จิ่งเหิงปัวรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมาอย่างกะทันหัน
ในใจคล้ายเกิดสังหรณ์ไม่ดี ราวกับกำลังจะมีเรื่องไม่ค่อยดีเกิดขึ้น
นางนั่งไม่ติดจึงลุกเดินออกไปรับลมที่ข้างหน้าต่าง เจ้าของร้านที่อยู่ข้างนอกห้องบอกให้นางเตรียมยกอาหารจานที่สองออกไป นางถึงร้องอืมส่งเดช
หน้าต่างนี้หันหาลานบ้านข้างหลัง แสงไฟในลานบ้านมืดครึ้มและลับตาแตกต่างกับหอหน้า จุดแค่ตะเกียงเหลืองสลัวจึงสาดส่องแสงไฟมัวสลัว นางเห็นหลายคนรีบเดินเข้าไปในห้องเล็กห้องหนึ่ง
เงาร่างหนึ่งในนั้น เหมือนจะเป็นสาวน้อยที่ยกอาหารเมื่อครู่
น่าแปลก นางไปยกอาหารไม่ใช่หรือ เหตุใดถึงโผล่ไปที่ลานด้านหลังได้เล่า? อีกทั้งดูท่าทางไม่ค่อยเต็มใจด้วย
จากนั้นนางก็คล้ายได้ยินเสียงร้องขึ้นโหยหวน
เพราะอยู่ห่างไกล จึงได้ยินเสียงแค่เล็กน้อย ซ้ำยังถูกกลบด้วยเสียงดนตรีที่แว่วมาจากหอหน้า จิ่งเหิงปัวก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงโหยหวนหรือไม่
ลมพัดเสียงสั่นเครือบางส่วนเข้ามา แต่จำแนกไม่ได้ว่ามาจากที่ไหน
เห็นห้องเล็กห้องนั้นก่อเตาขึ้นรำไร ไอควันโผล่ออกจากปล่องไฟ แต่ไม่เห็นคนออกมา จิ่งเหิงปัวจ้องมองตาไม่กะพริบ ไม่รู้ว่าทำไม ความมืดมิดในลานบ้าน ความลึกลับของเงาคน และไอควันโขมงในปล่องไฟ ทำให้นางรู้สึกหวาดกลัวในใจเสมอ
ผ่านไปสักพักก็มีคนผลักประตูออกมา ประคองจานหนึ่งใบที่ครอบฝาเงินเดินมาทางหอหน้า
ห้องครัวอยู่ในหอหน้าไม่ใช่หรอกหรือ เหตุใดที่ลานด้านหลังก็มีคนส่งอาหารเล่า? อีกทั้งห้องนั้นก็ดูท่าทางไม่เหมือนห้องครัวเลยนะ
นางโน้มตัวไปข้างหน้า เห็นอีกหลายคนลากกระสอบใบหนึ่งออกมาจากในห้องเล็ก บนกระสอบเลอะเทอะเปรอะเปื้อน ดูท่าทางไม่ค่อยสะอาดเท่าไรนัก
คนเหล่านั้นย้ายกระสอบไปบนรถเข็นลากคันหนึ่ง
กระสอบพลิกไปมา ปากกระสอบเผยอออก วัตถุขาวๆ ท่อนหนึ่งร่วงลงมากะทันหัน
จิ่งเหิงปัวขนลุกทั่วร่างในทันที!
นางเห็นชัดแล้ว!
นั่นมันคือท่อนแขน!
ท่อนแขนขาวราวหิมะที่ขาดออกท่อนหนึ่ง แขนที่ขาดนั้นยังมีเลือดหยดออกมาอยู่เลย!
จิ่งเหิงปัวแข็งทื่อไปทั่วทั้งร่าง รู้สึกเพียงแค่ว่าก้นบึ้งในใจเข้าใกล้ความหวาดกลัวไม่มีที่สิ้นสุด มองเห็นความมืดมิดที่ลึกล้ำยิ่งกว่าลึกไปในความมืดมิด ร่องรอยสีโลหิตเปรอะเปื้อนทั่วทุกแห่ง
นางยกมือขึ้นเล็กน้อย กระสอบในลานบ้านพลิกไปอีกฝั่งทันที คราวนี้เผยใบหน้าดวงหนึ่งออกมาให้เห็น
ใบหน้าที่ราวกับพุดตานบริสุทธิ์นั้น
เป็นใบหน้าของแม่นางน้อยที่เมื่อครู่ยังคงยิ้มแย้ม สละที่นั่งให้นาง อยากได้โอกาสเป็นรอบหนึ่งแต่ไม่กล้าช่วงชิงด้วยซ้ำ เขินอายอ่อนแอ
นางสละโอกาสรอบหนึ่งให้แม่นางน้อยคนนี้ ส่งนางไปสู่ความตาย
จิ่งเหิงปัวจ้องมองใบหน้าขาวผ่องในความมืดยามราตรี ทั่วร่างร้อนวาบขึ้นมาระลอกหนึ่ง ก่อนจะเย็นวาบอีกระลอกหนึ่ง
ชั่วพริบตาหนึ่งนั้น นางพลันเกิดความแค้นเข้ากระดูกดำต่อไต้เม่า แม้กระทั่งทั้งต้าฮวง
ล้างบางอำนาจใหญ่ในสังคมกินคนแห่งนี้
คนที่หามกระสอบป่านในลานบ้านคล้ายแปลกใจเล็กน้อยที่กระสอบป่านพลันถูกเปิดออก บ่นพึมพำเล็กน้อยก่อนจะปิดกระสอบป่านให้สนิทอีกครั้ง แล้วก้าวพรวดหามไปนอกลานบ้าน
จิ่งเหิงปัวใช้สองมือเกาะลูกกรงหน้าต่างแน่น ได้ยินน้ำเสียงนุ่มนวลของเจ้าของร้านที่อยู่ข้างหลังว่า “แม่นาง ถึงรอบสองแล้ว”
นางหันหลังอย่างแข็งทื่อเล็กน้อย มองเห็นถาดรองที่เจ้าของร้านประคองไว้ในมือ ถ้วยกระเบื้องใหญ่ลายเมฆส้มเหลืองที่มีเนื้อสัมผัสละเอียดเกลี้ยงเกลา ใช้ฝาเงินครอบไว้เช่นเคย ไม่เผยให้เห็นไอร้อนสักเสี้ยว
ข้างในนี้ ใช่มือคู่นั้นหรือเปล่า?
นางเดินเข้าไปรับถาดรองมา มองเจ้าของร้านแวบหนึ่ง
เจ้าของร้านกำลังจะยิ้มเอ่ยวาจา แต่ก็พลันสบสายตาของนาง รู้สึกเพียงว่าดั่งถูกน้ำเย็นราดกลางศีรษะ ตกตะลึงจนทั่วร่างสั่นเทิ้ม ลืมกระทั่งวาจาที่จะกำชับไปชั่วขณะ
รอให้เขาได้สติคืนมา จิ่งเหิงปัวก็ยกถาดรองออกจากห้องแล้ว ฝีเท้านั้นแสนรวดเร็ว อีกทั้งยังมั่นคง
เจ้าของร้านยืนงงอยู่สักพัก ก่อนจะร้อง “เฮ้ย” ออกมาแล้วเอ่ยว่า “ข้ายังไม่ได้บอกเจ้าเลยว่าต้องมอบให้ผู้ใด!”
…
จิ่งเหิงปัวออกจากห้องแล้ว แต่ไม่ได้ไปที่ห้องรับรองแขกสำคัญทันที นางพิงข้างประตูแล้วสูดหายใจลึกๆ สักเฮือกก่อน
นางอารมณ์เสียเกินไป กลัวว่าจะส่งผลกระทบต่อการลงมืออีกสักครู่ของตัวเอง
ใช่แล้ว ลงมือ
เดิมทีนางแค่อยากรู้จักเจ้ายุทธจักรแห่งไต้เม่าสักหน่อย รู้จักแขกวันนี้สักหน่อย นางรู้แล้วว่าคนที่ได้รับเชิญคือท่านมู่ที่ลึกลับคนนั้น ได้โอกาสฟังสักหน่อยว่าเหล่าเจ้ายุทธจักรแห่งไต้เม่าพวกนี้มีแผนสำคัญอะไร
แต่ตอนนี้นางเปลี่ยนความคิดแล้ว วันนี้หากไม่อาละวาดงานเลี้ยงใหญ่ครั้งนี้ให้พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน นางจะไม่เลิกรา
ถาดรองในมือคล้ายหนักอึ้ง นางจ้องฝานั้นเขม็ง คิดว่าจะเปิดออกดีหรือไม่ แต่ก็ไม่มีความกล้าจริงๆ กลัวว่าพอเปิดออกมาแล้วจะมองเห็นมือคู่หนึ่ง
นางพิงข้างประตูตั้งสติ มองเห็นเสี่ยวเอ้อร์คนหนึ่งยกถาดรองเดินมาจากปลายระเบียงกะทันหัน บนถาดรองคือจานปากกว้าง ข้างบนก็ครอบด้วยฝาเงิน
นางกะพริบกาย เข้าขวางหน้าเสี่ยวเอ้อร์คนนั้นไว้
“ยกอาหารอะไรมา” นางถาม
เสี่ยวเอ้อร์นั้นไม่นึกว่าพอเงยหน้าขึ้นแล้วจะมีคนยืนอยู่ด้วย จึงตกใจจนตัวลอย ฝาเงินลื่นไปฝั่งหนึ่ง ก่อนที่เขาจะรีบใช้มือบังไว้ สีหน้าเปลี่ยนไปแล้ว
“นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรถาม หลีกไป” เขาเอ่ยอย่างเย็นชา
จิ่งเหิงปัวจ้องเขาแวบหนึ่ง ก่อนค่อยๆ ถอยไปฝั่งหนึ่ง
ไม่ต้องมองแล้ว นางรู้แล้ว
นางมองตามเสี่ยวเอ้อร์นั้น ประคองถาดรองเดินเข้าไปในห้องรับรองแขกสำคัญ
…
โต๊ะอาหารโต๊ะนี้ เจ้าภาพและแขกไม่สุขสันต์
ท่านมู่คนเป็นที่แปลกประหลาด แม้เขาจะสวมหน้ากากแต่นิสัยก็ไม่เย็นชา ถึงขนาดนับได้ว่าอ่อนน้อมถ่อมตน เอ่ยถึงการบ้านการเมืองก็เยือกเย็นเป็นธรรมชาติ ทว่าไม่รู้เหตุใดทุกคนถึงรู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่ต่อหน้าเขา ยามที่ทุกคนเอ่ยวาจากับเขาต้องไตร่ตรองถ้อยคำอย่างควบคุมไม่ได้ ไม่อาจละเลย เขาคล้ายมีพลังบารมีที่ทำให้ทุกคนไม่กล้าสามหาว
สำหรับผู้อาวุโสเหล่านี้ที่คำรามทั่วยุทธภพ ได้รับการยกย่องสูงสุด ความรู้สึกคล้าย ‘น้องเล็ก’ เช่นนี้ไม่น่าอภิรมย์เลย โดยเฉพาะทั้งที่อีกฝ่ายยังนับว่าเป็นกันเอง แต่ตนเองยังถ่อมตัวโดยสำนึก แลคล้ายกำลังลดตัวลงมาโดยแท้
ฉะนั้นบรรยากาศบนโต๊ะก็ค่อยๆ เงียบเหงา ทุกคนไม่ค่อยอยากเอ่ยวาจาออกมาแล้ว มีเพียงหลัวซาที่ยังคงยิ้มแย้ม หางตาชำเลืองมองข้างประตู
ยามที่เสี่ยวเอ้อร์ยกอาหารใหม่ขึ้นโต๊ะนั้น นางยิ่งยิ้มภูมิใจ
“นี่เป็นอาหารที่พวกเราตั้งใจเตรียมไว้ให้แขกคนสำคัญ ท่านเพิ่งจะเอ่ยชมด้วยตนเอง พวกเราจึงถือโอกาสที่ยังสดใหม่ปรุงมาให้ท่าน” หลัวซาลุกขึ้นด้วยตนเอง ก่อนจะวางจานกระเบื้องลายครามใบใหญ่นั้นไว้ตรงกลาง
มือของนางกดบนหูหิ้วฝาเงิน ยิ้มแล้วมองท่านมู่ “ท่านทายสิ ว่าเป็นอาหารอะไร”
ท่านมู่เชิดสายตาขึ้น
ชั่วพริบตาหนึ่งนั้นนัยน์ตาเขาลึกล้ำดั่งทะเลสาบสงบ หิมะกับน้ำแข็งเล็กน้อยลอยอยู่ในน้ำนั้น
หลัวซาได้สัมผัสแววตาเช่นนี้ ในใจก็อดที่จะสั่นเทิ้มไม่ได้ สั่นเทิ้มแล้วกลับยิ่งเกิดจิตใจแห่งความท้าทายที่จะ “จับกุมเขา พิชิตเขา”
นางมองเขากลับอย่างไม่ยอมแพ้เลยแม้แต่น้อย นางรู้ว่ามุมที่ตนเองก้มลงงดงามยิ่งนัก คางจะแลดูเรียวแหลม งดงามดั่งนางพราย อีกทั้งมุมนี้ยังได้แสดงทรวดทรงของตนให้ตำแหน่งอวบอิ่มยิ่งอวบอิ่ม ตำแหน่งเพรียวบางยิ่งเพรียวบาง
แววตาของท่านมู่กลับลื่นไหลผ่านไป มองนางไม่แตกต่างจากมองกำแพงฝั่งตรงข้าม
นิ้วมือของเขาหมุนถ้วยสุราอย่างแผ่วเบา เอียงศีรษะเล็กน้อยมองออกไปนอกประตูปราดหนึ่ง แล้วเอ่ยว่า “เจ้าสำนักหลัวซาแนะนำยิ่งใหญ่เช่นนี้ ย่อมเป็นจานที่ดีที่สุด”
“ดีที่สุดจริงๆ เลยล่ะ เจ้าน่าจะชอบ” หลัวซายิ้มแย้ม เปิดฝาเงินออกโดยพลัน
สายตาทั่วโต๊ะจ้องเขม็ง จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้น
“จานเด็ดจริงด้วย!”
“ท่านมู่สั่งเอง ย่อมต้องไว้หน้าท่าน”
“ขาวนวลดั่งดอกบัว อ่อนนุ่มหอมหวน ท่านต้องชอบเป็นแน่แท้”
“นี่นับเป็นมารยาทการรับแขกที่สูงศักดิ์ที่สุดจริงแท้”
มือคู่หนึ่งอยู่ในจานกระเบื้อง
มือตั้งขึ้น จัดวางเป็นท่วงท่างดงาม เพรียวบางประณีต สิบนิ้วเรียวยาว หลังมือขาวราวหิมะ ฝ่ามือสีชมพู ผลึกแก้วเม็ดกระจ้อยบนเล็บเปล่งประกายดั่งกระบี่ใต้แสงไฟเจิดจ้าทั่วห้องโถง
เพียงแต่ความขาวนั้นไม่มีชีวิตอีกแล้ว เผยให้เห็นสีขาวมันเงา
มือต้มสุกแล้ว
สายตาทั้งหมด ที่บ้างก็เย็นชา บ้างก็เยาะเย้ย บ้างก็ขยะแขยง บ้างก็สืบเสาะ ต่างทอดลงบนใบหน้าท่านมู่ดังฟิ้ว
เขามองมือนั้น ไม่มีอารมณ์ความรู้สึกใดๆ บนใบหน้า
ด้วยเพราะแม้แต่ริมฝีปากที่มีทรวดทรงงดงามของเขานั้นก็ไม่มีการเปลี่ยนแปลงสักเสี้ยว เหยียดยิ้มเยาะเย้ย หรือว่าขยะแขยงตกใจที่ทุกคนเฝ้าปรารถนาก็ไม่มี
เพียงแต่เขายังมองปราดเดียวประหนึ่งมองกำแพง
“ท่านคิดว่าอย่างไร” หลัวซายิ้มถาม
เขาไม่ได้ตอบในทันที ท่าทางชะงักไปเล็กน้อย เพิ่งเอ่ยอย่างสงบนิ่งท่ามกลางการรอคอยดั่งกลั้นหายใจของทุกคนว่า “ไม่เลว”
ทุกคนเม้มริมฝีปาก รู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ในใจมีประโยคหนึ่งเฉียดผ่านว่า คนผู้นี้สุขุมลึกล้ำ
แต่หลัวซากลับไม่ยอมถอดใจ
“หัตถ์โฉมงามนึ่งครั้งแรก สดนุ่มหอมหวนที่สุด” หลัวซาพลันคีบมือข้างหนึ่งขึ้นไปใส่ในชามเขา “ท่านเชิญชิมก่อน”
เขาเชิดดวงตาขึ้น
ในใจหลัวซากระตุกวูบ พลันรู้สึกถึงความคิดสังหาร
ไม่รอให้นางทันได้เคลื่อนไหว เสียง พลั่ก! ดังลั่นขึ้นกะทันหัน
ประตูถูกถีบออก
เสียงนี้ดังสนั่นขึ้นทันที ทำให้บนโต๊ะสั่นสะเทือนจนถ้วยชามกระเด้งขึ้น ‘อาหาร’ ในมือหลัวซาตกลงไปในจานของท่านมู่
มือนั้นตกลงไปในจาน ยังคงตั้งตรงชี้ฟ้า คล้ายกำลังโหยหวน
ท่านมู่ไม่ได้มองมือนั้น เขาหันไปมองข้างประตู ก่อนที่สายตาพลันกระตุกวูบ ผู้ที่อ่อนโยนเงียบสงบกลับเผยสีหน้าตกตะลึงเช่นนี้ทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกใจ เมื่อสายตาทอดไปข้างประตูด้วยเช่นนั้น พริบตาที่มองเห็นคนข้างประตูนั้น คนที่คิดจะตะโกนต่อว่าต่างพลันลืมวาจา
หน้าประตูมีโฉมงาม
ชุดขาวราวหิมะยาวกรอมพื้น ผ้าไหมม่วงขอบทอง ชุดกระโปรงหนาหนักดูหรูหรา ผ้าไหมโปร่งเบาดูงดงามพลิ้วไหวหลายส่วน คล้ายมีกลิ่นอายแห่งเซียน
ตั้งแต่ชายกระโปรงไหมฟูฟ่องสีหิมะขึ้นไปคือทรวดทรงรูปร่างที่งดงามกลมกลึงยิ่งนัก แววตาของผู้อื่นยังอาลัยเรือนร่างงดงาม พลันก็พบว่าลำคอขาวของนางดั่งหยกสลัก เพิ่งตะลึงในความประณีตของลำคอกับกระดูกไหปลาร้า ก็พลันพบว่าใบหน้านั้นงามล้ำล่มแคว้น นัยน์ตาสีเข้มเปล่งประกายสายธาร คิ้วดำดั่งทิวเขาไกลโพ้น ริมฝีปากแดงสวยสดงดงาม ดั่งคล้ายมีดสาวงามเล่มหนึ่ง สายตาของเหล่าบุรุษแตะต้องแล้วจึงสั่นสะท้าน หัวใจเกิดแผลจากการตะลึงในความงาม
นางยืนอยู่ในเบื้องลึกของห้องโถง รวบรวมสีสันแห่งแดนมนุษย์ ข้างหน้าข้างหลังก็เหลือเพียงความมืดมิดที่กว้างโล่งไกลโพ้น คล้ายภาพวาดโด่งดังภาพหนึ่ง นางอยู่ตรงกลาง ช่วงชิงแสงสว่างแห่งฟ้าดิน
ชั่วพริบตาหนึ่งนั้น ทุกคนเคลิบเคลิ้มเล็กน้อย รู้สึกคล้ายมองเห็นราชินีเสด็จ ราวดั่งเทพธิดาจุติ
เพียงแต่โฉมงามที่ทำให้หายใจไม่ออกนี้มีท่วงท่าที่ประหลาดอยู่บ้าง…นางประคองถาดรองไว้ในมือ
ถาดรองใบนี้เองที่เตือนสติหลัวซา นางเป็นสตรี แม้ตกตะลึงในความงามของสตรีเช่นกัน แต่ไม่ถึงขนาดหลงใหล นางรู้สึกตัวเร็วที่สุด ตวาดอย่างเย็นชาว่า “เจ้าคือสตรีที่เป็นรอบสอง? ไร้มารยาทเช่นนี้ได้อย่างไร ยังไม่…”
ไม่ทันจะสิ้นเสียง กระโปรงไหมสีหิมะก็วนเวียน จิ่งเหิงปัวโผล่มาหน้าโต๊ะแล้ว
นี่เป็นโต๊ะกลมขนาดใหญ่นั่งได้สิบแปดคน ไต้เม่าชอบปรึกษาเรื่องงานบนโต๊ะกลม ยิ่งเพิ่มความสนิทสนม
นางมองเห็น ‘อาหาร’ จานนั้นบนโต๊ะ เปลวไฟก็กะพริบวูบในดวงตา
จากนั้นก็มองเห็นชายสวมหน้ากากบนที่นั่งแขก
ชายสวมหน้ากากกำลังมองนาง เขาไม่เคยทอดสายตาบนร่างผู้ใดก็ตามนานเกินไปเลย ทว่านับแต่นางปรากฏกายที่ปากประตู สายตาของของเขาก็ทอดลงบนร่างของนางตลอดเวลา
ยามที่นางเบนสายตากลับมานั้น เขาก็เบนสายตาออกไปอย่างแผ่วเบา
จิ่งเหิงปัวไม่ได้มองเขา เห็นแค่จานตรงหน้าของเขา เห็นแค่มือข้างนั้น
กินจริงด้วย!
ไฟโทสะที่นางกลั้นไว้นานก็ลุกพึ่บออกมา เสียง ซ่า! ดังขึ้น นางยกมือคว่ำน้ำแกงไก่ตุ๋นโสมตังกุยร้อยปีชามนี้ลงไปกลางศีรษะเขา!