คุณหนูจวินที่กำลังอาเจียนลมอยู่ถูกคำนี้หยอกให้หัวเราะอีกครั้ง
ทั้งอาเจียนลมทั้งอยากหัวเราะ ดูไปแล้วอเนจอนาจยิ่ง
“เจ้าทำเช่นนี้อีกแล้ว” จูจั้นกัดฟันเอ่ยเสียงแผ่วเบา “เล่นละครเช่นนี้อีกแล้ว”
ที่บอกว่าอีกแล้วก็เพราะท่าทางเช่นนี้ไม่ใช่ครั้งแรกเช่นกัน
จางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งไม่เข้าใจ คุณหนูจวินกลับคิดขึ้นมาได้แล้ว
ครั้งนั้นนางถูกเชิญไปรักษาโรคที่จวนข้างนอกของลู่อวิ๋นฉี ถูกนวลนางอนุภรรยาในเรือนหลังนั้นทำให้ตกตะลึง ไม่ทันรู้ตัวเดินมาถึงนอกจวนเฉิงกั๋วกง ขณะที่กำลังมองกำแพงจวนอยู่ก็พบจูจั้นเข้า เมื่อถูกถามว่ามาจากไหนคิดถึงลู่อวิ๋นฉีขึ้นมาก็อดอาเจียนลมไม่ได้
เวลานั้นเสียนอ๋องก็โพล่งออกมาประโยคหนึ่งว่า “เจ้าทำนางท้องหรือ” หยอกนางให้หัวเราะ
คุณหนูจวินใช้ผ้าขนหนูปิดปาก โบกมือให้พวกจางเป่าถัง
“เพียงแค่กินผิดท่าเท่านั้น” นางเอ่ย “สำลักเข้า”
จางเป่าถังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ส่วนซื่อเฟิ่งคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม ล้วนร้องอ้อนั่งลงใหม่อีกครั้ง
จูจั้นสีหน้าโกรธเกรี้ยว ฉับพลันหันหน้ามองไปหาลู่อวิ๋นฉี
ลู่อวิ๋นฉียังคงมองด้านนี้ สีหน้ากังวลนัก
สายตาของทั้งสองคนประสานกัน
“เจ้ามองอะไร?” จูจั้นดวงตาโกรธเกรี้ยวตวาด “ไม่เห็นรึว่าทำคนสะอิดสะเอียนจนอาเจียนแล้ว?”
พูดจบก็ยื่นมือชี้ด้านนอก
“เจ้าไสหัวไปเดี๋ยวนี้”
เสียงด่าคำนี้ดังขึ้นทำให้หัวใจที่หวาดหวั่นของเถ้าแก่กับพนักงานร้านสงบลง ในที่สุดก็ปกติแล้ว อย่างไรก็ต้องทะเลาะกัน ทะเลาะกันสิทะเลาะกันเลย ทะเลาะกันจบเร็วก็หมดเรื่องเร็ว
เถ้าแก่กับพนักงานทั้งหลายนั่งยองหลังโต๊ะกั้นโดยอัตโนมัติ ยกถาดไว้เหนือหัว เลี่ยงไม่ให้อีกเดี๋ยวสู้กันขึ้นมาถูกเขวี้ยงโดนเข้า
ได้ยินเสียงด่าคำนี้ เหล่าองครักษ์เสื้อแพรหลังร่างลู่อวิ๋นฉีพลันถลึงตาโกรธเกรี้ยวมือวางบนดาบข้างเอวทันที
ลู่อวิ๋นฉีใช้ผ้าขนหนูเช็ดมุมปากลุกขึ้นยืน
จางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งก็ลุกขึ้นยืนด้วยเช่นกัน
บรรยากาศในร้านตึงเครียดทันที
จูจั้นยิ่งหิ้วม้านั่งหมับเขวี้ยงมาอย่างแรง
เหล่าองครักษ์เสื้อแพรกำลังจะพุ่งเข้าไป ลู่อวิ๋นฉีก็ยื่นมือรับม้านั่งไว้ก่อนก้าวหนึ่งแล้ว
ไม่ได้ขว้างกลับไป แล้วก็ไม่ได้โยนลงพื้นข่มขวัญ แต่วางลงเบาๆ
“ร้านดีๆ อย่าทำลายของผู้อื่น” เขาว่า
ฮ่ะ จูจั้นยิ้มแล้ว
“ลู่อวิ๋นฉี เจ้ารู้จักทำลายสองคำนี้ด้วยรึ?” เขาเอ่ย
ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้สนใจเขา มองเพียงคุณหนูจวิน
“เจ้าทานอาหารให้อร่อยเถอะ” เขาว่า พูดจบก็ยกเท้าก้าวเดินไปด้านนอก
องครักษ์เสื้อแพรทั้งหลายติดตามไปพรึบพรับ พริบตาในโถงก็เหลือเพียงพวกจูจั้นไม่กี่คน
“เจ้าหมอนี่ยิ่งบ้าขึ้นทุกทีแล้ว” ซื่อเฟิ่งเลิกคิ้ว ขบขันอยู่บ้างเอ่ยขึ้น
จูจั้นด่าคำหนึ่งก็นั่งลงอีกครั้ง
“กินข้าว กินข้าว” จางเป่าถังรีบเอ่ยเรียก อยากคีบอาหารให้คุณหนูจวินอีกก็ลังเลอยู่บ้าง “คุณหนูจวิน เจ้านี่ท่านทานได้ไหม?”
จูจั้นถลึงตามองเขา
“กินได้ นางอะไรก็กินได้ทั้งนั้น” เขาเอ่ย
คุณหนูจวินยิ้มให้จางเป่าถังแล้วพยักหน้า
“ไม่มีจริงๆ ท่านอย่าคิดมาก” นางเอ่ย
จางเป่าถังหน้าแดงนั่งลง คุณหนูจวินก็ยกน้ำแกงแพะดื่มทีละคำเล็กๆ ด้วย
จูจั้นพรูลมหายใจ หยิบตะเกียบทิ่มเนื้อแพะตรงหน้า
“เจ้าสุนัขตัวนี้น่าสะอิดสะเอียนจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น “ตอนนั้นทำไมไม่ตีเขาให้ตายไปเสียนะ?”
“ตอนนั้นเขาอายุน้อยๆ ก็กล้าแอบดูจดหมายลับของท่านกั๋วกงแล้ว” ซื่อเฟิ่งพูดขึ้นมา “เห็นได้ว่าเวลานั้นเขาก็ไม่มีหัวใจดีงามแล้ว”
ช้อนของคุณหนูจวินหยุดนิดหนึ่ง
ลู่อวิ๋นฉีถึงกับเคยลอบอ่านจดหมายลับของเฉิงกั๋วกง? ดังนั้นนี่จึงเป็นสาเหตุที่พวกเขาผูกแค้นกัน? แต่อายุน้อยๆคือพูดถึงตอนไหน?
“ข้าก็ว่าแล้วตอนนั้นเรื่องท่านกั๋วกงกวาดล้างโจรเก็บเงินเป็นของตนเองต้องเป็นเจ้าสุนัขตัวนี้รายงาน ทำร้ายท่านกั๋วกงจนหวิดถูกล่าวโทษปลดออกจากตำแหน่ง” จางเป่าถังเอ่ย “เจ้าหนูนี่แสร้งทำซื่อตรง ให้ตายก็ไม่ยอมรับ”
“ข้าบอกให้คลุมหัวตีให้ตายไปเสียสิ้นเรื่อง พวกเจ้าก็ไม่ยอม” ซื่อเฟิ่งแค่นเสียงเอ่ย “ตอนนี้ดีแล้ว มีปีกแล้ว”
“นั่นล้วนเพราะองค์หญิงจิ่วหลิง” จางเป่าถังตบโต๊ะเอ่ย
สิ้นเสียงก็ได้ยินเสียงพรวดทีหนึ่ง คุณหนูจวินที่กำลังดื่มน้ำแกงแพะอยู่พ่นออกมา หันหน้าไปคว้าผ้าขนหนูปิดปาก ถึงแม้เป็นเช่นนี้ก็ยังสำลักติดกันเป็นพรวน
อีกแล้ว…
จางเป่าถังตกใจลุกขึ้นยืน
“พี่สะใภ้ ที่แท้แพ้อะไรกันแน่ ท่านอย่าไม่บออกสิ ทุกคนล้วนไม่ใช่คนนอก ไม่ล้อพวกท่านหรอก” เขาตะโกนเอ่ย
จูจั้นตบโต๊ะ
“นั่งลง” เขาตวาด
จางเป่าถังทรุดลงนั่ง
จูจั้นสูดหายใจยาวทีหนึ่งมองไปทางคุณหนูจวิน
“คุณหนูจวิน ที่แท้ท่านคิดจะเอาอย่างไรกันแน่?” เขาเค้นรอยยิ้มจางกัดฟันเอ่ยถาม
คุณหนูจวินปิดปากหัวเราะแก้เก้อ พลางโบกมือ
“ข้าไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” นางเอ่ยขึ้น “พวกท่านต่อ พวกท่านคุยกันต่อ”
จูจั้นถลึงตาไม่สบอารมณ์
“ยังคุยอะไรอีก?” เขาเอ่ย “รีบกิน กินเสร็จก็รีบกลับไป”
คุณหนูจวินไม่สนใจเขา มองไปหาจางเป่าถัง
“พวกท่านรู้จักกับองค์หญิงจิ่วหลิงด้วยหรือ?” นางถือช้อนพลางเอ่ยถาม
“ก็ไม่อาจพูดว่ารู้จักได้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ตอนพวกเราขัดแย้งกับลู่อวิ๋นฉีให้บทเรียนกับเขาอยู่ องค์หญิงจิ่วหลิงยุ่งไม่เข้าเรื่องทำพวกเราเสียเรื่อง…” จางเป่าถังเล่า
คำพูดยังเอ่ยไม่จบจูจั้นก็วางตะเกียบแรงๆ
“เกี่ยวอันใดกับนาง? หากพวกเราอยากทำให้ลู่อวิ๋นฉีตาย ใครขวางได้?” เขาขัด “ก็แค่เห็นเขากำพร้าเดียวดายลำบาก ชั่วขณะจึงเมตตาใจอ่อนก็เท่านั้น ล้วนโทษใครไม่ได้ จะโทษก็โทษสวรรค์ที่เลี้ยงดูเจ้าตัวนี้ออกมา”
จางเป่าถังร้องอ้อ ส่วนซื่อเฟิ่งก็พยักหน้าอย่างตั้งใจ
“ใช่แล้ว ไม่ผิด ก็เป็นเช่นนี้” เขาเอ่ยขึ้น “ไม่เกี่ยวข้องกับผู้อื่น”
ไม่มีคนพูดต่อ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารก็พิกลอยู่บ้าง คุณหนูจวินมองซ้ายมองขวา มองดูรีรอครู่หนึ่งก็ไม่ได้ถามต่อ
นางเคยยุ่งไม่เข้าเรื่องด้วยรึ?
แล้วยังเป็นตอนที่ลู่อวิ๋นฉีกับพวกเขาขัดแย้งกันอีกด้วย?
นางไม่ได้พบลู่อวิ๋นฉีครั้งแรกหลังมาถึงวังไหวอ๋องหรือ?
นอกจากนี้พวกจางเป่าถังจูจั้น นางก็เคยรู้จักแต่ชื่อ คนก็ไม่เคยพบ ปกตินางไม่อยู่บ้าน ปีใหม่เทศกาลพวกเด็กผู้ชายก็ไม่ต้องมาวังหลังเข้าเฝ้า
ก่อนตายนางล้วนไม่รู้จักพวกเขา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพบหน้า
อย่างไร…?
คุณหนูจวินกัดช้อน รู้สึกสับสนอยู่บ้าง หรือเคยเกิดเรื่องที่ตัวนางเองยังจำไม่ได้?
นางหันหน้ามองไป จูจั้นสีหน้านิ่งสงบดวงหน้าจดจ่ออยู่กับการทานอาหาร ไม่มียิ้มร่าหรืองุ่นง่านอย่างก่อนหน้านี้สักนิด
จางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งก็ตั้งใจกินเหมือนกัน
ไม่พูดไม่จาเช่นนี้ไม่นานก็กินเสร็จแล้ว จูจั้นเดินออกไปข้างนอกก่อน คุณหนูจวินรั้งท้ายก้าวหนึ่ง ได้ยินซื่อเฟิ่งที่รั้งท้ายสองก้าวไปจ่ายเงินตำหนิจางเป่าถังเสียงเบา
“ใครให้เจ้าพูดถึงองค์หญิงจิ่วหลิง กำลังสนุกอยู่ดีๆ ก็ทำให้เขาเสียใจ”
เสียใจ?
พูดถึงตนเองแล้วอย่างไร? ทำไมจูจั้นต้องเสียใจ?
คุณหนูจวินขมวดคิ้วยิ่งขบคิดไม่เข้าใจ
นอกประตูจูจั้นหยุดฝีเท้า คุณหนูจวินก็หยุดมองไปด้วย เห็นลู่อวิ๋นฉีถึงกับยืนอยู่นอกประตู
ที่แท้เขาไม่ได้จากไป แต่ยืนอยู่นอกประตูอยู่ตลอดรึ
เห็นนางมองมา ลู่อวิ๋นฉีก็ยิ้มน้อยๆ
หลอกหลอนไม่เลิกราจริงๆ นะ คุณหนูจวินถอนหายใจในใจ
ความคิดเพิ่งแล่นผ่านไปก็เห็นจูจั้นยกเท้าพุ่งเข้าใส่ลู่อวิ๋นฉี
“เจ้าสุนัขตัวนี้” เขาเอ่ยด่า
การเคลื่อนไหวกะทันหันนี่ทำให้คนคาดไม่ถึง พร้อมกับเสียงชักดาบของเหล่าองครักษ์เสื้อแพร จูจั้นก็มาถึงตรงหน้าลู่อวิ๋นฉีแล้ว หนึ่งหมัดต่อยเข้าใส่ใบหน้าของเขา
จางเป่าถังกับซื่อเฟิ่งที่ตามออกมาติดๆ สองสามก้าวพุ่งเข้าไป
เสียงด่าควบคู่กับเสียงตะโกน ในซอยฉับพลันเสียงดังอื้ออึง
ในที่สุดก็สู้กันแล้วสู้กันแล้ว แต่ยังดีที่ไม่ได้อยู่ในร้าน เถ้าแก่กับพนักงานปิดประตูดังปัง
คุณหนูจวินที่ยืนอยู่หน้าประตู ในสมองก็มีเสียงดังปังดังกังวานเหมือนกัน มองดูผู้คนที่สู้กันตรงหน้านี้
หรือว่าพวกคุณชายเสเพลที่พบหน้าประตูเมืองเมื่อปีนั้นตอนอายุสิบสามปีคือพวกจูจั้น ส่วนคนนั้นที่ถูกตีก็คือลู่อวิ๋นฉีรึ?
การต่อสู้ชุลมุนตรงหน้าค่อยๆ เปลี่ยนกลายเป็นภาพยามนั้น คล้ายชัดเจนแต่ก็คล้ายพร่าเลือน
…………………………