เมื่อมาถึงบนเขา หยางจิ่งกับเซี่ยหย่งล้วนรออยู่แล้ว
แม้คุณหนูจวินตัดสินใจพาคนกลับมาเองแล้ว ทหารยามก็แจ้งกับทุกคนแล้วว่ามีคนนอกเข้ามาในหมู่บ้าน แต่เรื่องที่ควรอธิบายก็ยังคงต้องอธิบายสักหน่อย
“พวกเจ้าคุยกันไป” เซียวจือเอ่ยขึ้นพลางกวักมือให้หลิ่วเอ๋อร์กับแม่ครัว “ข้าวของเอามาฝั่งนี้เถอะ”
นางพาหลิ่วเอ๋อร์ แม่ครัวกับจ้าวฮั่นชิงเข้าไปในอีกห้องหนึ่ง
“ฮั่นชิงเล่าเรื่องตอนนั้นให้พวกเราฟังแล้ว” เซี่ยหย่งเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้น “นายหญิงคนนี้ต้องการไปที่ใด?”
“พวกเขาต้องการไปเมืองต้าหมิง” คุณหนูจวินเอ่ย
เมืองต้าหมิงของมณฑลเหอเป่ยซี วันนี้กองทัพใหญ่ของชาวจินหลักๆ รวมตัวอยู่ที่อำเภอปั๋วเหยี่ย เมืองเหอจิน มณฑลเหอเป่ยซีคุมเชิงอยู่กับเฉิงกั๋วกง
สถานการณคับขันที่เมืองไคเต๋อคลี่คลายแล้ว และเพราะฮ่องเต้ได้รับความตระหนก กองทหารอันลี่รวมถึงกองทหารก่วงจี่ล้วนเสริมทัพประจำการเฝ้าอยู่ที่แนวเส้นเมืองต้าหมิงแล้ว
ดังนั้นสำหรับมณฑลเหอเป่ยทั้งหมดแล้ว เมืองต้าหมิงเป็นเมืองที่มั่นคงที่สุดของฝั่งนี้
คนมากมายล้วนมุ่งไปที่นั่น
จุดมุ่งหมายของคณะเดินทางของผู้หญิงคนนี้เป็นเมืองต้าหมิงไม่แปลกอะไร
“พวกผู้คุ้มกันของข้าฝึกกับอาเซี่ยได้ไม่เลวแล้ว ข้าจะพาพวกเขาไปสักเที่ยว” คุณหนูจวินเอ่ย
เซี่ยหย่งสีหน้าปั้นยาก เขาย่อมฟังเข้าใจความหมายของนาง เรื่องที่นางตกลงเองย่อมไม่รบกวนพวกเขา
“เส้นทางช่วงนี้ข้าคุ้นเคยมากอยู่ พวกท่านวางใจ อย่างช้าที่สุดวันที่สิบห้าเดือนหนึ่งข้าก็เดินทางกลับถึงบ้านได้” นางยิ้มแล้วเอ่ยต่อ
แม้ที่ผ่านมาไม่เคยเดินทางไป แต่นางเดินผ่านในใจตามแผนที่หลายรอบแล้ว แผนที่นั่นละเอียดจนถึงขั้นหมู่บ้านชนบทก็ทำเครื่องหมายไว้
พอดีนางจะได้พิสูจน์ว่าแผนที่นี่เที่ยงตรงปานใด
กลับบ้าน
เซี่ยหย่งอดไม่ได้มองหยางจิ่งทีหนึ่ง
“ปีหน้าเริ่มฤดูใบไม้ผลิยังต้องซื้อวัวไว้ไถนาจำนวนหนึ่งอีก” หยางจิ่งพลันเอ่ยขึ้น “ได้ยินว่าตอนนี้ข้างนอกอะไรๆ ก็ล้วนขึ้นราคา”
เซี่ยหย่งเข้าใจทันที
“ไม่ทราบว่าคุณหนูจวินขาดคนหรือไม่?” เขาทำหน้าจริงจังเอ่ย “พวกเราติดตามไปสักเที่ยว คุณหนูจวินให้เงินได้เท่าไร?”
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว ในดวงตาขัดเขืองอยู่บ้าง
ครอบครัว พวกเขานับนางเป็นครอบครัว
เป็นครอบครัวจะยอมให้นางเสี่ยงอันตรายคนเดียวได้อย่างไร
“ค่าตอบแทนรึ ข้าได้มาห้าหมื่นตำลึงเงิน อย่างไรก็ต้องแบ่งให้ทุกคนสองหมื่นตำลึง” นางยิ้มเอ่ยแล้วกระพริบตาท่าทางซุกซน
“แม้หลักๆ เป็นทุกคนออกแรง แต่ข้ายังต้องได้ส่วนใหญ่ อย่างไรข้าก็ออกตรงนี้”
นางยื่นนิ้วมือชี้ศีรษะของตนเองแล้วสีหน้าก็ค่อยๆ จริงจังอีกครั้ง
“ข้ารับประกัน ข้าพาทุกคนไปก็จะพาทุกคนกลับมา”
สิ้นเสียงคำพูดของนาง สีหน้าของเซี่ยหย่งกับหยางจิ่งที่มองนางอยู่ก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
ส่วนเซียวจือที่อยู่ด้านในพลันยกมือปิดปาก หยุดพูดไป
แม่ครัวที่กำลังฟังนางอยู่ว่าจะให้ตัดผ้าชินนี้เป็นอย่างไรจึงมองนางอย่างไม่เข้าใจ จ้าวฮั่นชิงที่นั่งกินลูกชิ้นทอดอยู่ด้านข้างก็มองมาด้วย
“ท่านแม่ เป็นอะไรเจ้าคะ?” นางเอ่ยถาม
เซียวจือไอเบาๆ ทีหนึ่ง
“อยู่ดีๆ ก็เจ็บคอ” นางเอ่ยพลางหมุนตัวหยิบกาน้ำด้านข้างรินน้ำถ้วยหนึ่ง
จ้าวฮั่นชิงไม่คิดอะไรแล้วเดินตามมา
“ข้าดื่มด้วย” นางเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์เบะปาก
“กินลูกชิ้นมากปานนั้น ไม่กระหายน้ำถึงแปลก” นางเอ่ยพึมพำ
“เจ้าก็ไม่ได้กินน้อยนี่” จ้าวฮั่นชิงเอ่ยอย่างไม่เกรงใจ
เซียวจือยิ้ม รินน้ำให้จ้าวฮั่นชิงแล้วกวักมือให้หลิ่วเอ๋อร์
“หลิ่วเอ๋อร์ก็มาดื่มสักถ้วยสิ” นางเอ่ย
หลิ่วเอ๋อร์เดินเข้ามาด้วยทันที เซียวจือมองดูเด็กสาวสองนางดื่มน้ำ ตนเองถึงยกถ้วยชาดื่มทีละจิบๆ ช้าๆ ชาภูเขาขมนิดๆ ไหลผ่านปากลิ้นไป
หูฟังคำพูดของเด็กสาวคนนั้นด้านนอก
“…เลือกคนท่านอาหยาง ท่านอาเซี่ย พวกท่านจัดการ ไม่ต้องแบ่งแยกคนของข้าหรือคนของพวกท่าน ใครเหมาะสม ใครมีความสามารถพอ พวกท่านก็เลือกคนนั้น”
“อืมอีกอย่าง แม้ให้พวกนางเข้ามาอยู่ ตัวตนของพวกเรายังไงก็ไม่ต้องเปิดเผย”
“นี่ง่ายดายยิ่ง พอดีกำลังจะปีใหม่แล้ว ทุกคนคงเริ่มวุ่นกับงานปีใหม่” เซี่ยหย่งเอ่ย
วุ่นกับงานปีใหม่หรือ
ใช่สิ เดือนสิบสองแล้ว จะผ่านไปอีกหนึ่งปีแล้ว เร็วจริงๆ นะ
“ก็ดี ก่อนเดินทาง จัดการเรื่องในบ้านให้เรียบร้อย” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย
……………………………………….
เสียงหมูร้องอู้ดอู้ดเปลี่ยนกลายเป็นเสียงกรีดร้องเมื่อมีดเล่มหนึ่งทิ่มเข้าไป
เสียงกรีดร้องของหมูเดิมทีก็น่ากลัวปานนั้น
ผู้คนที่ล้อมรอบด้านร้องประสานเสียงถอยไปข้างหลังคล้ายถูกทำให้ตกใจอย่างมาก
มองเห็นในหมู่ผู้คนที่สีหน้าตกใจกลัวหลบเลี่ยงถอยหลังนี่ยังมีบุรุษหน้าคุ้นสองสามคนอยู่ด้วย เหลียงเฉิงต้งที่ยืนอยู่ด้านข้างพลันหางคิ้วกระตุก
กลัวการฆ่าหมู? ฆ่าหมูนี่อย่างไรก็ไม่ร้ายกาจกว่าฆ่าคนกระมัง? วันนั้นฆ่าล้างบางคนเหล่านั้นไม่เห็นพวกเจ้ากลัวเลย
เสียงกรีดร้องของหมูค่อยๆ เบาลง อ่างรองเลือดค่อยๆ เติมเต็ม
แผ่นไม้ถูกเอามาวาง มีดเลาะหนังถูกลับจนวาววับ รอแค่เลือดหมูไหลหมด
“ดูฆ่าหมูแล้ว ดูฆ่าหมูแล้ว”
เด็กน้อยทั้งหลายชูขนมงาที่เพิ่งทำออกมาใหม่วิ่งรี่หัวเราะโวยวายล้อมเข้ามา
“พี่เฉิงต้ง ท่านยังดูการฆ่าหมูอีกหรือ?”
มีคนเอ่ยขึ้นด้านหลัง
เหลียงเฉิงต้งหันกลับไปมองพี่น้องสองคนของตนเดินเข้ามา
“ด้านนั้นทำเต้าหู้แหนะ” คนหนึ่งหน้าตาเริงร่าเอ่ย “น้ำเต้าหู้ต้มเสร็จแล้วคนมากมายรอดื่มอยู่”
“ข้าไม่ได้เห็นเต้าหู้มาหลายปีแล้ว” ส่วนอีกคนท่าทางปลงๆ “ตั้งแต่หลังข้าออกจากหมู่บ้าน ตอนนี้เห็นอีกทีรู้สึกอบอุ่นจริงๆ เหมือนหมู่บ้านของข้าเลย”
หมู่บ้าน…
คนเหล่านี้ก็ไม่ใช่ชาวบ้านจริงๆ สักหน่อย
เหลียงเฉิงต้งหางคิ้วขมวดเป็นปม ที่น่ากลัวที่สุดคือพวกเขาเป็นชาวบ้านได้อย่างสมบูรณ์แบบ หาช่องโหว่ไม่ได้สักนิด
แสร้งเป็นชาวบ้านแสร้งได้ช่วงเวลาหนึ่ง แต่แสร้งจนเป็นเช่นนี้มีแต่คิดว่าตนเองเป็นชาวบ้านจริงๆ อย่างสิ้นเชิงถึงทำได้ ทว่านาทีถัดมาพวกเขาก็ยกมือลงดาบสังหารคนได้ตาไม่กระพริบเช่นกัน
นี่น่ากลัวอย่างประหลาดจริงๆ
“นายหญิงเล่า?” เขาเอ่ยถาม “เซียวชวนเล่า?”
“กำลังทำขมมเข่งอยู่ในเรือนของคุณหนูคนนั้น” บุรุษคนหนึ่งรีบร้อนยื่นมือชี้บอก “นายหญิงให้เซียวชวนอยู่ช่วย”
เทียบกับสถานที่ฆ่าหมูกับทำเต้าหู้ที่ผู้ชายรวมตัวกันอยู่ สถานที่ทำขนมเข่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง เสียงคุยเล่นหัวเราะไม่ขาดเจี๊ยวจ๊าวอย่างยิ่ง
“นายหญิงลองชิม”
คุณหนูจวินถือขนมแข่งเพิ่งออกจากหม้อที่ตัดเสร็จแล้วชิ้นหนึ่งเดินเข้ามาจากนั้นอมยิ้มเอ่ย
สตรีผู้นั้นนั่งอาบแดดอยู่ตรงประตู เท้าวางอยู่บนม้านั่งตัวน้อย อบอุ่นสบายอุรา
“ข้าเคยเห็นการทำขนมเข่งก็ตอนยังเล็ก” นางยิ้มเอ่ยพลางยื่นมือหยิบชิ้นน้อยชิ้นหนึ่งไป
“ระวังร้อน” คุณหนูจวินเอ่ยแล้วนั่งลงข้างนาง
นางจับขนมเข่งสลับมือไปมาจากนั้นวางเข้าปาก
“ข้าตรงกันข้ามกับนายหญิง ตอนยังเล็กไม่เคยเห็น โตขึ้นมาเพิ่งเคยเห็น” คุณหนูจวินเอ่ยแล้วมองพวกผู้หญิงที่ยุ่งวุ่นวายพลางคุยเล่นหัวเราะกันอยู่
แน่นอนได้เห็นครั้งติดตามอาจารย์ จุดประสงค์ที่ดูแน่นอนย่อมเพื่อกิน เพียงแต่เวลานั้นนางทั้งไม่รู้สึกว่าขนมเข่งน่าสนใจแล้วก็ไม่รู้สึกว่าของสิ่งนี้น่ากิน
“เด็กน้อยชีวิตจืดชืดที่น่าสงสาร” อาจารย์ส่งเสียงจิ๊ปากถอนหายใจใส่นาง
ใช่สิ ตอนนั้นนางคิดถึงเพียงจะร่ำเรียนจนได้ความสามารถไปช่วยพระบิดาให้เร็วหน่อยได้อย่างไร ไม่มีความคิดอื่นใด จืดชืดยิ่ง แต่ตอนนี้นึกดูยามอาจารย์มองดูชาวบ้านทั้งหลายฆ่าหมูแพะทำเต้าหู้ทำขนมเข่ง ในใจต้องมีหลากหลายรสชาติแน่นอน
ยามเทศกาลคนจะคิดถึงครอบครัวเป็นเท่าตัว
“ครอบครัวของท่านอยู่ที่เมืองต้าหมิงหรือ?” คุณหนูจวินพลันหันมาเอ่ยถาม
ตั้งแต่เมื่อวานซืนจนถึงตอนนี้พวกนางเคยพูดคุยกันสั้นๆ เท่านั้น เรื่องที่พูดคุยล้วนไม่เกี่ยวข้องกับครอบครัวที่มาส่วนตัวเลย
เด็กสาวคนนี้ไม่ใช่คนที่ถามเลียบๆ เคียงๆ ทำนองนั้น นางถามเช่นนี้ก็คือแค่คิดถึงประเด็นนี้ หรือก็คือคิดถึงครอบครัวของนางสินะ
นางยิ้มแล้ว
“ไม่ใช่” นางเอ่ย “ครอบครัวของข้าตอนนี้ล้วนไม่ได้อยู่ด้วยกัน”
คุณหนูจวินประหลาดใจอยู่บ้างมองไปหานาง
“ครอบครัวของท่านก็ไม่ได้อยู่ด้วยกันหรือ?” นางเอ่ย
นางแย้มยิ้ม “ก็” คำนี้ท่ามกลางความครึกครื้นของเทศกาลช่วงนี้ฟังดูแล้วเหงาหงอยอยู่บ้าง
“อยู่ด้วยกันหรือไม่ก็ไม่เป็นไร” นางเอ่ย “ขอบฟ้าดั่งเรือนเคียง หาต้องเคียงใกล้ทุกวันคืน”
บทกวีที่ต่างกันสองวรรคนี้ใช้ด้วยกัน แล้วยังใช้ในเวลานี้กลับน่าสนใจ
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
ใช่แล้ว ล้วนยังมีชีวิตอยู่ แม้ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ไกลกันอีกเท่าใดก็พบกันได้ ดีกว่าแยกจากคนละภพ
“นายหญิงมีนามอันสูงส่งว่าอันใด?” นางคิดครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น
ตามหลักแล้วคนแรกพบหน้าก็ควรถามชื่อแซ่ แต่เด็กสาวคนนี้ตลอดมาไม่เอ่ยถาม นี่บอกได้ว่านางไม่คิดจะสืบถามตัวตนความเป็นมาแล้วก็บอกได้ว่านางไม่สนใจชื่อแซ่ของผู้อื่น
พานพบโดยบังเอิญ ไปมาแล้วแต่วาสนา มาไม่ถาม ไปไม่คิดถึง
ตอนนี้ฉับพลันถามเช่นนี้ คงบ่งบอกว่านางอยากรู้จักคนผู้นี้แล้ว
ความจริงใจประหนึ่งเด็กน้อยนี้ก็คล้ายกับความทะนงที่ฝังมาในกระดูกตั้งแต่เกิดด้วย
ผู้หญิงมองคุณหนูจวินยิ้มๆ
“ไม่อาจเรียกว่าสูงส่ง แซ่อวี้” นางเอ่ย “ชื่อคำเดียวหลัน”
กระทั่งชื่อก็บอกแล้วรึ คุณหนูจวินยิ้ม
“นายหญิงอวี้” นางเอ่ย “ข้าแซ่จวิน ชื่อ…”
พูดยังไม่ทันจบ เสียงตะโกนแหลมร้อนรนอยู่บ้างก็ขัดขึ้นมา
“คุณหนูจวิน!”
คุณหนูจวินเงยหน้าขึ้น มองเห็นผู้ดูแลใหญ่เต๋อเซิ่งชางเดินก้าวไวๆ เข้ามา
บนหน้าเขาแดงเล็กน้อยบนศีรษะก็มีเหงื่อผุดพรายออกมา นี่อาจเป็นด้วยหน้าหนาวเร่งรีบเดินทางมาหรืออาจเป็นความเคร่งเครียด
ไม่ว่าเร่งรีบเดินทางมาหรือเคร่งเครียดล้วนบ่งบอกว่ามีเรื่องไม่ดีแล้ว