จะว่าไปแล้ว นางจะเป็นราชินีแห่งบึงโคลนเฮยสุ่ย ควบคุมไต้เม่า จะขัดแย้งกับทุกกลุ่มอำนาจในไต้เม่าไม่ได้เช่นกัน ภายใต้สถานการณ์ปกติควรจะประคองกลุ่มที่ถูกกดขี่ ดึงกลุ่มที่อ่อนแอเป็นพวก ปราบปรามกลุ่มที่แข็งแกร่งที่สุด ตอนนี้ท่านมู่ถูกกลุ่มอำนาจยุทธภพในไต้เม่าร่วมมือกันลอบทำร้าย ตรงกับเป้าหมายที่นางจะดึงมาเป็นพันธมิตรพอดี
ในใจยอมแล้ว ทว่าบนใบหน้ายังไม่ยอมอ่อนข้อ นางส่งเสียงฮึดฮัด กล่าวออกไปว่า “เอาเงินค้ำประกันมาก่อน”
เดิมทีประโยคนี้ตั้งใจจะประชดเขา นางคิดว่าเขาบาดเจ็บอยู่ข้างนอก จะพกของดีอะไรไว้ได้ แต่ใครจะรู้ว่าเขากลับยื่นมือเข้าแขนเสื้อ ล้วงสิ่งที่เป็นหวายสานทรงกลมออกมาส่งให้นางจริงๆ
จิ่งเหิงปัวรับมา คว้าไว้ในมือก่อนจะเพิ่งรู้สึกว่าค่อนข้างหนัก เห็นได้ชัดว่าในเส้นหวายห่ออะไรสักอย่างไว้ หวายนั้นให้สัมผัสอ่อนนุ่ม ดูท่าจะยืดหยุ่นมาก นางลองดึงเล็กน้อย กลับดึงไม่ออกอย่างที่คิดไว้
“หวายแพรไหม” ท่านมู่เอ่ยว่า “ผลิตผลเฉพาะของแคว้นจี ไม่กลัวไฟไม่กลัวอาวุธไม่เน่าเปื่อย มีสรรพคุณในการบำรุงรักษาทุกสิ่งที่ห่อไว้ สตรีสูงศักดิ์แคว้นจีใช้มันตัดเย็บอาภรณ์”
“อะไรอยู่ในเส้นหวาย” นางถาม
“ไม่รู้” เขาตอบได้ดีเยี่ยม
“ไม่รู้แล้วเจ้าให้ข้า? หากข้างในเป็นยาพิษเล่า”
“หวายแพรไหมล้ำค่ายิ่งนัก สิ่งที่ใช้มันมาห่อได้ย่อมต้องล้ำค่ายิ่งกว่า ต่อให้เป็นยาพิษก็เป็นยาพิษล้ำค่า เจ้าไม่ขาดทุนหรอก”
“แม้จะเอ่ยเช่นนั้น แต่ในเมื่อแกะหวายนี้ไม่ได้ ข้าได้มันมาจะมีประโยชน์อะไร?” นางหยิบของสิ่งนี้ขึ้นมาชม รู้สึกว่าสิ่งนี้ไม่มีอะไรโดดเด่น มองไม่ออกด้วยซ้ำว่าข้างในจะเป็นอะไร
“ใช้กำลังทำลายเส้นหวายไม่ได้ ทว่าเส้นหวายนี้ถูกสานไว้ ก็ย่อมแกะออกได้” เขาเอ่ยว่า “เพียงแต่สานไว้ซับซ้อนยิ่งนัก ต้องค่อยๆ ใคร่ครวญ นี่เป็นงานฝีมือของสตรี ไม่เหมาะให้เหล่าบุรุษทำ ฉะนั้น ข้ามอบให้เจ้า”
เห็นนางยังคงมีสีหน้าท่าทางไม่พอใจ เขาก็เอ่ยสืบต่อไปว่า “หวายนี้มีนามว่าแพรไหม ด้วยเพราะตัวหวายเองก็มีสรรพคุณบำรุงผิว ทำให้ผิวละเอียดเกลี้ยงเกลาดั่งแพรไหม ต่อให้เจ้าแก้เส้นหวายนี้ไม่ได้ พกติดตัวไว้ก็มีประโยชน์เช่นกัน”
ประโยคนี้กลับถูกใจจิ่งเหิงปัว นางยิ้มตาหยีกล่าวว่า “มองไม่ออกว่าชายฉกรรจ์เช่นเจ้า จะละเอียดอ่อนเฉกเช่นสตรี” ก่อนจะพกสิ่งนี้ไว้ในถุงเครื่องหอมตรงเอว ไม่ได้พกติดตัว คิดว่ารอให้เจอซือซือก่อน จะให้เขาดูว่ามีพิษหรือไม่แล้วค่อยว่ากัน
พกเสร็จแล้ว พอเงยหน้ากลับเห็นเขาจ้องตรงเอวตัวเองเขม็ง สายตาค่อนข้างประหลาด คล้ายทั้งดีใจทั้งโศกเศร้า ซ้ำยังมีความอ้างว้างลึกล้ำ
เมื่อเห็นมองนางมองมาเขาก็เบนสายตาไปออกไป สองคนตกอยู่ในความอึดอัดที่ไม่เอ่ยวาจาอีกครั้ง ผ่านไปชั่วครู่ เขาก็หยิบหน้ากากผิวคนกับหน้ากากเงินข้างกายขึ้นมาสวมใส่ทีละอย่าง
นางมองเขาค่อยๆ ลูบรอยต่อหน้ากากผิวคนให้เรียบ ในใจก็เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นมา อดจะเหน็บแนมเขาสักหน่อยไม่ได้ “ต้องหาแป้งมาให้เจ้ากลบรอยต่อหน่อยหรือไม่?”
เขาหยุดมือลง จากนั้นก็เอ่ยอย่างเฉื่อยเนือยว่า “ย่อมได้ ขอเป็นแป้งวังสวรรค์ที่ดีที่สุด”
นางหัวเราะเยาะฮิๆ “หาผิวสตรีให้เจ้าสวมอีกชั้นเสียเลย?”
เขาหยุดมืออีกครั้ง มุมปากโค้งขึ้น “เจ้าอย่าทำตนน่าขยะแขยงขนาดนี้ได้หรือไม่”
“กินเนื้อคนไม่น่าขยะแขยง?” นางกลอกตาขาวคล้ายชม้ายชายตา
เสียงของเขาคล้ายถอนใจ “ข้าไม่ได้กิน”
“ข้าเห็นแล้ว” นางถอยหลังอย่างรังเกียจ ไม่มีทางให้อภัยที่เขากล้าคีบมือนั้นใส่จานของตน
ต่อให้เป็นการแสร้งยอมรับผู้อาวุโสยุทธภพพวกนั้น นางก็รู้สึกว่าผู้ชายแบบนี้ขี้ขลาดเกินไป
เขานิ่งเงียบ คล้ายไม่คิดจะอธิบายอะไรต่อ มุมปากผลิแย้มรอยยิ้ม ยังคงเจือด้วยความเขินอายเช่นนั้น ทว่าก็เกิดเป็นเสน่ห์แห่งชายวัยฉกรรจ์ เอกลักษณ์เฉพาะตัวที่อัศจรรย์ยิ่งนัก
เขาคล้ายไม่ค่อยสนใจว่านางคิดอย่างไร อยู่ด้วยก็ดีใจแล้ว
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าความรู้สึกที่ลึกลับและผนึกแน่นแบบนั้นมาเยือนอีกแล้ว รีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามเขาว่า “วันนี้เรี่ยวแรงเป็นอย่างไรบ้าง”
เขาทำท่าทางจะเอนหลังอีกครั้ง “ไม่ไหว”
แสงริบหรี่ทะลุผ่านซอกหน้าต่าง แสงรุ่งอรุณโผล่พ้นขอบฟ้า เริ่มต้นวันใหม่แล้ว
จิ่งเหิงปัวขึ้นไปบนเตียง คุกเข่าลงข้างกายเขา ก้มหน้ามองเขา เผยยิ้มชั่วร้ายออกมา “บาดเจ็บน่าเบื่อนักใช่หรือไม่ ข้าเล่นกลให้เจ้าชมดีหรือไม่”
เขาจ้องนางเขม็ง
จากนั้นสายตาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป
บนใบหน้าของจิ่งเหิงปัวค่อยๆ ปรากฏการเปลี่ยนแปลง บนผิวขาวราวหิมะมีสีเหลืองแพร่ขยายออกมาทีละผืน คล้ายโคลนเหลืองผืนหนึ่งค่อยๆ ท่วมท้นพื้นหิมะ แต่งแต้มดินแดนให้ลายพร้อย
การเปลี่ยนแปลงกะทันหันแบบนี้ค่อนข้างน่ากลัวจริงๆ นางยิ้มเยาะมองเขา สองมือกดไหล่ของเขาไว้ เตรียมรอให้เขาตกใจจนจะลุกขึ้น นางจะเข้าใกล้ปลอมเป็นผีสาวหลอกเขาให้เต็มที่
เขากลับไม่ได้ร้องโวยวาย ซ้ำยังไม่ได้ลุกขึ้น ทว่ายกมือขึ้นเล็กน้อย คล้ายอยากลูบหน้าของนาง สายตานั้น…
สายตานั้นมีความตึงเครียด คล้ายยังมี…ความสงสาร
มือของเขายกขึ้นครึ่งหนึ่ง จากนั้นวางลง ไม่ได้เสียกิริยา…ด้วยเพราะเขาเห็นแววตาตลกร้ายของนาง
แววตานี้ทำให้เขาแน่ใจว่าแท้จริงแล้ว ใบหน้านี้ไม่เป็นอะไร
นางเห็นเขานอนนิ่งสงบแล้วผิดหวังอยู่บ้าง ส่งเสียงฮึดฮัดออกมา ก่อนจะปล่อยเขาไปอย่างเซ็งๆ ลุกขึ้นนั่งจัดผม
ฝั่งตรงข้ามก็คือโต๊ะ บนโต๊ะมีกระจก ในกระจกเห็นตัวเองครึ่งหนึ่งกับเขาที่นอนอยู่บนที่นอนครึ่งหนึ่ง
มือที่กำลังจัดผมของจิ่งเหิงปัวชะงักกะทันหัน
นางพบว่าเขากำลังมองนาง
กระจกทองเหลืองที่เลือนรางไม่อาจสะท้อนหน้าตาที่ชัดเจน แต่รู้สึกได้ถึงแววตาของเขา
ไม่ใช่ขยะแขยง ไม่ใช่รังเกียจ แต่…สงสาร
ความสงสารที่ชัดเจนและลึกซึ้งยิ่งกว่าเมื่อครู่
คล้ายเขามองเห็นความพยายามกับการละทิ้งของนางจากบนใบหน้าลายพร้อยนี้
พยายามเป็นผู้แข็งแกร่งที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ละทิ้งความงามใส่ใจที่สุดในตอนแรก
สงสารนางที่เดินบนเส้นทางนี้ ได้มาเท่าไรก็ต้องสูญเสียเท่านั้น ทำให้ตัวเองค่อยๆ เปลี่ยนไประหว่างที่ลำบากยากเข็ญ
นิ้วมือที่กำลังสางผมของจิ่งเหิงปัวหยุดนิ่ง ก่อนจะหัวเราะเยาะเสียงหนึ่ง
ไม่รู้ทำไม เมื่อเห็นแววตาแบบนี้แล้ว นางยิ่งว้าวุ่นใจ
คล้ายความรู้สึกที่สะกดไว้นานแล้วก็ถูกรื้อขึ้นมาเสียอย่างนั้น ฝ่ามือยักษ์แห่งกาลเวลาตบเบาๆ ความหลังก็พุ่งพรวดสู่ตรงหน้า
อย่า อย่านะ
นางมัดผมเสร็จในไม่กี่ครั้ง ยิ้มแล้วกล่าวว่า “มองพอหรือยัง?”
ข้างหลังเงียบสนิท เขาไร้ซึ่งความเก้อเขินที่ถูกพบเข้า เพียงกระซิบว่า “เจ้าเปลี่ยนตำแหน่ง ข้ามองไม่เห็นแล้ว”
สื่อนัยว่าเจ้ารีบหันกลับมาข้าจะได้เห็นอีกครั้ง
จิ่งเหิงปัวมีความสุขกับความหน้าหนาของเขา หัวเราะฮ่าๆ แล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นให้เจ้าได้ชมของดีอีกอย่าง”
มือสะบัดเพียงครั้ง กระเบื้องเหนือศีรษะก็ลอยออกจากหลังคาดังโครม เศษกระเบื้องส่วนหนึ่งหล่นลงมากระแทกหลังคาเตียง ฝุ่นร่วงเกรียวกราว เขาลากผ้าห่มขึ้นมาบังไว้
จิ่งเหิงปัวสะบัดมืออีกครั้ง เขาลอยขึ้นมาทั้งผ้าห่ม กลิ้งเกลือกบนหลังคาเตียง หล่นกระแทกบนเตียงดังพลั่ก
ฝุ่นเหนือศีรษะฟุ้งกระจาย ร่วงทั่วไหล่ทั่วศีรษะเขา
จิ่งเหิงปัวเผยยิ้มที่แก้แค้นได้สำเร็จ แต่ปากส่งเสียงกรีดร้อง
“กรี๊ดๆๆ เจ้าคือผู้ใด? กรี๊ดๆ กรี๊ดๆ ช่วยด้วย!”
เสียงร้องของนางแว่วออกไปดังสนั่นลั่นบ้าน ท่านมู่ยังคงดิ้นรนอยู่กับกองผ้าห่ม
ประตูถูกถีบออกดัง พลั่ก! คนของสำนักหลัวซาและกลุ่มเยี่ยนปังเหล่านั้นพุ่งเข้ามา คนหน้าสุดก็คือหัวหน้าชายคนนั้น ท่าทางรีบร้อนคล้ายเพิ่งรีบกลับมา ถามด้วยเสียงร้อนรนว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
“เขา…” จิ่งเหิงปัวชี้ท่านมู่ สีหน้าตกใจ “เมื่อครู่เขากระแทกหลังคา ร่วงลงบนเตียงข้า ตกใจหมดเลย!”
เหล่าบุรุษหนึ่งกลุ่มได้ยินเสียงหลังคาแตกร้าว ขณะนี้เงยหน้ามองเห็น หลังคาเป็นโพรงใหญ่จริงด้วย คนหนึ่งหมอบอยู่บนเตียง ทั่วร่างเต็มไปด้วยฝุ่น เห็นแล้วรู้เลยว่าร่วงลงมาจากหลังคา
นักเลงชายเหล่านี้มีสีหน้าจริงจัง หัวหน้าชายโบกมือเพียงครั้ง แต่ละคนที่เหลือเชิดอาวุธเข้าใกล้ท่านมู่
ท่านมู่ที่หมอบอยู่ค่อยๆ หันหน้ามองจิ่งเหิงปัว
จิ่งเหิงปัวเอามือไพล่หลัง มองเขาด้วยสีหน้าเบิกบาน…ให้นายมอง ให้นายอวดเก่ง ให้นายพึ่งฉัน ตอนนี้น่าจะลนลานแล้วสินะ กลัวแล้วสินะ?
ผลลัพธ์ก็คือนางต้องผิดหวังอีกครั้ง
ท่านมู่ไม่เพียงแต่ไม่ได้เผยสีหน้าผิดหวังตกใจออกมา ซ้ำยังกะพริบตาให้นาง
เขาคล้ายไม่มีความเจ็บปวดที่ถูกทรยศแม้แต่น้อย ราวกับว่านี่เป็นเพียงเกมเกมหนึ่ง
จิ่งเหิงปัวกะพริบตา จ้องเขา เขากะพริบตา มองจิ่งเหิงปัว
จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่านี่เป็นเกมประชันสมาธิเกมหนึ่งจริงๆ และนางเหมือนจะแพ้แล้ว
มีดของสมาชิกกลุ่มเยี่ยนปังที่อยู่หน้าสุดใกล้จะสัมผัสลำคอของเขาแล้ว
เขายังยิ้มบางๆ มุมปากโค้งขึ้น เพียงมองนาง คล้ายมอบชีวิตให้นางจริงๆ และราวกับว่านี่เป็นบททดสอบที่เขามอบให้นาง
จิ่งเหิงปัวรู้สึกพิลึก…คนแปลกหน้าที่เจอหน้าครั้งแรกคนนี้ รู้สึกไม่ดีตั้งแต่แรกด้วยซ้ำ ทำไมถึงกล้ามั่นใจขนาดนี้ ทำไมถึงกล้ามอบชีวิตให้นาง?
เช่นนั้นก็ตายซะเถอะ หึ
มีดนั้นกำลังจะสะบั้นลงมา
ทว่าเขายังไม่ขยับเขยื้อน
นางได้แต่ตะโกนลั่นว่า “อ๊า!”
เสียงนี้เต็มไปด้วยความแปลกใจ มีดที่สะบั้นลงมาหยุดนิ่ง ชายกลุ่มนั้นเหลียวหลังมองนางโดยพร้อมเพรียง
จิ่งเหิงปัวกลับกล่าวแค่ประโยคนี้แล้วหุบปากลงสนิท…นางรู้สึกไม่พอใจ ต้องดูให้ได้ว่าเขาจะทำอย่างไร
เขาที่อยู่บนเตียงขยับเขยื้อนจนได้ ยื่นมือสั่นระริก เอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “…หมู่ตาน เจ้าจำข้าไม่ได้แล้วหรือ”
หมู่ตาน?
หมู่ตาน!
จิ่งเหิงปัวเกือบกระอักเลือดออกมา บนใบหน้าปรวนแปรเป็นเขียวแดงขาวเขียวระลอกหนึ่ง…นางเหมือนจะแพ้อีกแล้ว…
นางกัดฟัน แต่ต้องพุ่งขึ้นไปอย่าง ‘ดีใจและแปลกใจ’ ขวางแขนที่ถือมีดของชายคนนั้นไว้ กล่าวเสียงดังว่า “อ๊ะ! ท่านนั่นเอง พี่ใหญ่อิง! เหตุใดท่านถึงสวมหน้ากากเล่า อีกทั้งเหตุใดท่านถึงพลันท่าทางหน่อมแน้มขนาดนี้ คล้ายพี่ชายในหอคณิกาชายของเมืองเรานัก ข้ายังจำท่านไม่ได้เลย!”
นางไม่รู้ว่าสีหน้าของท่านมู่ดำคล้ำหรือไม่ นางรู้ว่าในแววตานางเต็มไปด้วยความชั่วร้าย
เสียดายว่าท่านมู่คล้ายจะเป็นยอดฝีมือทางการแสดงเช่นกัน ซ้ำยังคล้ายไม่ได้ค้นพบความชั่วร้ายของนาง ไอโขลกพลางยิ้มเอ่ยว่า “…ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ถูกพิษ…เลยร่วงลงมาที่นี่…ไม่นึกว่าจะเจอเจ้า”
จิ่งเหิงปัวแอบชื่นชม…เจ้ามนุษย์กินคนคนนี้สมองไวจริงๆ ครั้งนี้ไม่ได้เตี๊ยมกันล่วงหน้า ขนาดไม่ได้อ่านบทก็ยังรู้ว่านางวางแผนอะไรไว้ รับช่วงต่อได้ทันที
ฝีมือการแสดงนี้เก่งกว่าเผยซูเยอะเลย
“เขาคือผู้ใด” หัวหน้าชายถามอย่างระวัง
จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีกล่าวว่า “พี่ใหญ่อิงล่ะ ช่วงก่อนหน้านี้เห็นบ่อย นิสัยดีนัก” เขย่งเท้ากระซิบข้างหูหัวหน้าชายว่า “อยู่กับพี่สาวคนสวยที่พวกเจ้าต้องการตามหา ข้าได้ยินพี่สาวคนสวยเรียกเขาว่าอิงไป๋ พวกเราเรียกเขาว่าพี่ใหญ่อิง”
ดวงตาของหัวหน้าชายสว่างวาบ
อิงไป๋!
เล่ากันว่าเขาถูกราชครูปลดออกจากตำแหน่ง ขับไล่ออกจากตี้เกอ หลังจากนั้นว่ากันว่าเขาไปขอพึ่งราชินี
เพียงแต่อิงไป๋มีวรยุทธ์สูงส่งยิ่งนักไม่ใช่หรือ? จะตกอยู่ในสถานการณ์ย่ำแย่เช่นนี้ได้อย่างไร หรือว่าทางราชินีนั้นเจอเรื่องใดเข้า?
หัวหน้าชายคือหัวหน้าเล็กผู้หนึ่งของสำนักหลัวซา นามว่าหวังจิ้น เขาได้รับคำสั่งให้พาคนตามหาเบาะแสของราชินี จะได้ใช้กลยุทธ์ชายงามดึงราชินีเป็นพวกก่อน เมื่อคืนหลัวซาเดินทางมากวนจยาชวน เขารีบไปรับใช้และรายงานสถานการณ์ความคืบหน้าทางนี้ ผู้ใดจะรู้ว่าหออวี้โหลวเกิดเรื่องขึ้น เจ้าสำนักบาดเจ็บสาหัส อีกไม่นานสำนักหลัวซาจะเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เขากำลังหวาดหวั่นขวัญผวา กลัวว่าอีกเดี๋ยวคนไว้ใจของเจ้าสำนักเช่นตนเองนี้จะถูกกำจัดด้วยเพราะเจ้าสำนักหมดอำนาจ เมื่อคืนเขารีบไปพบเจ้าสำนัก แม้บาดเจ็บสาหัส เจ้าสำนักก็ยังทุกข์ใจกลัวจะถูกแย่งอำนาจ กำชับเขาว่าไม่ว่าอย่างไรต้องทำเรื่องราชินีนี้ให้ดี หากคว้าราชินีไว้ในกำมือได้ เช่นนั้นยังเป็นแต้มต่อทรงพลัง อย่างน้อยที่สุดผู้อื่นหวังยึดอำนาจก็ไม่ง่ายนัก
หวังจิ้นจึงรีบกลับไปลานน้อย ตัดสินใจว่าจะต้องตามหาราชินีให้เจอ ขณะนี้ได้ยินว่าคนนี้คืออิงไป๋ พลันดีใจเป็นล้นพ้น
อิงไป๋ย่อมอยู่กับราชินี บัดนี้เขาบาดเจ็บเร่ร่อนอยู่ที่นี่ เห็นได้ว่าราชินียังไม่ได้เจอกับสิบสามองครักษ์ พวกเขายังมีโอกาสตามหาราชินีจนเจอ ดึงนางมาเป็นพวกก่อน
“ในเมื่อเป็นสหายของเจ้า พวกเราย่อมต้องต้อนรับให้ดี อีกทั้งจะได้เชิญเขาให้ช่วย ตามหาพี่สาวเจ้าท่านนั้นด้วย” หวังจิ้นกระซิบบอกจิ่งเหิงปัวว่า “เจ้าช่วยข้าถามเขาหน่อยว่ากลายเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร จากนั้นพวกเราค่อยออกเดินทาง ว่าอย่างไร?”
“ได้สิๆ” จิ่งเหิงปัวยิ้มดีใจส่งคนออกไป ปิดประตู หัวเราะฮิๆ ให้ท่านมู่อย่างชั่วร้าย
“เยือกเย็นไม่หยอก” นางกล่าวว่า “เจ้ามั่นใจว่าพี่ใจดีนัก คงไม่ทรยศเจ้าจริงๆ ใช่หรือไม่”
“อ้อ” เขาเอ่ยอย่างเชื่องช้าว่า “เมื่อครู่ ข้าเพียงอาการบาดเจ็บกำเริบ เอ่ยวาจาไม่ออกชั่วขณะเท่านั้น” หยุดไปชั่วครู่ เขาเอ่ยอย่างจริงใจว่า “ไม่นึกว่าเจ้าจะเสียดายข้าขนาดนี้ ข้าซาบซึ้งยิ่งนัก มู่ตาน ขอบคุณนักๆ”