นี่มันคนแบบไหนกัน!
หวงเฉิงโกรธจนตัวสั่น
“โอหังเกินไปแล้ว!” เขาจ้องเฉิงกั๋วกงอย่างดุร้าย “จูซาน เจ้าโอหังเกินไปแล้ว!”
เฉิงกั๋วกงไม่ร้อนรนไม่โมโห เพียงยิ้ม
“จูซานไม่กล้า” เขาเอ่ย “เพียงเชื่อในความยุติธรรมเท่านั้น”
พูดจบก็ก้าวยาวไปข้างหน้า
ชาวบ้านทั้งหลายย่อมหลีกทางไม่ขัดขวาง
“เมื่อครู่เขาพูดเช่นนี้จริงๆ!” ขุนนางคนหนึ่งชี้แผ่นหลังของเฉิงกั๋วกง ตะโกนบอกทุกคน “คนเหล่านี้ล้วนเป็นเขาหามา”
ขุนนางทั้งหลายสีหน้าปั้นยาก คนมากยิ่งกว่าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“คำพูดนี้ย่อมไม่อาจพูดส่งเดชได้” มีคนยิ้มเอ่ย
“ใครพูดส่งเดช นี่ชัดเจนยิ่งนัก เป็นเขานั่นแหละหามาเล่นงานใต้เท้าหวง…” ขุนนางคนนั้นตะโกนอย่างโมโหโทโส
เสียงยังไม่จบ เสียงฟึบก็ดังขึ้นทีหนึ่ง มีผลไม้เน่าลูกหนึ่งเขวี้ยงมาโดนหมวกขุนนางของเขาพอดี
ขุนนางร้องตกใจทีหนึ่งยื่นมือป้องกันหมวกไว้
“คืนบ้านเกิดข้ามา!”
“ไม่มีใครปลุกปั่นพวกเรา!”
“ขุนนางเลอะเลือน! คืนบ้านเกิดข้ามา!”
ชาวบ้านที่ถูกทหารองครักษ์ขวางอยู่ร้องตะโกนโกลาหล ไม่ทราบเอาผลไม้ใบไม้เน่ามาจากไหน ชั่วขณะหนึ่งขว้างปามาประหนึ่งฝน
บนถนนเสด็จพระราชดำเนินวุ่นวายพักหนึ่ง เหล่าขุนนางพากันหลบเลี่ยง ถึงแม้เป็นเช่นนี้ก็มีคนไม่น้อยถูกขว้างโดน หวงเฉิงก็ไม่เว้น
ผลไม้เน่าลูกหนึ่งขว้างถูกหัวไหล่ของเขา น้ำผลไม้กระเซ็นถูกใบหน้า
ขุนนางด้านข้างรีบใช้แขนเสื้อจะเช็ดให้เขา ปากก็ร้องเรียกใต้เท้าหวง
หวงเฉิงผลักเขาออก ตนเองใช้แขนเสื้อเช็ดช้าๆ แววตาทะมึนแทบจะขุ่นคลัก
“ชาวบ้านอันธพาลพวกนี้!”
“นี่เป็นการกบฏ!”
“จับพวกเขาไว้!”
ขุนนางทั้งหลายตะโกนโกรธเกรี้ยว
“พวกเจ้ายังอยู่ทำอะไร?”
เหล่าทหารองครักษ์คล้ายยามนี้เพิ่งได้สติกลับมา
“ฝ่าบาทมีคำสั่ง วันนี้ถนนเสด็จพระราชดำเนินให้ประชาชนมุงดูได้ ไม่อาจขับไล่” ทหารองครักษ์คนหนึ่งที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้น
ขุนนางโกรธถลึงตา
“นี่คือมุงดูรึ?” เขาตะโกน ยื่นมือชี้ชาวบ้านที่โหวกเหวกโวยวายร้องเสียงประหลาดอยู่ด้านนั้น
ผลไม้ใบไม้เน่าสามสี่กำเขวี้ยงมาอีก ขุนนางคนนั้นไม่ระวังถูกขว้างโดน โกรธจนกระทืบเท้า
คนเหล่านี้เอาผลไม้เน่ามากปานนี้มาจากไหนกัน! นี่เพิ่งต้นหน้าร้อนนะ ผลไม้ยังไม่ทันออกเลย!
“นี่มันล้อมโจมตีแล้ว!” ขุนนางกระทืบเท้าตะโกน
เหล่าทหารองรักษ์ตอนนี้ถึงขานรับ ยกดาบข้างเอวขึ้น ยังไม่ตะโกนถ้อยคำก็เห็นเหล่าชาวบ้านที่เดิมก่อความวุ่นวายร้องด่าขว้างปาผลไม้ใบไม้สุดกำลังเปรี้ยงเดียวแยกย้ายรอบด้าน
“ขุนนางทำร้ายคนแล้ว!”
“มหาบัณฑิตจะฆ่าปิดปากแล้ว!”
“มหาบัณฑิตหวงจะฆ่าคนแล้ว!”
“มหาบัณฑิตหวงจะขับไล่ผู้อพยพออกจากเมืองหลวงแล้ว!”
เสียงตะโกนกระจายออกไปตามการแยกย้ายรอบด้าน พริบตาคนกลุ่มนี้ก็วิ่งไปไกลแล้ว ทิ้งความเละเทะเต็มพื้นไว้
ดาบของเหล่าองครักษ์ยังไม่ทันชักออกมา ยืนอยู่ที่เดิมหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกอยู่บ้าง
ควรบอกว่าพวกเขาใจกล้าหรือขี้ขลาดเล่า?
ใจกล้ากล้าด่าขุนนางคนสำคัญของรัชสมัยนี้ ขี้ขลาดยังไม่ทันข่มขู่ก็แตกกระเจิงเหมือนนก
เป็นชาวบ้านอันธพาลจริงๆ
นี่เป็นผู้อพยพแดนเหนือจริงรึ?
“ไล่ตามพวกเขา จับมาสอบสวนที่แท้เป็นใครบงการ” ขุนนางหลายคนตะโกนโกรธเกรี้ยว
เหล่าทหารองครักษ์ส่ายศีรษะอย่างฉับไว
“นี่ไม่ใช่งานของพวกเราแล้ว” พวกเขาเอ่ย
ดูสภาพเกียจคร้านของพวกเขาสิ!
ทหารองครักษ์เหล่านี้ล้วนเป็นลูกหลานชนชั้นสูงในเมืองหลวงรับตำแหน่ง อย่าเห็นว่าตำแหน่งเบี้ยหวัดไม่มากเท่าไร แต่ละคนๆ ทำท่าเหมือนนายท่านเก่งนัก
คนเหล่านี้ล้วนไม่ต่างจากจูจั้นนัก คงไม่ใช่ถูกจูจั้นบงการหรอกนะ? อยู่ที่นี่แสร้งโง่งงงัน
“พวกเจ้า…” ขุนนางหลายคนตวาด
“พอแล้ว” หวงเฉิงตวาดห้ามพวกเขา
ขุนนางทั้งหลายหยุด
“ใต้เท้า…” คนหนึ่งท่าทางคับแค้นเอ่ยขึ้น “นี่รังแกกันเกินไปแล้วจริงๆ”
หวงเฉิงฟื้นกลับมานิ่งสงบแล้ว
“วันนี้เป็นวันดี ฝ่าบาทกำลังสำราญพระทัย อย่าให้เรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ทำให้หมดสำราญ” เขาเอ่ย ก้าวเท้าเดินไปข้างหน้าพลาง ใช้แขนเสื้อเช็ดหน้าทีละนิดๆ พลาง
น้ำผลไม้บนหน้าถูกเช็ดไปนานแล้ว แต่เขากลับยังเช็ดไม่หยุด คล้ายจะให้ทะลุหนังชั้นนี้
บรรดาคนสนิทไม่กล้าห้าม เรียกรถม้าตามหวงเฉิงไป
เมื่อเห็นพวกเขาจากไปแล้ว ขุนนางทั้งหลายคนอื่นถึงสบตากันทีหนึ่ง สีหน้าแปลกพิกลแล้วยังสับสน
“คิดไม่ถึงว่าเฉิงกั๋วกงจะเป็นคนเช่นนี้” ขุนนางคนหนึ่งเอ่ยเสียงเบา
ขุนนางอีกคนหนึ่งหัวเราะแล้ว
“เดิมทีอยู่ห่างไกล ลักษณะของถ้อยคำที่เขียนในฎีกาไม่สู้ปะทะคารมกันต่อหน้าจริงๆ” เขาเอ่ยขึ้น “หลังจากนี้คงสนุกแล้ว”
ผู้คนพากันถกเถียง ขุนนางบางส่วนสีหน้ายังคงวิตกอยู่บ้าง
ในเมื่อเป็นการต่อสู้ปะทะกัน ถ้าอย่างนั้นย่อมต้องเลือกฝ่าย
“ไม่รู้ว่าใครร้ายกาจกว่ากัน” ขุนนางคนหนึ่งมองหนิงอวิ๋นจวินแล้วเอ่ยเสียงเบา
“ไม่ เจ้าพูดผิดแล้ว” หนิงอวิ๋นเจาพูดแล้วก็ยิ้ม “เรื่องเช่นนี้ย่อมไม่ใช่ดูว่าใครร้ายกาจ แต่ดูว่าเรื่องที่ใครทำถูกต้อง”
สหายขุนนางทั้งหลายข้างกายพยักหน้า
“ยังคงเป็นใต้เท้าหนิงพูดถูก” สหายขุนนางคนหนึ่งเอ่ย
“ถ้าเช่นนั้นใต้เท้าหนิงรู้สึกว่าพวกเขาใครทำถูกต้อง?” อีกคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างเป็นห่วงเป็นใย
โดยไม่รู้สึกตัวพวกเขาก็เริ่มเรียกขานหนิงอวิ๋นเจาว่าใต้เท้าหนิง ตัดคำว่าน้อยคำนั้นออกแล้ว
ใบหน้าหนิงอวิ๋นเจาประดับรอยยิ้มบาง
“นั่นย่อมเป็นฝ่าบาทรู้สึกว่าใครถูกต้อง คนนั้นก็ถูกต้องสิ” เขาตอบ
เอาเถอะ ลืมไปเลยว่าเขาเป็นเจ้าคนที่เคารพฮ่องเต้เพียงผู้เดียว สหายขุนนางทั้งหลายส่ายศีรษะ หัวเราะอีกหนอย่างจนปัญญา
“อย่างไรพวกเราดูใต้เท้าหนิงเป็นอันถูก” มีคนยิ้มเอ่ยแผ่วเบา
ขุนนางฝ่ายพลเรือนฝ่ายทหารนับร้อยบนถนนเสด็จพระราชดำเนินค่อยๆ แยกย้ายไป พวกหนิงอวิ๋นเจาก็แยกย้ายกันขึ้นม้า เดินทางออกจากถนนเสด็จพระราชดำเนิน เห็นบนถนนเสด็จพระราชดำเนินคนไม่น้อยกำลังรวมตัวคุยเล่นอยู่
“ดูท่าเรื่องสนุกยังไม่คลี่คลายนะ” มีขุนนางเอ่ยขึ้น
ผู้ติดตามที่จูงม้าอยู่ด้านข้างได้ยินเข้าก็รีบส่ายศีรษะ
“ใต้เท้า มีเรื่องสนุกใหม่เรื่องหนึ่งอีกแล้วขอรับ” เขาสีหน้าเริงร่าเอ่ย “คุณหนูจวินกลับมาแล้วขอรับ”
ใต้หล้าคนแซ่จวินมากไป แต่มีเพียงคุณหนูจวินนี่ยามพูดขึ้นมาคำอธิบายเพิ่มเติมล้วนไม่ต้องเสริมแล้ว ทุกคนล้วนรู้ว่าที่พูดถึงคือใคร
สิ้นเสียงคำของเขา ขุนนางที่ฟังอยู่ด้านข้างล้วนเลิกคิ้ว
“คุณหนูจวินแห่งโรงหมอจิ่วหลิงรึ” พวกเขาเอ่ย “ครั้งนี้นางกลับมาก็ครึกครื้นเช่นนี้แล้วรึ?”
“ใช่แล้วขอรับ” ผู้ติดตามของขุนนางอีกคนหนึ่งรีบแย่งพูด อดรนทนไม่ไหวเล่า “คุณหนูจวินเข้าเมืองมาปุบก็ถูกใต้เท้าลู่ดัก”
ขุนนางหลายคนร้องอ้อ เลิกคิ้วอีกหน
“นั่นเป็นเรื่องสนุกจริงๆ” พวกเขาเอ่ย
“ไม่ ไม่ขอรับ นี่ไม่ใช่จุดสำคัญ” ผู้ติดตามคนก่อนหน้ารีบร้อนแย่งพูดอีกหน “ที่สำคัญที่สุดคือที่จริงคุณหนูจวินก็คือภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกง”
ขุนนางทั้งหลายร้องโฮ่ทีหนึ่ง ดวงตาเบิกกลม
“นี่เป็นเรื่องสนุกครั้งใหญ่เชียว” พวกเขาเอ่ยพลางเอ่ยเรียกกัน “ไปๆ หาสถานที่สักแห่งดื่มชาไปพลางฟังไปพลาง”
พวกเขากระตือรือร้นเดินไปข้างหน้าทันที เดินไปได้หลายก้าวหันกลับมามองเห็นหนิงอวิ๋นเจาถึงกับตามอยู่ด้วย
“ใต้เท้าหนิงท่านไปด้วยรึ?” สหายขุนนางคนหนึ่งเอ่ยถามอย่างประหลาดใจอยู่บ้าง
หนิงอวิ๋นเจายิ้มพลางพยักหน้า
“ข้าก็ชอบฟังเรื่องสนุกเหมือนกันนะ” เขาเอ่ย
แปลก ก่อนหน้านี้ไม่รู้เลยนะ การชุมนุมของสหายขุนนางน้อยครั้งนักที่เขาจะเข้าร่วม แต่นั่นก็อาจเป็นเพราะเรื่องหนิงเหยียนจึงต้องเก็บตัวเงียบไว้
“ดีดี ไปด้วยกันๆ” พวกเขายิ้มเอ่ย
เสี่ยงติงจูงม้าเบะปาก
ชอบฟังเรื่องสนุกอะไรเล่า แค่ชอบฟังเรื่องสนุกที่คุณหนูจวินมีเอี่ยวด้วยเท่านั้นแหละ ต่อให้รู้ความจริงมาล่วงหน้าแล้วก็ตาม ฟังผู้อื่นเล่าอีกรอบก็ยังสนใจมากอยู่ดี
เพียงแต่อีกประเดี๋ยวได้ยินว่าคุณหนูจวินกับบุตรชายเฉิงกั๋วกงสามีภรรยาเคียงคู่กลับบ้านด้วยกัน ดูสิเขายังยิ้มออกหรือไม่
เสี่ยวติงคิดกับตัวเองเงียบๆ นิดหนึ่ง เตือนตนเองว่าต้องอดทนไว้ไม่เผยสักครึ่งประโยค
คุณหนูจวินที่ถูกผู้อื่นเอาไปคุยเป็นเรื่องสนุก ตอนนี้ยืนอยู่นอกประตูจวนฉิงกั๋วกง พูดให้ถูกต้องคือตรงหน้ากำแพงล้อม
นางยืนอยู่ที่นี่ได้สักพักหนึ่งแล้ว เงยหน้านิดหนึ่งมองดูขอบกำแพงที่มีริ้วรอยของเวลา รวมถึงต้นไม้ใหญ่ที่ใบแน่นขนัด
มีเสียงฝีเท้าดังมาด้านหลัง พร้อมกับเสียงกระแอมทีหนึ่ง
“นี่ เจ้าทำอะไรอยู่?” จูจั้นเอ่ยถาม
คุณหนูจวินหันกลับมามองเขาแล้วยิ้มให้ทีหนึ่ง
“ดูไปเรื่อย” นางว่า
เหมือนครั้งก่อนนางก็ยืนอยู่ตรงนี้มองขอบกำแพง จูจั้นขมวดคิ้ว รู้สึกประหลาด
“ดู? เจ้าอยากให้ผู้อื่นดูว่าเจ้าเป็นภรรยาของบุตรชายเฉิงกั๋วกงสินะ” เขาแค่นเสียงเอ่ย
“เรื่องนี้ยังต้องให้ผู้อื่นดูอีกรึ?” คุณหนูจวินยิ้มตาหยีพูดขึ้น ผายมือออก “ไม่ใช่ผู้คนล้วนรู้กันหมดแล้วรึ?”
เห็นท่าทางถือเป็นเรื่องมีเกียรติของนาง
จูจั้นพลันเหล่ตา
“ท่านชายเป็นคนหนุ่มผู้โดดเด่นเช่นนี้ มีสามีเช่นนี้ย่อมต้องถือเป็นเกียรติแล้ว” คุณหนูจวินเอ่ยพลางก้าวเดินเข้าไปหาเขา
เพ้ย จูจั้นถลึงตาจะหลบ คุณหนูจวินก็ยังตบหัวไหล่เขาได้นิดหนึ่ง ยิ้มเดินผ่านเขาไป
จูจั้นอยู่ด้านหลังวาดสองหมัดใส่แผ่นหลังนางแรงๆ สะบัดแขนเสื้อเอามือไพล่หลังติดตาม
ประตูใหญ่จวนกั๋วกงเปิดกว้าง บ่าวรับใช้คำนับรอต้อนรับอย่างนอบน้อม
คุณหนูจวินหยุดเท้าอีกครั้ง มองดูป้ายจวนแล้วก็มองไปด้านในอีกหน
“คิดไม่ถึงเลยนะว่าจะเข้าจวนกั๋วกงได้” นางเอ่ยอย่างทอดถอนใจอยู่บ้าง
จูจั้นหัวเราะฮ่ะฮ่ะสองที ขยับเข้าใกล้นาง
“พวกเราจวนกั๋วกงต้อนรับคนตามสบาย แขกไหมล่ะ มาง่ายไปง่าย มาอีกไม่ยาก” เขาเอ่ย เน้นเสียงหนักที่คำว่าแขกหนึ่งคำ
คุณหนูจวินเม้มปากยิ้ม ยกกระโปรงก้าวเท้าขึ้นบันได
……………………………………….