เสียงด่ากะทันหันนี้ทำให้บัณฑิตและนักเรียนอึ้ง แต่ก็ไม่ได้ทำให้พวกเขากลัว
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?”
“พวกเจ้าเป็นใคร?”
เหล่าบัณฑิตและนักเรียนตะเบ็งเสียงตะโกนถาม
ต่อหน้าฝูงชนที่แห่แหนมานี้ แม้สีหน้าซีดขาว พวกเขาก็ยังคงรักษาท่าทางที่ควรมีไว้ ยืนหยัดไม่ถอย
“พวกเราเป็นใคร?”
ชาวบ้านคนหนึ่งที่นำอยู่ข้างหน้าตะโกน ในดวงตาของเขามีความโกรธแค้น ยื่นมือชี้ไปหลังร่าง
เบื้องหลังร่างเขาคือกองทัพของเฉิงกั๋วกง เหล่านายทหารที่ออกจากค่ายใหญ่มาก็พบเรื่องราวไม่คาดคิดมากมายเกินไปจนสีหน้าสับสนมึนงง
“พวกเราก็คือความผิดของเฉิงกั๋วกงที่พวกเจ้าพูดไง!”
นี่หมายความว่าอย่างไร?
“เฉิงกั๋วกงไม่เชื่อฟังบัญชาฮ่องเต้ ละโมบความชอบบุ่มบ่ามบุกจนทหารหลายหมื่นจบชีวิตก็เพื่อพวกเรา”
“เฉิงกั๋วกงจิตใจเจ้าเล่ห์ แก่งแย่งยึดติดอำนาจ ทำลายการเจรจาสงบศึกก็เพื่อพวกเรา”
“เฉิงกั๋วกงชื่นชอบศึกกระหายสงครามจนอาวุธไม่ได้วาง สิ้นเปลืองท้องพระคลัง ลำบากประชาชนสูญเสียทรัพย์ก็เพื่อพวกเรา”
“เฉิงกั๋วกงกำเริบเสิบสานหลงระเริง เรียกร้องรางวัลต้องการชื่อเสียงก็เพื่อพวกเรา”
“พวกเราก็คือคนผิดที่ทำให้เฉิงกั๋วกงจูซานกลายเป็oขุนนางล่มชาติ”
พูดถึงตรงนี้เขาพลันก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง แม้เสื้อผ้าขาดวิ่นผมเผ้ายุ่งเหยิงใบหน้ามอมแมมไม่มีความน่าเกรงขามสักนิด กลับทำให้บัณฑิตตรงหน้าอดไม่ได้ถอยหลังเองก้าวหนึ่ง
“พวกเจ้าถามหาความผิดของเฉิงกั๋วกง ก็ถามหาความผิดของพวกเราก่อนเถอะ!”
พร้อมกับที่สิ้นเสียงเขา รอบด้านเสียงประกาศก้องฟ้าก็ดังขึ้น
“จะถามความผิดของเฉิงกั๋วกง ถามพวกเราก่อน!”
ประหนึ่งสายลมโหมคลื่นถาโถมกลางมหาสมุทร บัณฑิต ชาวบ้านและทหารที่ถูกล้อมอดไม่ได้กายใจสั่นคลอน
บัณฑิตและนักเรียนที่เผชิญหน้ากับเกราะเหล็ก อาวุธคลุ้งคาวเลือด ทหารหาญแม่ทัพกลายังไม่หวาดกลัวถอยหนีสักครึ่งก้าว ท่ามกลางเสียงตะโกนของชาวบ้านตาดำๆ ซูบผอมหน้าเหลืองกลุ่มนี้กลับอดไม่ได้ถอยหลังก้าวหนึ่ง
“พวกเจ้าที่แท้เป็นใครกันแน่?” บัณฑิตเอ่ยถาม
คำพูดประโยคนี้ทำให้เสียงตะโกนโหวกเหวกรอบด้านดังขึ้นอีกครั้ง
“ข้าเป็นคนเป่าโจว”
“คนป้าโจว”
“คนสยงโจว”
เสียงตะโกนวุ่นวายนับไม่ถ้วนก้องกังวาน แต่ดังขึ้นในหูคนทุกคนชัดเจน
“พวกเราคือผู้อพยพแดนเหนือ”
ผู้อพยพแดนเหนือ
คนที่เรียกว่าผู้อพยพย่อมหมายถึงผู้ที่ร่อนเร่เสียบ้าน
ตั้งแต่แดนเหนือกับชาวจินเปิดศึกเป็นต้นมา คนเช่นนี้มากมายนัก เมืองหลวงตอนนี้ขอทานค่อนครึ่งก็คือผู้อพยพที่มาจากแดนเหนือ ตัวตนเช่นนี้ทุกคนล้วนเข้าใจ
“ไม่ พวกเจ้าไม่เข้าใจสักนิด” ผู้เฒ่าอายุมากสำเนียงป้าโจวคนหนึ่งเอ่ยขึ้นเสียงสั่น “พวกเจ้ารู้จักเพียงร่อนเร่เสียบ้านสี่คำ กลับไม่รู้ว่าสี่คำนี้หมายความว่าอะไร!”
“หมายความว่าไม่มีบ้านแล้ว หมายความว่ากินไม่อิ่มไร้เสื้อผ้าอุ่นกาย ทั้งวันหวาดหวั่นไม่ได้สงบ!”
สายตาผู้เฒ่ากวาดผ่านชาวบ้านตรงหน้า
“สบายอกสบายใจมาดูเรื่องสนุกอย่างพวกเจ้าเช่นนี้ พวกเราไม่มีวันมีอีกแล้ว”
“ที่โหดร้ายยิ่งกว่าคือทุกสิ่งเกิดขึ้นในเวลาพริบตาเดียวชั่วข้ามคืน!”
คำพูดนี้ฉุดความเจ็บปวดโศกเศร้าของบรรดาผู้อพยพแดนเหนือในที่นั้นขึ้นมา
“พวกเราเคยมีชีวิตอยู่ดีเฉกเช่นพวกเจ้า”
“โจรจินบอกจะบุกก็บุกมา”
“ทุกสิ่งทุกกอย่างบอกว่าไม่เหลือปุบก็ไม่เหลือแล้ว”
ฟังคำบอกเล่าปนสะอื้นของคนนับไม่ถ้วน ชาวบ้านที่นั่นก็อดไม่ได้ในใจสลด
ส่วนนายทหารที่ทำหน้าที่อยู่รวมถึงเหล่าบัณฑิตและนักเรียนความมหวาดผวาก็ผ่อนลงอยู่บ้าง พูดให้ถึงที่สุดนี่ก็เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาที่สูญเสียบ้านต้องร่อนเร่กลุ่มหนึ่งเท่านั้น
“นี่ก็คือสงคราม ทุกข์ของประชาชน” บัณฑิตคนหนึ่งเอ่ยขึ้น มองประชาชนเหล่านี้ก้าวเข้าไปก้าวหนึ่ง “ดังนั้นนี่ล้วนเป็นความผิดของเฉิงกั๋วกงผู้ชื่นชออบสงคราม…”
คำพูดเขายังเอ่ยไม่ทันจบก็ถูกชาวบ้านที่ก้าวเข้ามาถ่มน้ำลายใส่คำหนึ่งตรงเข้าใส่หน้า
“พูดเพ้อเจ้ออะไร!”
นี่เป็นหญิงชราผู้ไม่มีฟันคนหนึ่ง ในมือกำไม้เท้าด้ามหนึ่งสำเนียงจัดมาก
“หากไม่ใช่เฉิงกั๋วกงนำทหารมาสู้รบปกป้อง พวกเราก็ตายเกลี้ยงกันไปนานแล้ว ชีวิตสงบสุขวันหนึ่งก็ไม่ได้มี เจ้าคนหนุ่มคนนี้ดูแล้วหน้าตาฉลาด ทำไมพูดจาเลอะเทะฮึ?”
“ใช่แล้ว พูดจาเหลวไหลจริง””
“หากไม่ใช่เฉิงกั๋วกงนำทหารหาญเหล่านี้สู้รบกับชาวจิน ไหนเลยยังมีชีวิตสงบสุขให้พวกเราใช้”
“พวกเจ้ามีชีวิตสงบสุขนานเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าได้มาอย่างไรแล้วสิ”
“ถึงกับเอ่ยถ้อยคำไร้สำนึกพรรค์นี้ออกมาได้”
“เจ้าคิดว่าชีวิตสงบสุขที่พวกเจ้าได้มายืนชมเรื่องสนุกที่นี่ตอนนี้ลมพัดมาให้หรือ?”
“นั่นล้วนได้มาเพราะนายทหารแม่ทัพเท่าไรขวางโจรชั่วแทนพวกเจ้า คนเท่าไรตายไปถึงแลกมาได้”
เสียงนับไม่ถ้วนสาดเข้ามาอย่างโกรธเกรี้ยววุ่นวาย ไม่เพียงทำให้บัณฑิตที่เอ่ยวาจาก่อนหน้านี้ไม่กล้าเอ่ยคำอีก คนอื่นก็ล้วนหวาดกลัวถอยหลังเช่นกัน
พวกเขาถอย คนฝั่งนี้พลันรุกคืบ
“พวกเจ้ารู้ว่าสิ่งใดคือสงครามไหม?”
“พวกเจ้าเคยเห็นทหารแม่ทัพหลายร้อยคนออกไป มีเพียงคนสองคนกลับมากับตาไหม?”
“พวกเจ้าเคยเห็นดาบหอกของโจรจินไหม? หนึ่งดาบตวัดลงฟันร่างขาดไปครึ่ง”
พวกเขาตะโกนอย่างโกรธแค้น บางคนวิ่งตรงไปเบื้องหน้านายทหารคนหนึ่งที่ใกล้ที่สุด
“น้องชายถอดชุดเกราะของเจ้าให้พวกเขาดูสิ”
นายทหารที่ถูกตะโกนเรียกกะทันหันคนนี้อึ้งอยู่บ้าง
ความจริงแล้วตั้งแต่ถูกล้อมตะโกนถามโจมตีพวกเขาก็อึ้งทำสิ่งใดไม่ถูกแล้ว
“กองเกราะแถวหนึ่ง ถอดเกราะ ถอดชุด” เสียงสตรีกระจ่างกังวานเสียงหนึ่งดังออกมาจากในกองทัพ
แม้ยังมีความอึ้งงันอยู่บ้าง แต่ได้ยินเสียงนี้พวกเขาก็ลงจากม้าอย่างไม่ลังเลทันที ชุดเกราะดังเคร้งคร้างพักหนึ่งก็ถูกถอดออก นายทหารสิบกว่าคนยืนอยู่เบื้องหน้าผู้คนแลดูผอมแห้งอยู่บ้าง
พวกเขายังไม่หยุดและไม่สนใจว่าในหมู่คนตรงนั้นยังมีสาวน้อยสาวใหญ่อยู่ สองสามทีก็ถอดเสื้อตัวนอกออกเผยท่อนบนเปลือยเปล่า
การเคลื่อนไหวชุดนี้เร็วเกินไป คนที่ตะโกนถ้อยคำหวิดจะตอบสนองไม่ทัน
“พวกเจ้าดูพวกเขาสิ…” เขาได้สติกลับมาก็เอ่ย ชี้นายทหารเหล่านี้ ตนเองก็มองไปด้วย ฉับพลันถ้อยคำก็หยุดลง สีหน้าไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
เพราะคำพูดของเขา ทุกคนจึงล้วนมองมาด้านนี้ มองเห็นนายทหารที่ไม่มีชุดเกราะและอาภรณ์ปกปิดขับเสริมเหล่านั้น ความน่าเกรงขามลดเลือน รูปร่างถึงกับยังกำยำสู้นายทหารองครักษ์ที่ทำหน้าที่อยู่ที่นี่ไม่ได้
แต่ที่ผู้คนยิ่งสีหน้าประหลาดใจไม่ใช่เพราะเรื่องนี้ แต่เพราะแผลเป็นพาดขวางสลับเป็นลายพร้อยบนร่างพวกเขา
สิบกว่าคน สูงเตี้ยอ้วนผอมอายุไม่เท่ากัน แต่สิ่งที่เหมือนกันคือล้วนเต็มไปด้วยรอยแผล มีแผลดาบแผลธนู แผลใหม่แผลเก่า มีตื้นมีลึก ไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าคนผู้หนึ่งจะมีรอยแผลได้มากเช่นนี้ได้ แผลมากมายปานนี้ยังมีชีวิตอยู่อีก
เสียงเอะอะรอบด้านหยุดลง
“พวกเขาบาดเจ็บมากมายปานนี้..” บุรุษที่ยืนอยู่ข้างกายนายทหารคนนั้นในที่สุดก็อ้าปากอีกครั้ง สีหน้าหลากหลายอารณ์ “ข้าก็คิดไม่ถึง”
เขาคิดจริงๆ ว่าคนที่เป็นทหารโดยเฉพาะทหารของแดนเหนือเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะมีแผล ดังนั้นจึงอยากขอนายทหารคนนี้ให้ถอดเกราะออกให้ทุกคนได้ลองดูว่ามีแผลหรือไม่
เขาคิดไม่ถึงว่ามีแผลมากมายปานนี้จริงๆ แล้วก็คิดไม่ถึงว่านายทหารสิบกว่าคนนี้ล้วนเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นทหารเหล่านี้…
สายตาของเขามองไปในกองทัพ
ผู้คนก็ล้วนคิดจุดนี้ได้ สายตามองตามไปเช่นกัน
นายทหารคนอื่นในกองทัพล้วนสวมเกราะอยู่บนร่าง บนร่างที่แลดูน่าเกรงขามแข็งแกร่งนั่น ผ่านคมหอกห่าธนูมาเท่าไร เกลือกกลิ้งอยู่ที่ประตูผีมากี่หน?
“บอกว่าพวกเขาละโมบความชอบ บอกว่าพวกเขาชื่นชอบสงคราม ใครไม่ใช่คนบ้าง?” เสียงตะโกนของบุรุษฉับพลันดังขึ้น ชี้นายทหารเหล่านี้ มองชาวบ้านและเหล่าบัณฑิตนักเรียนอย่างโกรธแค้น “พวกเจ้าลองไปละโมบสิ!”
เสียงตำหนิรอบด้านดังขึ้นอีกครั้ง
บัณฑิตนักเรียนและชาวบ้านถอยหลังก้าวหนึ่ง
“เจรจาสงบศึกเร็วหน่อยก็ไม่ต้องเป็นเช่นนี้ ไม่ทำสงครามแล้วไม่ใช่ก็ดีแล้วรึ” ไม่ทราบคนไหนไม่ยอมแพ้โพล่งออกมาคำหนึ่ง
คำพูดนี้ไม่อาจโต้ผู้อพยพแดนเหนือได้ ตรงกันข้ามกลับชักนำเสียงถ่มน้ำลายมาอีกแถบหนึ่ง
“เจรจาสงบศึกเร็วหน่อย? พวกเจ้ารู้ไหมว่าการเจรจาสงบศึกนี่ได้มายังไง? มันไม่ใช่ลมพัดมานะ! มันทำสงครามถึงได้มา!”
“หากไม่ใช่เฉิงกั๋วกงข่มขวัญโจรจิน หากไม่ใช่เหล่าทหารกล้าอาบเลือดสู้สงครามโจมตีโจรจินล่าถอยไม่กล้าบุก พวกเขาเป็นบ้าถึงจะเป็นฝ่ายขอเจรจาสงบศึก!”
“พวกเขาไม่เพียงไม่มีทางเจรจาสงบศึก ตรงกันข้ามจะขี่อาชาลงใต้กำเริบเสิบสาน!”
“พวกเจ้าคนเมืองหลวงโง่กันหมดแล้วรึ? เหตุผลนี่ก็ไม่รู้?”
ได้ฟังเสียงด่ามืดฟ้ามัวดินนี้ประชาชนเมืองหลวงพลันหน้าแดง นอกจากความหวาดกลัว ที่มากยิ่งกว่าคือความอับอาย
ใช่แล้ว เหตุผลนี่จะไม่เข้าใจได้อย่างไร? ทำไมลืมไปได้ว่าใครเฝ้าปกป้องชายแดนสิบปีนี้ถึงทำให้พวกเขาได้ความสงบสุขมั่นคงสิบกว่าปีนี้มา
ไม่เช่นนั้นพวกเขาก็คงเหมือนผู้อพยพแดนเหนือเหล่านี้
ชาวบ้านเมืองหลวงมองความซูบซีดน่าเวทนาของเหล่าผู้อพยพเหล่านี้ คิดถึงชีวิตที่พวกเขาพรรณนาเมื่อครู่ ชาวบ้านเมืองหลวงทั้งหลายก็อดไม่ได้ตัวสั่น
ชีวิตเช่นนี้พวกเขาไม่เคยพบเจอมาก่อน ทำไมเสียสติเป็นบ้าคิดว่าเฉิงกั๋วกงกับทหารมีความผิดไปได้ นี่ไยไม่ใช่จะทำลายชีวิตดีๆ ของตนเองรึ?
ล้วนเป็นพวกบัณฑิตเหล่านี้!
ชาวบ้านเมืองหลวงพริบตามองไปทางบัณฑิตและนักเรียนทั้งหลาย หมุนตัวพร้อมกัน ไปยืนด้วยกันกับผู้อพยพแดนเหนือเหล่านั้น