รักใคร่?
“พวกเจ้าเป็นห่วงกันและกันนี่จั๊กจี้จริงๆ” เสียนอ๋องยิ้มเอ่ย “เจ้าทำเพื่อเขา เขาทำเพื่อเจ้า ปกป้องกัน ดูแลกัน ชื่นชมกัน…”
ตอนเขาพูดถึงตรงนี้จูจั้นก็ยกมือห้ามทำท่าจะอาเจียนไปพลาง ทึ้งเสื้อลายพร้อยบนร่างลงส่งๆ โยนข้ามไป
“ก็แค่ยืมเสื้อตัวหนึ่งของเจ้าใส่นิดหนึ่ง ต้องเหยียบย่ำคนเช่นนี้ไหม?” เขาตะคอกอย่างไม่สบอารมณ์
ที่แท้เสื้อตัวนี้ของเสียนอ๋องนี่เอง มิน่าทั้งใหญ่ทั้งอ้วน ดูไปแล้วแปลกพิลึก
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม มองดูจูจั้นถอดเสื้อเผยเสื้อขาดมอซอ
เวลาไหนก็ต้องรักษาหน้าจริงๆ
เห็นนางยิ้ม เสียนอ๋องก็หัวเราะแล้ว
“น้องสะใภ้ เจ้าว่าข้าพูดถูกต้องหรือไม่?” เขาเอ่ยถาม
คุณหนูจวินมองเขาพลางยิ้มแล้วพยักหน้า
“องค์ชายพูดถูก ข้าเป็นห่วงเขายิ่ง” นางเอ่ย
จูจั้นไอแคกๆ
“องค์ชายไม่ใช่คนนอก ไม่ต้องเล่นละครต่อหน้าเขา” เขาหน้าบึ้งเอ่ย
“ข้าไม่ได้เล่นละครนะ” คุณหนูจวินมองเขา กะพริบตาพลางเอ่ยอย่างตั้งใจ “ข้าเป็นห่วงท่านมากนะ”
ดูสิดู ดูสิดู นี่เป็นคนเรียบร้อยคนหนึ่งรึ?
จูจั้นเบิกตากลมหน้าแดง
เขาก็ไม่ควรเป็นฝ่ายเริ่มพูดกับนางเองเลย!
เสียนอ๋องหัวเราะฮ่าฮ่าดังลั่น
“คุณหนูจวิน เขาก็เป็นห่วงเจ้ามากนะ” เขาขยิบตาเอ่ยขึ้น
สตรีคนอื่นเผชิญกับคำพูดเช่นนี้ต้องหน้าแดงหรือเขินอายหนีไปแน่ แต่คุณหนูจวินย่อมไม่ใช่สตรีคนอื่น
“ข้าทราบ” นางอมยิ้มพยักหน้า
จูจั้นที่อยู่ด้านข้างก็ไม่เขินอายเช่นกัน หัวเราะฮ่ะฮ่ะแห้งๆ
“พวกเจ้าสองคนนับว่าพบกันช้าไปสินะ?” เขาเอ่ย “ล้วนเป็นคนไม่เรียบร้อยเช่น วีรบุรุษเข้าใจกันสินะ?”
เสียนอ๋องหัวเราะฮ่าฮ่าแล้วพลันประสานหมัดคารวะคุณหนูจวิน
“คุณหนูจวินเป็นวีรบุรุษจริงๆ” เขาทำสีหน้าจริงจังเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มอีกครั้ง ไม่ได้ปฏิเสธแล้วก็ไม่ได้ถ่อมตัว คำนับกลับน้อยๆ
“คุณหนูจวิน ถ้าเช่นนั้นครั้งนี้…” เสียนอ๋องเอ่ยปากอีกครั้ง
เสียงไอของจูจั้นขัดเขา
“องค์ชายมีคำพูดใดอีกประเดี๋ยวค่อยถามเถอะ ครอบครัวของผู้อื่นมาแล้ว” เขาเอ่ย
เสียนอ๋องกับคุณหนูจวินมองไปด้านนอก เห็นเฉินชีกับฟางจิ่นซิ่วยืนอยู่นอกประตู
เห็นพวกเขามองมา เฉินชีก็รีบโบกมือ
“ไม่รีบไม่รีบ พวกท่านคุยต่อ”เขายิ้มเอ่ยพลางคำนับเสียนอ๋องอย่างนอบน้อม
ฟางจิ่นซิ่วก็ย่อเข่าก้มศีรษะเช่นกัน
เสียนอ๋องอมยิ้มพลางพยักหน้า
“ครอบครัวเดียวกัน เข้ามาคุยกันเถอะ” เขาเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีขานรับ ตอนนี้ถึงเดินเข้ามา
“น้องสาม” คุณหนูจวินอมยิ้มเอ่ย
ฟางจิ่นซิ่วตอบอื้อทีหนึ่งคล้ายไม่มีสิ่งใดให้พูด
ในห้องเงียบไปครู่หนึ่ง
“นี่เป็นน้องสาวรึ” เสียนอ๋องพลันเอ่ยขึ้น
ฟางจิ่นซิ่วกับคุณหนูจวินพยักหน้าขานใช่พร้อมกัน
“ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ได้พบพี่เขยของเจ้าสินะ” เสียนอ๋องชี้จูจั้นพลางยิ้มเอ่ย
จูจั้นสบถ
ฟางจิ่นซิ่วกลั้นหัวเราะไม่อยู่ด้วยแล้ว สีหน้าปั้นยากอยู่บ้าง
“สบถอะไรเล่า แม่นางน้อยอย่างไรก็ต้องพบหน้าพี่เขยที่อยู่ดีๆ ก็โผล่มาคนนี้ไหม” เสียนอ๋องยิ้มเอ่ย
จูจั้นหัวเราะแห้งๆ
“แม่นางน้อยช่างไม่ขาดแคลนพี่เขยจริงๆ” เขาเอ่ย “ข้าก็คนที่สามแล้ว”
ก็จริง เรื่องนี้คิดขึ้นมาก็บ้าบออยู่บ้างจริงๆ ฟางจิ่นซิ่วกลั้นไม่อยู่หัวเราะอีกครั้ง
“ท่านชายคุ้นแล้วก็จะดีเอง” นางเอ่ย
เฉินชีหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“พวกเจ้าเป็นครอบครัวเดียวกันจริงๆ” จูจั้นแค่นเสียงเหอะเอ่ยขึ้น “เรื่องเช่นนี้ยังคุ้นชินได้ด้วย”
“ชีวิตยากลำบาก เรื่องมากมายย่อมคุ้นชินแล้ว” ฟางจิ่นซิ่วเอ่ย
ได้ยินนางเอ่ยเช่นนี้ จูจั้นก็ไม่เอ่ยวาจาอีกหันหน้าไป
ส่วนคุณหนูจวินยิ้มให้ฟางจิ่นซิ่วทีหนึ่ง
“แม้ยากลำบาก แต่ก็ล้วนคลี่คลายหมดแล้วไม่ใช่รึ” นางเอ่ยขึ้น
ฟางจิ่นซิ่วมองนางแล้วยิ้มพยักหน้า
หนึ่งคำพูด หนึ่งรอยยิ้มนี้ ความห่างเหินจากการไม่ได้พบหน้ากันนานถึงคล้ายจะสลายไป
“เอาล่ะ เรื่องอื่นมากน้อยล้วนได้ยินมาแล้ว พูดถึงเรื่องผู้อพยพนับหมื่นนี่เถอะ” เสียนอ๋องตบลำตัวอวบอ้วน บิดอยู่บนเก้าอี้หาท่วงท่าที่สบายสักท่าติดจะสงสัยใคร่รู้อยู่บ้าง “ทำไมเจ้าคิดเรื่องนี้ออกมาได้เล่า?”
คุณหนูจวินยิ้ม
“ง่ายดายยิ่งนัก เพราะคิดได้ว่าเข้าเมืองหลวงไม่มีทางราบรื่นนักแน่” นางเอ่ย “ที่ว่าไม่ราบรื่นนักอาจเป็นเพียงแค่ไม่เชื่อในความดีความชอบหรือกระทั่งถามหาความผิด ถ้าเช่นนั้นก็เอาความจริงออกมาพูดเหตุผลกันเลย”
ง่ายดายยิ่งนัก?
เสียนอ๋องสีหน้าปั้นยาก
ง่ายดายได้อย่างไรเล่า จะเกลี้ยกล่อมผู้อพยพแดนเหนือมากปานนั้นมา ประการแรกต้องมีอำนาจบารมี ประการที่สองยังต้องมีเงิน ประการที่สามยังต้องผลาญกำลังคนกำลังสิ่งของวางแผนถี่ถ้วนขนมาอีก
“อำนาจบารมีหรือ? ก็ไม่นับหรอก” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “อย่างไรตอนแรกข้าก็ทุ่มเทจิตใจช่วยเหลือพวกเขา
แจกข้าวต้มตามทาง เสี่ยงอันตรายเดินทางไปต้านการโจมตีของชาวจินที่ป้าโจว ปกป้องชาวบ้านสิบกว่าหมื่นให้หนีพ้นจากกีบเท้าม้าของชาวจินด้วยตนเอง
“ข้าช่วยย่อมไม่ใช่ช่วยเสียเปล่า” นางเอ่ย
จูจั้นที่อยู่ด้านข้างร้องเหอะทีหนึ่ง
“ช่างเป็นคนทำการค้าที่ฉลาดปราดเปรื่องคนหนึ่งจริงๆ” เขาว่า
เสียนอ๋องมองคุณหนูจวินด้วยสีหน้าพิกล
“ต่อให้เป็นการค้า นี่ก็ไม่ใช่การค้าที่ใครก็ทำได้” เขาเอ่ย
“ข้าทุ่มเทหัวใจทำ ดังนั้นวันนี้พวกเขาจึงทุ่มเทหัวใจเชื่อข้าแล้วมา” คุณหนูจวินเอ่ย “นี่ก็คือความยุติธรรม”
เสียนอ๋องเงียบไปครู่หนึ่ง
“ดีใจนักที่ได้เห็นความยุติธรรม” เขาเอ่ย ในเสียงเศร้าสร้อยอยู่บ้าง แต่เห็นชัดว่าเขาไม่อยากถูกคนสังเกตเห็น จึงกลบเกลื่อนอย่างรวดเร็ว แล้วกลับมายิ้มร่า “ถ้าเช่นนั้นเงิน กำลังคน กำลังของนี่วางแผนก็ไม่ง่ายสินะ”
คุณหนูจวินสีหน้าอ่อนโยนขึ้นบ้าง
“เรื่องนี้ข้ากลับไม่ได้เปลืองความมคิด” นางอมยิ้มเอ่ย “มีคนเหนื่อยยากเปลืองความคิดแทนข้า”
เสียนอ๋องร้องอ้อ มองจูจั้นทีหนึ่ง
จูจั้นถลึงตาใส่เขาอย่างไม่เกรงใจทันที
เสียนอ๋องไม่ได้สนใจเขา มองไปทางคุณหนูจวิน
“ถ้าเช่นนั้นสำหรับคนผู้นี้แล้ว คุณหนูจวิน ท่านต้องสำคัญมากแน่” เขายิ้มตาหยีเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มแล้ว
“สำหรับข้าแล้วเขาก็สำคัญมากเช่นกัน” นางเอ่ยอย่างตั้งใจ
……………………………………….
……………………………………….
เสียนอ๋องถามเรื่องที่ตนอยากถามแล้วก็ลุกขึ้นจะแยกกับทุกคนแล้ว อย่างไรก็เดินทางไกลระหกระเหินมา ทั้งยังสิ้นเปลืองความคิดไป ควรกลับไปพักผ่อนดีๆ
“แต่พูดถึงพักผ่อน” เสียนอ๋องหยุดเท้าอีกครั้ง มองดูจูจั้นกับคุณหนูจวิน “เจ้ากับภรรยาเจ้าจะกลับจวนกั๋วกงสินะ?”
สีหน้าจูจั้นแข็งทื่อ มองนอกประตู แม้น้อยลงไปมากแต่ยังคงมีคนล้อมดูรอคอยอยู่
“แน่นอน” คุณหนูจวินเอ่ยปากก่อน สีหน้าสบายๆ แล้วมองฟางจิ่วซิ่นกับเฉินชี “พวกเจ้ากับผู้ดูแลใหญ่หลิ่วมีธุระก็มาที่บ้านหาข้า
บ้าน พูดได้คล่องแคล่วยิ่งกว่าตนเองจริงๆ จูจั้นเหล่ตามองนาง แต่ไม่ได้พูดอะไร เดินออกไปข้างนอกก่อนก้าวหนึ่ง
พวกคุณหนูจวินเดินตามออกมา ส่งเสียนอ๋องขึ้นรถม้าก่อน ต่อไปฟางจิ่นซิ่วกับเฉินชีก็ขึ้นรถบ้าง จูจั้นกำลังจะก้าวเท้าเดินก็ถูกคุณหนูจวินเรียกไว้
“บนถนนคนมาก อย่าให้ม้าตื่น ท่านมาจูง” นางยิ้มแย้มเอ่ยพลางพลิกกายขึ้นม้า
ม้าตื่น? ตลอดทางนางขี่ม้าเหมือนม้าตื่น นางยังกลัวม้าตื่นอีกรึ?
ฉวยโอกาสเอาเปรียบเขาอีกแล้ว!
จูจั้นกัดฟัน แต่กลับไม่ได้พูดอะไร ตลอดทางเขารู้แล้วว่าอย่าโต้งแย้งกับสตรีคนนี้ง่ายๆ
เขาเดินไปจับสายบังเหียนเดินไปข้างหน้า
ประชาชนที่ล้อมอยู่นอกประตูล้วนเผยรอยยิ้มหวังดี เด็กน้อยทั้งหลายกระโดดโลดเต้นตามหน้าตามหลัง
“เฮ้อ เจ้าว่าเหมือนเจ้าหนุ่มในหยางเฉิงของพวกเราพาภรรยาสาวกลับบ้านแม่ไหม?” เฉินชียิ้มกระซิบกับฟางจิ่นซิ่ว
“ไม่เหมือน” ฟางจิ่นซิ่วมองเขาแล้วเอ่ยทันที
เฉินชีหน้าแตก ยกแส้ม้าขึ้น
“พวกเราก็กลับบ้านเถอะ” เขายิ้มร่าเอ่ยอีกครั้ง
บนถนนรถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าท่ามกลางฝูงชนห้อมล้อม ด้านหลังของพวกเขามีขบวนคนม้ากลุ่มหนึ่งติดตามด้วย
ท่ามกลางวงล้อมของเหล่าองครักษ์เสื้อแพร ลู่อวิ๋นฉีมองแผ่นหลังของสตรีที่ขี่ม้าส่ายไหวอยู่ด้านหน้าอย่างนิ่งเฉย นางเดินไปที่ใด เขาก็ตามไปที่นั่น
ฝั่งนี้แยกย้ายแล้ว งานเลี้ยงในวังหลวงกำลังรื่นเริง
หวงเฉิงไม่ได้จากไป แล้วก็ไม่ได้เอาแต่ใจอยู่ข้างนอกต่อ เวลานี้ก็นั่งอยู่ในงานเลี้ยงด้วย นั่งก้มหน้าดื่มสุราอยู่ตลอด ฟังเฉิงกั๋วกงกับฮ่องเต้พูดคุยสรวลเส ฮ่องเต้ย่อมไม่มีทางตำหนิเขา แล้วยังให้ขันทีน้อยคอยอยู่รับใช้อยู่ด้านข้างอย่างใส่ใจ
ฉับพลันในหูหวงเฉิงนอกจากเสียงพูดของเฉิงกั๋วกงก็มีเสียงเยาว์วัยรื่นหูเสียงหนึ่งเพิ่มขึ้นมา
“กระหม่อมขอบพระทัยฝ่าบาท ท่านอาสบายดีทุกอย่าง พักนี้ยังคงทำคำอธิบายคัมภีร์เล่มหนึ่งอยู่”
เสียงนี้ทำให้หวงเฉิงฉับพลันเงยหน้าขึ้น แววตาถมึงทึงมองไปทางขุนนางเยาว์วัยที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม
ด้วยอายุและประวัติผลงานของชายหนุ่มคนนี้ เดิมทีไม่ควรปรากฏตัวอยู่ที่นี่
หนิงฉาง ไม่ หนิงเหยียน ครั้งนี้ถึงกับแพ้ในมือพวกเจ้าแล้ว
หวงเฉิงยกถ้วยสุราขึ้น
“ใต้เท้าน้อยหนิง” เขาร้องเรียก