ยามที่ท่านมู่มาถึง เหล่าผู้อาวุโสไม่ได้ออกมาต้อนรับสักคน เขาหยุดลงตรงหน้าประตูที่แขวนผ้าแดง ที่ตรงนั้นมีบันไดสามขั้น
เขามองบันไดนั้นอย่างเงียบเชียบ ส่วนด้านหลังของเขาคือผู้คนที่มองเขาอย่างเงียบเชียบ
ในห้องรับรองด้านหน้า เหล่าเจ้ายุทธจักรเผยยิ้มเย้ยหยันออกมาเสี้ยวหนึ่ง
ต่อให้เจ้าวางท่าใหญ่โตเพียงใด ยามนี้เจ้าคิดจะวางท่าเข้าประตูอย่างไร
บันไดนี้เป็นหินหยาบที่เทปูนทับไว้ รื้อทิ้งไม่ได้ ย่ำก็ไม่เรียบ
ไร้คนประคอง เข้าประตูได้ทุลักทุเลเช่นนี้ การวางมาดก่อนหน้านี้ก็พังลงในพริบตา
จะว่าไปแล้ว หน้าตาไม่ใช่ได้มาด้วยการเหยียบย่ำผู้อื่น ทว่าได้มาด้วยการใช้ความสามารถทีละเล็กละน้อย
เขาหยุดลงตรงหน้าบันไดนั้น ไม่มองคนข้างหน้าด้วยซ้ำ เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยขึ้นว่า “ปูทาง”
มุมปากของทุกคนเผยยิ้มเยาะเย้ยออกมา…ใช้แผ่นไม้ปูทางบันได เข็นเก้าอี้เข็นขึ้นไป นับเป็นวิธีหนึ่ง ทว่าเขาจะยืมไม้สักแผ่นจากร้านค้าบริเวณนี้ได้หรือ?
เมื่อนึกภาพที่องครักษ์ของเขาขอยืมหรือซื้อแผ่นไม้ที่ร้านค้า พบเจอท่าทางเมินเฉยเช่นนี้ ทุกคนยิ่งยิ้มระรื่น
ความรู้สึกที่ไม่เอ่ยอะไรก็ได้เอาคืน ช่างน่าอภิรมย์เสียจริง
หลัวซามองผู้ดูแลรองเหลยเซิงอวี่ผ่านหน้าต่างปราดหนึ่ง เหลยเซิงอวี่ที่ยืนอยู่อีกด้านด้วยสีหน้าเคารพนบนอบ ดูท่าทางก็เป็นลูกน้องจงรักภักดีที่ปฏิบัติตามคำสั่งเจ้านายอย่างเคร่งครัด
ร้านค้าบริเวณนี้มีแผ่นไม้จำนวนมาก ไม้ปูร้านก็เป็นแผ่นไม้ เหล่าเถ้าแก่ถอดไม้ปูร้านออกมาชั่งไว้บนฝ่ามือ ก่อนสะบัดดังผัวะเผียะ เหล่ตายิ้มมองเหล่าท่านมู่กลุ่มนี้ รอให้พวกเขามาขอยืมหรือยื้อแย่ง จากนั้นได้โอกาสกระทืบเขาให้ควันออกหู
ทว่าเหล่าองครักษ์กลับไม่ได้ไปยืมหรือหาแผ่นไม้
บุรุษผู้หนึ่งเดินขึ้นมาหลายก้าว ดูท่าทางเป็นคนธรรมดาทั่วไป ทุกก้าวร่างกายก็ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ยามที่เดินไปหน้าบันได ร่างกายที่ขยายใหญ่ของเขาทำให้เสื้อขาดวิ่นแล้ว เขาสลัดเสื้อทิ้งไปเสียเลย เผยให้เห็นกล้ามเนื้อดำขลับดั่งเหล็ก เปล่งประกายเงาวาวทั้งร่าง
จากนั้นเขาก็นอนคว่ำบนขั้นบันไดดัง พลั่ก! โคจรปราณเล็กน้อย กล้ามเนื้อทั่วทั้งร่างเกร็งแน่นขึ้นมา
เขาใช้ร่างกายของตน ‘ปูทาง’ ให้ขั้นบันได
ไม่รอให้เหล่าเจ้ายุทธจักรที่ตกตะลึงอ้าปากค้างรู้สึกตัวขึ้นมา เหล่าองครักษ์ก็เข้ามาเข็นเก้าอี้เข็นของท่านมู่เหยียบร่างชายผู้นั้นแล้ว น้ำหนักหลายร้อยชั่งทับลงบนร่างกาย ทว่าทุกคนไม่ได้ยินเสียงกระดูกหักแต่อย่างใด
เงียบสงัดทั้งตรอกหออวี้โหลว
พริบตาที่เก้าอี้เข็นเข้าไปในหอนั้น บุรุษผู้นั้นพลันพ่นลมหายใจและกระโจนลุกขึ้น ทั่วทั้งร่างไม่ได้รับบาดเจ็บ สหายของเขาโยนเสื้อคลุมนอกให้เขาหนึ่งตัว ก่อนที่เขาจะสวมใส่มันอย่างลวกๆ เพียงไม่นานร่างกายก็ค่อยๆ หดกลับไป ท่าทางดั่งคนธรรมดา
ห้องรับรองเงียบสนิท สีหน้าของเหล่าเจ้ายุทธจักรดูไม่ดีเท่าใดนัก
คนจำนวนมากมีวรยุทธ์ฝึกร่างกายวิชาภูษาเหล็ก ทว่าในเวลานี้ผู้ที่นึกถึงกระบวนท่านี้มีไม่มาก
ท่านมู่ผู้นี้มีความเคร่งขรึม ข่มขวัญผู้คนให้รู้สึกกลัว
ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น การฝึกวรยุทธ์ ฝึกร่างกายส่วนใหญ่จะฝึกไว้ภายนอก ดูท่าทางก็สูงใหญ่สง่างามแตกต่างจากคนทั่วไป ทว่าองครักษ์นายนี้กลับซ่อนวรยุทธ์ฝึกร่างกายได้คล่องแคล่ว เจ้ายุทธจักรทุกท่านกลับไม่เคยได้ยินฝีมือเช่นนี้ด้วยซ้ำ
ยามนี้พวกเขามององครักษ์ที่หน้าตาไม่โดดเด่นกลุ่มนั้นอีกครั้ง ดวงตาก็มีแววตรวจสอบมากขึ้นหลายส่วน ผู้ใดจะรู้ว่าภายใต้ใบหน้าธรรมดาๆ นั้นจะซ่อนฝีมือที่น่าอัศจรรย์ไว้เท่าไร หอเงาที่โผล่ขึ้นในสถานที่ซับซ้อนขนาดนี้ เป็นสถานที่ที่ผู้อื่นแทรกเข้ามาไม่ได้เสียนานแล้ว ภายในเวลาสั้นๆ แค่ห้าปี ก็นับว่ามีความสามารถหลายส่วนจริงด้วย
ในห้อง องครักษ์ใหญ่ลุกขึ้นนำหน้า หมู่นี้กลุ่มสิบสามองครักษ์พบอุปสรรคไม่หยุดหย่อน เบื้องลึกในใจยิ่งหวังได้พันธมิตร
มีคนเริ่มก่อน คนที่เหลือก็ฉวยโอกาสลุกขึ้นไปต้อนรับ
หน้าห้องโถง ผู้ที่นั่งพิงเก้าอี้เข็นค่อยๆ เงยใบหน้าขึ้นยิ้มแย้ม
หน้ากากสีเงินเปล่งประกายเหน็บหนาวเล็กน้อย รัศมีโค้งของรอยยิ้มมุมปากเขากลับสดใสดั่งดอกบัวยามคิมหันต์
ทุกคนหายใจไม่ออกไปชั่วพริบตาหนึ่ง
…
จิ่งเหิงปัวมาถึงห้องส่วนตัวชั้นสอง ฝั่งตรงข้ามห้องส่วนตัวไม่ไกลนั้นก็คือห้องจัดเลี้ยง เป็นห้องสามห้องที่ทะลุถึงกัน ทำเป็นห้องใหญ่กว้างโล่งหนึ่งห้อง หรูหราโอ่อ่ายิ่งนัก
เดิมทีในห้องมีหญิงสาวจำนวนมากรวมตัวกัน จ้อกแจ้กจอแจ ตอนที่นางเข้าไป ทุกคนก็พลันเงียบลงทันที
ผู้หญิงนั้นไวต่อความสวยของคนอื่นเสมอ
จิ่งเหิงปัวก็ไม่สนใจแววตาของคนอื่น นางเข้าไปอย่างไม่สะทกสะท้าน แต่ผู้หญิงพวกนั้นนั่งเต็มม้านั่ง ไม่มีที่เหลือให้นาง ทว่าจิ่งเหิงปัวก็ไม่สนใจ เตรียมจะยืนพิงกำแพงฟัง แต่กลับมีสาวน้อยคนหนึ่งลุกขึ้นสละม้านั่งของตนให้นาง
นางยิ้มอย่างเก้อเขิน สวมชุดผ้าโปร่งสีเขียวน้ำเงิน ปักปิ่นหยกขาว หน้าตาสดใส ท่าทางแตกต่างอ่อนโยนมีเสน่ห์อยู่ในกลุ่มผู้หญิงที่แต่งหน้าหนาเตอะ โดยเฉพาะมือคู่หนึ่งดุจหยกดั่งหิมะ ปลายนิ้วแวววาว เรียวเล็กประณีตยิ่งนัก นางก็คล้ายทะนุถนอมมือของตนเหลือเกิน บนเล็บประดับผลึกแก้วเม็ดกระจ้อย แม้ไม่มีราคา แต่เปล่งประกายเล็กน้อยขณะยกมือยกเท้า ยิ่งเพิ่มท่วงท่าสง่างามหลายส่วน
เดิมทีจิ่งเหิงปัวไม่ชอบผู้หญิงที่คล้ายดอกไม้ขาวแบบนี้ แต่รู้สึกว่ารอยยิ้มของนางนั้นบริสุทธิ์ แตกต่างจากผู้หญิงที่เกลียดที่สุดคนนั้น เช่นนั้นจึงยิ้มแย้มแล้วจูงนางนั่งลงฟังด้วยกัน
ฟังไปสักพักก็เพิ่งเข้าใจว่าที่แท้งานเลี้ยงยุทธภพนี้มีกฎเกณฑ์ สำหรับแขกสำคัญต้องมี ‘รอบหนึ่ง’ ‘รอบสอง’ ‘รอบสาม’
ที่เรียกว่า ‘รอบหนึ่ง’ ‘รอบสอง’ ‘รอบสาม’ นั้นหมายถึงจานเรียกน้ำย่อย จานหลัก และน้ำชาอาหารว่างอย่างสุดท้าย แต่ละจานจะยกขึ้นโต๊ะโดยยอดหญิงงามที่เลือกออกมารับแขก รอบหนึ่งย่อมให้แขกที่สูงศักดิ์ที่สุด รอบสองให้ผู้ร่วมงานที่สูงศักดิ์ที่สุด รอบสามนั้นให้เจ้าภาพ
โดยทั่วไปแล้วรอบหนึ่งนั้นเป็นงานที่ดีที่สุด จะได้รับรางวัลหนักๆ อีกทั้งผู้หญิงที่ออกไปเป็นคนแรกจะได้รับความโปรดปรานจากเหล่าเจ้ายุทธจักรได้ง่าย ได้ดิบได้ดีเป็นอนุภรรยาอะไรเอย เป็นเรื่องที่เห็นได้บ่อยครั้ง
รอบสามจะมากจะน้อยก็ได้รางวัลเช่นกัน มีเพียงแต่รอบสองนั้น บางครั้งจะเกิดเรื่องจำพวกชาวยุทธ์ชอบแย่งอันดับ บางครั้งตัดสินว่าใครเป็นผู้ร่วมงานที่สูงศักดิ์ที่สุดได้ยากจริงๆ…อย่างเช่น สถานการณ์เช่นในวันนี้
เพราะอย่างนั้นเหล่าหญิงสาวจึงแย่งกันเป็นรอบหนึ่ง เพราะจะได้ไม่เป็นภัย
เจ้าของร้านกลับทอดสายตาลงบนร่างจิ่งเหิงปัว รอบหนึ่งเลือกแม่นางยอดหญิงงาม แต่ก่อนปัญหานี้ทำให้ปวดเศียรเวียนเกล้า ความงามแตกต่างกันไป ผู้ใดนับว่างามที่สุดเล่า? ทว่าวันนี้ไม่มีปัญหานี้เลย
จิ่งเหิงปัวก็มีความคิดจะออกไปเปิดหูเปิดตาหน่อย แต่เมื่อนางชำเลืองหางตา กลับเห็นสาวน้อยข้างกายกำลังก้มหน้าด้วยแก้มแดงซ่าน ท่าทางคล้ายอยากเอ่ยแต่ไม่กล้า
เมื่อครู่ที่แย่งกันนั้น นางก็ทำท่าทางเช่นนี้ตลอดเวลา เพราะอย่างนั้นตั้งแต่ต้นจนจบจึงไม่มีคนสนใจนาง
“เจ้าอยากไปหรือ?” นางชนเข่าเพื่อนใหม่
“อืม…” เสียงตอบนั้นเบาดั่งเสียงแมลงหวี่ “…ข้า…ข้าอยากไถ่ตัว ยังขาดเงินอีกนิดหน่อย…มามาบอกว่าหากไม่นำมาอีก ก็ไม่ให้ข้าแต่งออกไปแล้ว…”
จิ่งเหิงปัวร้องอ้อขึ้น เข้าใจในทันใด ที่แท้ก็เป็นเรื่องของหญิงคณิกาเจอชายคนรักอยากแต่งออกไปอีกแล้ว
นี่นับว่าเป็นเรื่องดี นางจึงกล่าวขึ้นทันทีว่า “ข้ารู้สึกไม่สบายขึ้นมา ไม่อย่างนั้นให้ข้าเป็นรอบสองเองดีหรือไม่? เพียงแต่น้องสาวข้างกายข้าคนนี้ ข้ารู้สึกว่าเหมาะจะเป็นรอบหนึ่งยิ่งนัก”
เจ้าของร้านพินิจนาง ตัวเขาเองก็เป็นชาวยุทธ์ ย่อมพิถีพิถันเรื่องสตรียิ่งนัก ยามปกติเขาจะรู้สึกว่าสาวน้อยนางนี้บอบบางจืดชืดไปหน่อย ยามนี้เทียบกับสาวเล็กสาวน้อยเต็มห้องนี้ กลับรู้สึกว่ามีเสน่ห์แตกต่างสว่างไสวตรงหน้า ยิ่งมองเห็นมือที่งดงามคู่นั้นของนาง ดวงตาสว่างวาบเอ่ยว่า “จานเรียกน้ำย่อยก็เป็นน้ำแกงบัวรังนกโรยสะระแหน่ ยกขึ้นไปด้วยมือดั่งดอกบัวคู่นี้ของเจ้าแล้ว คงงดงามส่งเสริมกันแน่แท้ เป็นเจ้าแล้วกัน”
สาวน้อยกุมมือจิ่งเหิงปัวอย่างซาบซึ้ง ก่อนที่จะตามเจ้าของร้านไปแล้ว ฝ่ามือของนางอบอุ่นอิ่มเอิบให้ความรู้สึกดีคล้ายแพรไหม
จิ่งเหิงปัวมองเงาร่างบอบบางของนางหายไปในแสงไฟสว่างไสวข้างหน้า ไม่รู้ทำไมเช่นกัน ในใจพลันกระตุกวูบ
…
งานเลี้ยงเริ่มต้นขึ้นแล้ว ท่านมู่ที่อ่อนวัยนั่งลงที่ตำแหน่งแขก
สีหน้าของทุกคนล่องลอย วาจาของทุกคนวกไปวนมา สายตาของทุกคนแอบกวาดมองเขา
คุกคามหยั่งเชิง ประชดเหน็บแนม เอ่ยวาจาจาอ้อมค้อม เชื้อเชิญตักเตือน ใช้ทักษะทางภาษาหมดแล้ว ใช้วิธีกระทบกระเทียบหมดแล้ว ทว่าคนผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าไร้ร่องรอยดั่งสายลม ตระหง่านดั่งภูเขา ไหลไปดั่งสายน้ำ ดั่งความฝันพิลึกพิลั่น…เจ้ารู้สึกคล้ายได้พบหลายสิ่ง ได้เจอหลายอย่าง แต่พอขบคิด เพิ่งรู้ตัวว่าแท้จริงแล้วไม่ได้อะไรทั้งนั้น
เอ่ยวาจาไร้สาระอยู่นาน กลับไม่ได้รู้เลยว่าตกลงแล้วอีกฝ่ายขนาดใหญ่เท่าใดกันแน่ ก่อตั้งอย่างไร ความสามารถเป็นอย่างไร รวมทั้งแผนการในอนาคต ทุกคนเห็นเพียงรอยยิ้มบางๆ ตรงมุมปากของเขา คล้องเกี่ยวพระจันทร์ที่อ้างว้างเยือกเย็นเป็นพิเศษในคืนนี้
ทุกคนรู้สึกแค้นใจ สายตาอึมครึม
บรรยากาศเริ่มเงียบเหงา ข้างนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นพอดี
“หัวหน้ากลุ่ม ยกจานเรียกน้ำย่อยขึ้นโต๊ะได้แล้วหรือไม่”
“เข้ามา”
ประตูเปิดออก สาวน้อยก้าวเข้าสู่ที่ชุมนุมเจ้ายุทธจักรแห่งนี้อย่างตื่นเต้นอยู่บ้าง
นางเยื้องกรายย่างเท้า กระโปรงบานลากผ่านพื้นอย่างเงียบเชียบ น้ำแกงในชามที่ถืออยู่ไม่กระฉอกออกมาสักหยด
ยามนี้เหล่าเจ้ายุทธจักรอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ไม่มีใครที่มีกะจิตกะใจสนใจสาวน้อยนางนั้น สาวน้อยหลุบตาลง ร่างสั่นเทิ้มนิดหน่อย ซ่อนความผิดหวังไว้ไม่มิด
ท่านมู่นั่งอย่างสบายๆ หลังมือเท้าคางเล็กน้อย เห็นเพียงมือรูปร่างงดงามกับริมฝีปากแดงอ่อนงดงามเช่นเดียวกันของเขาใต้แสงไฟ
ครู่แรกที่สาวน้อยนั้นเข้าประตูมา เขาก็มองเพียงปราดเดียว หลังจากนั้นกลับไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาอีกเลย
สาวน้อยประคองจานเรียกน้ำย่อยแล้วคุกเข่าลง เผยให้เห็นรังนกทรงดอกบัวผลิบานอย่างสวยงามในชามหยกเขียว
มือของนางก็ราวกับดอกบัว อ่อนช้อยขาวราวหิมะ มีน้ำมีนวล ผลึกแก้วเม็ดกระจ้อยบนเล็บกระทบแสงไฟเจิดจ้าในห้องจนเปล่งประกายระยิบระยับ
สายตาของหลัวซาทอดลงบนมือคู่นี้
แววตาของนางพลันเผยเจตนาร้ายเล็กน้อย…ในเมื่อหยั่งเชิงตักเตือนก็ไม่เป็นผล เช่นนั้นต้องลองของหนักสักหน่อย
“หญิงยกอาหารเรียกน้ำย่อยงดงามปานนี้เชียว” นางยิ้มแย้ม “ท่านมู่ รู้สึกว่าสตรีนางนี้เป็นอย่างไร”
ท่านมู่ลืมตาขึ้นเล็กน้อย มองเพียงปราดเดียว
ทว่าปราดหนึ่งนั้นก็มองเพียงมือคู่นั้นเอง
“มืองามยิ่งนัก” เขายิ้มบางๆ ก่อนโยนไข่มุกหนึ่งเม็ดออกไป นับว่าให้รางวัล
ผู้ใดก็ฟังความขอไปทีของวาจานี้ออก สีหน้าของทุกคนยิ่งดูไม่ดีนัก โดยเฉพาะท่าทางของเขา…ตามหลักแล้วหากคิดแสร้งเอาใจเจ้าภาพจริง ก็ควรจะต้องอยากได้สตรีนี้ไป และยิ่งต้องการอย่างกระตือรือร้นเท่าไหร่ก็ยิ่งเป็นการไว้หน้าเจ้าภาพ ดูอ่อนน้อมถ่อมตนมากเท่านั้น
แต่เขากลับไม่สนใจไยดีเช่นนี้ จากนั้นยังโยนไข่มุกล้ำค่าเช่นนี้ออกมาเป็นรางวัลให้หญิงคณิกานางหนึ่ง…ไข่มุกใหญ่ดั่งเนตรมังกร อิ่มเอิบขาวบริสุทธิ์ ประเมินค่าไม่ได้ แววตาของสาวน้อยนั้นดีใจจนแทบเป็นลม
นี่นับว่าเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของพวกเขาอย่างรุนแรง
เจตนาร้ายในรอยยิ้มของหลัวซายิ่งลึกซึ้งมากขึ้น
“นั่นสิ มืองามยิ่งนัก” นางยิ้มแย้ม “เจ้าชอบก็ดีแล้ว”
นางโบกมือ ส่งสายตาให้เจ้าของร้าน เจ้าของร้านยิ้มเล็กน้อย โค้งกายพาสาวน้อยที่ดีใจออกไป
ตรงมุมบันไดนั้น เขาพาสาวน้อยไปหาลูกน้อง ยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ละเอียดหน่อย อย่าทำให้ดูไม่ดี อีกทั้งอย่าให้มีเสียง ทำให้แขกเหรื่อหมดความสนุกสนาน”
“ขอรับ”
สาวน้อยเบิกตากว้างอย่างงงงวย ก่อนจะถูกเสี่ยวเอ้อร์ในร้านผลักลงไปอย่างแผ่วเบา
รอยยิ้มของเขาก็คล้ายเจือด้วยเจตนาร้าย
“ไปเถิด ชีวิตสุขสบายของเจ้าจะมาถึงแล้ว”