เงาสายหนึ่งพัดผ่านดั่งสายลม จากนั้นยืนนิ่งทันที
“โอ๊ย ข้าไม่ไหวแล้ว อยากอ้วกจัง” เสียงอ่อนระโหยของจิ่งเหิงปัวแว่วมาในสายลม “ที่นี่คือที่ใด?”
“เนินเขาไร้นามบริเวณนี้” เสียงของท่านมู่ยังสงบนิ่ง “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”
“ไม่ค่อยดี” จิ่งเหิงปัวค้ำเข่าไว้ ก้มหน้า “หนาวจัง”
ท่านมู่จูงมือของนางมาจับชีพจร ก่อนจะขมวดคิ้ว “ไม่ใช่ด้วยเพราะสุรา…ความหนาวสะสมในร่างเจ้ามากเกินไป คืนนี้ถูกปราณหนาวเย็นของคนกลุ่มนั้นกระตุ้น อาการกำเริบแล้ว”
จิ่งเหิงปัวพยักหน้า นางรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ได้เกี่ยวกับเหล้าสักเท่าไร เหยียลี่ว์ฉีก็เคยเตือนนางก่อนจากไป หนึ่งเดือนในหุบเขาหิมะ นางวิ่งอยู่ข้างนอกทั้งวัน โดนความหนาวโจมตี ร่างกายนางก็ไม่เคยผ่านการฝึกฝนเช่นนี้มาก่อน จึงได้รับความหนาวโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว เกิดเป็นโรคเรื้อรัง เหยียลี่ว์ฉีเตือนนางว่ารักษาให้หายแล้วค่อยลงเขา นางไม่ได้ใส่ใจ สุดท้ายแล้วสาเหตุของโรคที่สะกดไว้จะโผล่ออกมา ความเย็นของหิมะน้ำแข็งในคืนนี้ก็คือสาเหตุที่ก่อให้เกิดอาการ
เห็นท่าทางไม่มีชีวิตชีวาของนางแล้ว แววตาเขาก็หดหู่เล็กน้อย…มองออกว่าในร่างนางมีพิษหนาว ตั้งใจคิดจะกำจัดออกไปด้วยสุรา ไม่นึกว่าจะบังเอิญขนาดนี้ กลับเจอคนของนิกายสวรรค์กลุ่มนั้นเข้า
เขายื่นมือจูงมือของนางมา คราวนี้นางตอบโต้ว่องไว สะบัดออกทันที “ทำอะไร?”
เขาไม่ตอบ จิ่งเหิงปัวร้องฮึแล้วกล่าวว่า “อย่าถ่ายทอดปราณแท้ให้ข้า วรยุทธ์ของเจ้าคล้ายเป็นสายหนาวเย็นเช่นกัน ไม่มีประโยชน์อะไรกับข้า”
เขานิ่งเงียบ นานครู่ใหญ่จึงเอ่ยว่า “ข้ามีปราณแท้สองสาย เจ้าไม่ต้องกังวล”
นางมองเขาอย่างแปลกใจแวบหนึ่ง ก่อนกล่าวว่า “เจ้าคิดว่าข้าไม่มีความรู้สินะ? ปราณแท้สองสาย? ฟังน้ำเสียงเจ้าแล้วอีกสายคงเป็นสายเพลิงหยางล่ะสิ? ปราณแท้สายหนาวเย็นกับปราณแท้สายเพลิงหยางอยู่ร่วมกันไม่ได้ มิฉะนั้นช้าเร็วจะทำให้ผู้ฝึกวรยุทธ์ธาตุไฟเข้าแทรก คนที่เพิ่งฝึกวรยุทธ์ได้เพียงครึ่งปีเช่นข้าก็รู้เรื่องทั่วไปเช่นนี้ อย่ามาล้อกันเล่น”
ท่านมู่ไม่ได้ปฏิเสธอีก คล้ายใคร่ครวญอะไรอยู่บางอย่าง จากนั้นจึงเอ่ยว่า “คืนนี้พวกเขาไม่ตายไม่ยอมเลิกรา”
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าพวกเขาคือผู้ใด”
เขาหยุดไปเล็กน้อยแล้วถึงเอ่ยว่า “ดูจากรูปแบบการลงมือแล้ว คล้ายนิกายสวรรค์จิ่วฉง”
“นามนี้คุ้นหูนะ…” นางถอนหายใจ “พฤติกรรมเฉกเช่นที่ข้าคิดไว้ เพียงแต่พวกเขาไม่ไปหาเหยียลี่ว์ฉี มาหาข้าเพื่ออะไรกัน? ข้าไม่ได้ฆ่าคุณชายสามเสียหน่อย”
“คุณชายสามคือผู้ใด”
“คุณชายสามตระกูลเหยียลี่ว์ ลูกศิษย์นิกายสวรรค์จิ่วฉง เหยียลี่ว์ฉีทำร้ายเขา กระทบต่อแผนการอะไรสักอย่างของนิกายสวรรค์จิ่วฉง คุณชายสามเอ่ยว่านิกายสวรรค์จิ่วฉงจะต้องแก้แค้น เพียงแต่หันมาแก้แค้นกับข้า ช่างพิลึกพิลั่นยิ่งนัก อีกทั้ง พวกเขารู้ได้อย่างไรว่าข้าอยู่ที่นี่”
“หรือว่า พวกเขาตามหาข้า…” ท่านมู่กระซิบ สายตาเปล่งประกาย
“เจ้าว่าอะไร” จิ่งเหิงปัวได้ยินไม่ชัด
“ข้าเพียงคิดว่า ไม่ว่าพวกเขาจะตามหาผู้ใด ตามหาถูกคนหรือไม่ ด้วยรูปแบบของพวกเขา มาถึงขนาดนี้แล้วคงไม่เลิกรา คืนนี้เป็นทางตัน”
“ไม่ถงไม่ถามกันสักคํา จะฆ่ากันอย่างเดียวเลย รูปแบบเช่นนี้ข้าไม่ชอบยิ่งนัก” นางยิ้มเยาะ “ข้าก็ไม่อยากให้พวกเขารอดชีวิตกลับไป”
“วาจาของพวกเรานี้ฟังดูอวดดีไปหน่อย” เขาหัวเราะแผ่วเบา “คนหนึ่งบาดเจ็บ อีกคนป่วยไข้ อีกฝ่ายมีคนเยอะกว่า หนีอาจหนีได้ง่ายนัก แต่จะฆ่าให้เ**้ยนได้อย่างไร?”
นางหันหน้ามามองเขา มีแต่หน้ากากเงินของเขาที่ส่องแสงเรืองๆ ท่ามกลางความมืดมิด ส่วนอื่นจมอยู่ในความมืดมิด นางควรระวังคนแบบนี้ แต่ไม่รู้ทำไม นางถึงไม่เกิดความระวังกับความคิดสังหาร
ริมฝีปากของเขาซีดเซียวอยู่บ้าง นางก็เหนื่อยล้าเหลือเกิน นี่เป็นช่วงเวลาที่เลวร้าย แต่ไม่รู้ทำไมเช่นกัน นางไม่รู้สึกหวาดกลัวหรือตึงเครียดเลย เหมือนว่ามีคนคนนี้อยู่ข้างกาย ต่อให้เขาไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ยังรู้สึกว่าจิตใจสงบ
ความรู้สึกแบบนี้ไม่ได้เกิดขึ้นมานานแล้ว เป็นเวลานานมากแล้ว นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นสัมภเวสีผีเร่ร่อน เห็นคล้ายว่ารอบตัวเบียดเสียดแน่นขนัด แท้จริงแล้วต่างเป็นเงาโปร่งแสง เห็นแค่ตัวเองยังอยู่ตรงนั้น
“ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับตัวเรา” นางหัวเราะ ฟังเสียงที่แว่วมาในสายลม “พวกเขาใกล้เข้ามาแล้ว”
ในพุ่มไม้ทะมึน ปรากฏเงาสีขาวรำไรแล้ว
“บริเวณนี้มีร่องลึก ก้นร่องลึกเป็นเศษหินทั้งนั้น…” เขาชี้ไปทางหนึ่ง กระซิบว่า “เจ้าระวังด้วย”
นางพยักหน้า แว่วเสียงตะโกนจากในพุ่มไม้ข้างหน้า “พวกเขาอยู่ที่นั่น!”
จิ่งเหิงปัวไม่ได้เคลื่อนไหวในทันที รอจนกระทั่งคนนั้นที่อยู่หน้าสุดใกล้เห็นพวกเขา ถึงรีบคว้ามือของท่านมู่ไว้ “ไป!”
พริบตาต่อมานางโผล่มาหน้าเนินเขาแห่งหนึ่ง เสียงใบไม้ใต้ฝ่าเท้าดังกรอบแกรบ นางโซซัดโซเซ
นางเริ่มร้อนขึ้นมาแล้ว บนร่างร้อนผ่าว แต่นางหนาวจนทั่วร่างสั่นสะท้าน
ท่านมู่ยัดยาเม็ดหนึ่งเข้าไปในปากนาง แล้วเอ่ยว่า “สุดท้ายแล้วความหนาวจะแผ่ซ่านออกมา ยาได้แต่บำรุงกำลังให้เจ้า คงไม่ออกฤทธิ์อะไรมากมายชั่วคราว”
ขณะที่ร่างกายต้องปรับตัว ยาจะออกฤทธิ์จำกัด ยิ่งกว่านั้นแผ่ซ่านออกมาก็เป็นเรื่องดี ฝืนกลั้นไว้ ครั้งหน้าก็จะระเบิดออกมาร้ายแรงยิ่งกว่าเดิม นางพยักหน้าเพื่อบอกว่าเข้าใจหลักการนี้
แต่ในช่วงเวลาที่ไอหนาวกำเริบนี้ จะวิ่งหนีและฆ่าคนอย่างไร
พอนางก้มหน้าลง เห็นตรงหน้าคือเนินลาดแห่งหนึ่ง เนินเขาลาดชันมากขึ้นเรื่อยๆ มองลงไปก็คือร่องลึกสายหนึ่ง กลิ่นใบไม้เน่าเปื่อยในร่องลึกเตะจมูก ท่ามกลางใบไม้เขียวเน่า เปล่งประกายแสงขาวโพลนของกระดูกรำไร ดูท่าทางมีคนสิ้นใจในร่องลึกนี้ไม่น้อยเลย
ความรู้สึกวิงเวียนไร้เรี่ยวแรงปะทุขึ้นมา นางมึนงงจะล้มลงไปข้างล่าง กลับถูกเขาคว้าไว้ได้ทันเวลา
คราวนี้นางเพิ่งพบว่าการหายตัวของตัวเองครั้งนี้อันตรายมาก อยู่ขอบร่องลึกพอดี
ขอบร่องลึกมีหินจำนวนหนึ่ง ข้างบนมีรอยขีดข่วนบางส่วน ข้างบนร่องลึกนี้ก็ลาดเอียง คนลื่นลงไปเพราะลื่นใบไม้หรือก้าวพลาดได้ง่ายมาก ลื่นไปตลอดทางจนถึงก้นร่องลึก หินขอบร่องลึกนี้ก็คือความหวังสุดท้ายที่จะมีชีวิตรอดออกไปของเจ้าคนโชคร้ายพวกนั้น รอยข่วนบนหินชัดเจน ก็ไม่รู้ว่ามีกี่คนพลาดพลั้งอยู่ที่นี่ มีกี่คนรอดชีวิตจากที่นี่
พลไล่ล่าที่อยู่ข้างบนใกล้เข้ามา เงาขาวกะพริบวูบ
“พวกเราแสร้งก้าวพลาดได้…” นางจ้องหินก้อนนั้น ค่อยๆ กล่าวออกมาว่า “ข้าอยู่ข้างบน เจ้าอยู่ข้างล่าง…”
เขาคล้ายคาดเดาสิ่งที่นางคิดได้ พยักหน้าแผ่วเบา แต่เอ่ยว่า “น่าจะเป็นข้าอยู่ข้างบน เจ้าอยู่ข้างล่าง เจ้ามีแรงไม่พอ”
นางรู้สึกว่าบทสนทนานี้เหมือนจะไม่ถูกต้องตรงไหนสักที่? แต่ขณะนี้ก็ไม่มีกะจิตกะใจไปคิด นางสั่นเทิ้ม พยักหน้า ร้องอืมแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าอยู่ข้างบน”
“เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้?”
“อืม”
เหมือนจะยังมีตรงไหนไม่ถูกต้องอยู่…
เขาขยับตัวออกไป คว้าหินก้อนหนึ่งที่โผล่ออกมาไว้ นางเกาะร่างของเขาปีนลงไป จับข้อเท้าของเขาไว้
สองคนทำท่าทางก้าวพลาดตกร่องลึก คว้าหินผาไว้ได้ทันเวลา กำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด
คล้ายรู้ใจกันโดยกำเนิด ซ้ำยังคล้ายจิตใจเชื่อมโยงถึงกัน ตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่จำเป็นต้องปรึกษากันด้วยซ้ำ
นางลื่นลงจากแผ่นหลังของเขา ความรู้สึกที่ร่างกายร้อนผ่าวนำมาสู่ผิวกายไวต่อสัมผัส เขาถึงขนาดรู้สึกได้ว่าแผ่นหลังถูกกลุ่มที่ร้อนผ่าวและอิ่มเอิบสักกลุ่มเบียดเสียดแผ่วเบาตลอดทาง ชั่วขณะนั้นดั่งสายฟ้าไหลผ่าน เขารู้สึกว่าบนหลังก็คล้ายเกิดเพลิงไหม้ ร้อนผ่าวกระทั่งถึงในใจ อดจะสั่นสะท้านไม่ได้ แทบจะมือลื่น
นางลื่นลงไปข้างล่าง แต่รู้สึกเวียนศีรษะนิดหน่อย กอดขาของเขาไว้ถูไถเล็กๆ น้อยๆ คนป่วยความรู้สึกช้า นางไม่ได้นึกว่าท่วงท่านี้มีอะไรไม่ถูกต้อง แต่เขากลับเกร็งแน่นไปทั่วทั้งร่าง รู้สึกเพียงว่าดั่งถูกงูนิ่มหรือผ้านุ่มรัดไว้ วนเวียนอ่อนช้อย รูขุมขนทั่วร่างคล้ายกำลังขานรับร่างกายนุ่มนิ่มปานนั้น แม้กระทั่งไขกระดูกยังคล้ายจะอ่อนยวบ ขาอดที่จะสั่นเทิ้มไม่ได้ สั่นครั้งแล้วครั้งเล่า
“ขาของเจ้าทั้งยาวทั้งตรง…” ขณะนี้หญิงลามกคนนี้ยังไม่ลืมวิจารณ์รูปร่างของคนอื่น จากนั้นก็ร้อง “เอ๊ะ” กล่าวว่า “นี่ ขาของเจ้าคล้ายมีปฏิกิริยา เจ้าอาจไม่ได้อัมพาตทั้งขา! มีโอกาสรักษาได้!”
“ยามวัยเยาว์ข้าถูกพิษตรงขา” เขาเอ่ยว่า “ถอนพิษแล้ว แท้จริงแล้วอาจยืนขึ้นมาได้”
นางกอดขาของเขาไว้ ร้องอืมออกมาครั้งหนึ่ง เสียงอ่อนระโหย เขาพยายามควบคุม หวังว่าตนเองอย่าได้สั่นเทิ้มด้วยเหตุนี้ต่อไป มิฉะนั้นสิ่งที่มีปฏิกิริยาก็ไม่เพียงแค่ขาแล้ว
มือข้างนั้นของเขาที่ว่างอยู่ดีดพื้นข้างหน้าเพียงครั้ง บนพื้นมีรอยขีดข่วนสายหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ดูท่าทางคล้ายเป็นรอยที่เกิดจากบางคนลื่นตกลงไป
เสียงฝีเท้าดังอยู่ข้างบน บางคนกะพริบออกมาจากในป่า
เนื่องด้วยบทเรียนสิ้นชีพเป็นแถวใหญ่ก่อนหน้านี้ ครานี้น่ามู่เอ่อร์ไม่เคลื่อนพลกลุ่มใหญ่อีกแล้ว ตัดสินใจออกโจมตีตามลำดับ ส่งคนแต่ละกลุ่มเข้าใกล้เป้าหมาย
ลูกศิษย์ในนามสองคนที่กะพริบออกมาก่อนมีวิชาตัวเบาดีที่สุด พวกเขาพุ่งมาจากความมืดมิด เห็นรอยขีดข่วนบนพื้นก่อน ร้องดีใจว่า “คล้ายกลิ้งหล่นลงไปแล้ว!” จากนั้นเห็นบนหินขอบร่องลึกมีมือที่คว้าหินไว้แน่น
“ยังอยากร้องขอชีวิต?” ลูกศิษย์ในนามสองคนหัวเราะเยาะ กะพริบกายลอยมา ร่างอยู่กลางอากาศก็ชักกระบี่ออกมาแล้ว สะบั้นมือของท่านมู่ที่เกาะหินไว้แต่ไกล
เพื่อให้สำเร็จในครั้งเดียว กระบี่นี้ออกแรงเต็มกำลัง ร่างกระโจนเหินกลางอากาศ คิดจะพุ่งไปหยุดข้างร่องลึก
ร่างสวมอาภรณ์พลิ้วไหวกลางอากาศ เข็มขัดห้อยลง คล้ายมีกลิ่นอายแห่งเซียน
คมกระบี่ใกล้ถึงมือ เหล่าลูกศิษย์แสยะยิ้ม รอให้ข้อมือขาดสะบั้น สองคนร้องโหยหวนร่วงลงไป
พวกเขาพลันรู้สึกว่าตรงเข็มขัดนั้นราวกับถูกคนกระชากอย่างแรง
ควบคุมร่างกายกลางอากาศได้ยาก การกระชากครั้งนี้ พวกเขาพลันลอยไปข้างหน้าอีกสามฉื่อ
สามฉื่อข้ามร่องลึก
ฟิ้ว! พวกเขาลอยข้ามศีรษะท่านมู่ คมกระบี่เฉียดบนหิน สะเก็ดไฟสาดกระเซ็น
จิ่งเหิงปัวเงยหน้า หัวเราะฮ่าๆ ด้วยเสียงแหบพร่า “เหาะได้สวยจริงๆ เลย!”
“ช่วยด้วย…” ยังไม่ทันสิ้นเสียง ข้างล่างมีเสียงพลั่กๆ ดังลั่น ใบไม้เน่าเปื่อยบางส่วนกระเด็นขึ้นกลางอากาศ
ไม่มีแม้แต่เสียงร้องโหยหวน ใต้ใบไม้ก้นร่องลึกล้วนเป็นเศษหินจริงด้วย สองคนสิ้นชีพโดยพลัน
จิ่งเหิงปัวหัวเราะเหอะๆ
“เจ้าเหนื่อยหรือไม่” นางเงยหน้าถามท่านมู่
มือเดียวห้อยสองคน ค้ำยันได้ไม่นาน
“ชู่ มาแล้ว!”
อีกสองคนพุ่งออกมา พวกเขาได้ยินเสียงผิดปกติก่อนหน้านี้แล้ว ไม่ยอมเหาะเข้าใกล้อีกต่อไป
พวกเขาก้าวพรวดพุ่งเข้าใกล้ เหยียบบนหินก้อนหนึ่งบริเวณนี้ ชูกระบี่แล้วสะบั้น
ก้อนหินรวมทั้งดินรอบข้างพลันพังทลาย พวกเขาลื่นพรวดลงไป รีบแกว่งกระบี่หวังตรึงพื้นดินไว้ให้ลื่นไหลช้าลง
ทว่ากระบี่พลันลอยขึ้นมา เวลานี้สองคนอยากทะยานขึ้นฟ้าอีกครั้งก็ไม่ทันแล้ว ร้องโหยหวนตลอดทางกระทั่งถึงก้นร่องลึก ได้ยินเสียง พลั่ก! รำไร น่าจะกระแทกหินข้างล่าง
ร่องเอียงและลึก แรงปะทะมหาศาล หากไม่ตายก็ต้องพิการ
เสียงร้องโหยหวนของสองคนนี้ยังไม่ทันสิ้น ข้างบนก็มีคนพุ่งมาอีกครั้ง แม้ไม่ได้เห็นจุดจบของสองกลุ่มก่อนหน้า แต่แน่ใจได้ว่าน่าจะเลวร้าย ครานี้คนเหล่านี้ไม่พุ่งไปใกล้เสียเลย ยืนเรียงแถวอยู่ไกลๆ สองคนข้างหลังค้ำกลางหลังคนข้างหน้าไว้ คนข้างหน้ากวัดแกว่งกระบี่ยาว เปลี่ยนอากาศเป็นน้ำแข็ง กระบี่น้ำแข็งสว่างจ้าสายหนึ่งคดเคี้ยวออกมาจากปลายกระบี่ ดั่งมังกรหิมะ มุ่งสู่ศีรษะท่านมู่
นี่คือวิชาร่วมแรงบังคับกระบี่ของนิกายสวรรค์ ลูกศิษย์ในนามที่ฝีมือไม่พอร่วมแรงกันทำให้ปลายกระบี่เกิดกระบี่น้ำแข็งยื่นออกไป มุ่งสู่ข้างกายศัตรูตามใจนึกได้ ใช้สำหรับสังหารระยะไกลโดยเฉพาะ
จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงแหลมคมทะลุฟ้าดังอยู่ข้างบน ถามอย่างกังวลนิดหน่อยว่า “เป็นอย่างไรบ้าง?”
ท่านมู่ไม่ตอบ
แววตาเขาทั้งลึกล้ำทั้งมืดมิดในชั่วพริบตา ข้ามผ่านหลายคนตรงหน้า มองไปทางส่วนลึกของป่าหนาทึบ ตรงนั้น เงาร่างของน่ามู่เอ่อร์เป็นเงาตะคุ่ม
เขาคล้ายกำลังใคร่ครวญ ตัดสินใจอะไรอยู่