราชากระต่ายมายาแข็งแกร่งยิ่งกว่าสัตว์ประหลาดน้อยตัวนั้นของเจ้า มิน่าล่ะมันขวางเจ้าไว้ มันถูกอารมณ์ที่รุนแรงหวั่นไหวดึงดูดได้ หากในใจผู้ใดมีเรื่องค้างคาใจ จะถูกมันค้นพบและทะลวงช่องว่างได้ง่ายดาย เจ้าตัวน้อยนี้ก็ชอบความรู้สึกที่สืบเสาะจิตใจมนุษย์ยิ่งนัก หากเจ้าผ่านไปได้ ย่อมเป็นประโยชน์เหลือหลายเช่นกัน หากเจ้าผ่านไปไม่ได้ เกรงว่านับแต่นี้จะเหลือมารในใจ…ฮิฮิขอให้เจ้าโชคดี!”
เสียงเขาพลันเปลี่ยนไป ตกใจร้องว่า “เฮ้ย เจ้าอย่าเข้ามา!”
เสียงหัวเราะของเหยียลี่ว์สวินหรูเบิกบานเป็นนิจเช่นนั้น “จื่อเวยๆ ออกมาเถิดพวกเรามาคุยความในใจกัน!”
เงาคนกะพริบวูบ กลิ่นอายที่คุ้นเคย เป็นอย่างที่คิดไว้ เหยียลี่ว์สวินหรูมาถึงที่ใด เหยียลี่ว์ฉีก็มาด้วย
แต่จิ่งเหิงปัวทักทายเขาไม่ได้แล้ว…กระต่ายมายาพลันกรีดร้องแปลกประหลาด เสียงพิลึกพิลั่น
“อ๊าๆ! ขออภัยด้วยผิดอีกแล้ว!” เสียงของท่านอาจารย์จื่อเวยพลันดังก้องมาอีกครั้งว่า “ข้าเพิ่งพบว่านี่มันเป็นกระต่ายมายาที่มีความสามารถควบคุมจิตใจให้บ้าคลั่ง! เป็นสัตว์ที่หลอกล่อความเจ็บปวดความมืดมนในใจมนุษย์ทำให้คนสิ้นชีพได้ดีที่สุด! อยู่สามอันดับแรกในหมู่สัตว์ร้ายเขาชีเฟิง! เปลี่ยนคะแนน เปลี่ยนคะแนน ยามนี้เปลี่ยนเป็นห้าแต้ม! ห้าแต้ม!”
เสียดายว่าจิ่งเหิงปัวคิดบัญชีกับเฒ่าเฮงซวยไม่ได้แล้ว เสียงกรีดร้องดั่งลั่น ในใจนางปวดร้าวอึดอัดระลอกหนึ่ง จากนั้น สภาพการณ์ตรงหน้านางก็เปลี่ยนไป
พระราชวังสูงตระหง่าน พายุหิมะโปรยปราย นางอยู่บนกำแพงตำหนักอวี้จ้าว ก้มมองจัตุรัสข้างล่าง คลื่นมนุษย์คลาคล่ำบนจัตุรัส คนนับไม่ถ้วนเงยหน้าอ้าปากค้าง นางไม่ได้ยินเสียง แต่มองเห็นใบหน้าที่โกรธแค้นเหล่านั้นได้
ข้างกายมีคนหนึ่งคนยืนอยู่ด้วย นางรู้ว่าเป็นใคร แต่ไม่อยากหันหน้าไปมองแล้ว
คลื่นเสียงค่อยๆ แว่วมา นางได้ยินชัดแล้ว
“ราชครู โปรดประหารราชินี!”
นางถอยหลังก้าวหนึ่ง มือค้ำกำแพงวัง จ้องมองใต้กำแพง ในใจรู้ว่าประโยคต่อไปคืออะไร แต่ว่าถามไม่ออก
ถามไม่ออก
ถ้าถามออกไปจะเป็นจุดจบที่น่าเวทนา
นางไม่ยอม!
แต่ตอนนี้หัวใจยิ่งเต้นระรัว โลหิตกำลังพลุ่งพล่าน กำลังโจมตีจุดชี่ไห่ที่อยู่ในร่างกาย นางรู้ว่าต้องถามคำถามนี้ออกไป มิฉะนั้นตัวเองก็จะธาตุไฟเข้าแทรก
ถามหรือว่าไม่ถาม?
…